บทที่ 56 ราวกับมีเรื่องภายใน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 56 ราวกับมีเรื่องภายใน

บทที่ 56 ราวกับมีเรื่องภายใน

โชคดีที่ช่างไม้เหลียงเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ไหน ดังนั้นแม่เหลียงเหยาจึงไม่มีแม่สามีให้ต้องเชื่อฟัง และไม่ต้องฟังเสียงตำหนิจากผู้ใด แม้ว่าสิบกว่าปีมานี้จะไม่มีลูก แต่ช่างไม้เหลียงยังคงปฏิบัติต่อแม่เหยาเหมือนเดิม

ภายในหมู่บ้านมีเสียงซุบซิบนินทามากมาย บอกว่าแม่เหยาเป็นแม่ไก่ที่ไม่ออกไข่ต่าง ๆ นานา หากคนนินทาเหล่านี้พูดไม่เข้าหูแล้วล่ะก็ พูดไม่เข้าหูอย่างไรก็พูดอย่างนั้น

โชคดีที่แม่เหยามีนิสัยเย็นชา ถึงพวกชาวบ้านจะต่อว่านางเช่นนี้ นางก็ไม่สนใจอะไร เพียงจัดการทำงานบ้านในทุกวัน เก็บกวาดในบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และบางครั้งแม่เหลียงเหยาก็ออกไปทำงานไม้อยู่ข้างนอก ปัจจัยภายในบ้านก็ถือว่าพอใช้ได้

ครอบครัวกู้เสี่ยวหวานไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับพวกเขา และในวันปกติก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กันเท่าไรนัก แต่กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร และเป็นธรรมดาที่จะไม่มีความรู้สึกรังกียจ

กู้เสี่ยวหวานและน้อง ๆ ก้าวเดินอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาหนึ่งก็มาถึงหน้าประตูบ้านแม่เหลียงเหยา กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าไปทางแม่เหลียงเหยา เพราะนางคิดว่าแม่เหลียงเหยาจะไม่พูดอะไร แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินนางเอ่ยถาม “สาวน้อยตระกูลกู้ กำลังจะไปที่ไหนกันหรือ?”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินแม่เหลียงเหยาเปิดปากพูด ก็หยุดฝีเท้าลงพลางพยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้ากำลังพาพวกน้อง ๆ ไปดูว่าจะหาของกินได้หรือไม่”

เมื่อแม่เหลียงเหยาได้ยิน แล้วมองเสื้อผ้าที่สวมตั้งแต่ข้างบนจรดข้างล่างของเด็กทั้งสี่คน นัยน์ตาคู่นั้นดูมืดครึ้มอย่างอดไม่ได้ ก่อนเงยหน้าเหลือบมองบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างตำหนิเล็กน้อย ซึ่งกู้เสี่ยวหวานไม่ปล่อยให้สายตาที่ตำหนิและไม่พอใจของแม่เหลียงเหยาผ่านไป

บ้านของแม่เหลียงเหยาและบ้านเก่าตระกูลกู้อยู่ติดกัน ที่แม่เหลียงเหยามองบ้านเก่าตระกูลกู้เช่นนี้ เป็นเพราะโทษคนในบ้านเก่าตระกูลกู้ที่ไม่มีความเมตตาไล่พวกเขาออกจากบ้านหรือ?

เพราะกู้เสี่ยวหวานทะลุมิติมา พูดตามตรงก็คือนางไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่ออาสามและอาสะใภ้สามเลยแม้แต่น้อย อาสามและอาสะใภ้สามพวกเขาจะดีก็ช่าง จะไม่ดีก็ช่าง เรื่องนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับกู้เสี่ยวหวานในตอนนี้เลยสักนิดเดียว

กู้เสี่ยวหวานกวาดสายตาเหลือบมองบ้านเก่าตระกูลกู้ตามแม่เหลียงเหยา แต่หลังจากที่แม่เหลียงเหยาเหลือบมอง นางก็ไม่พูดอะไรอีกเลย กู้เสี่ยวหวานก็ปิดปากแน่นไม่ถามอะไรมาก

แม่เหลียงเหยามองกู้เสี่ยวหวาน พลางเม้มปากแน่น อยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูด กู้เสี่ยวหวานจึงถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ “ท่านอาเหลียง ท่านมีเรื่องอะไรหรือไม่?”

แม่เหลียงเหยานึกไม่ถึงว่ากู้เสี่ยวหวานในตอนนี้จะสดใสเช่นนี้ แม้รูปร่างจะเล็กและซูบผอม แต่สายตากลับเฉียบแหลมอะไรเช่นนี้ ราวกับสามารถมองเห็นภายในใจนางอย่างทะลุปรุโปร่ง และมองความคิดที่อยู่ภายในใจของนางออกได้อย่างชัดเจน

แม่เหลียงเหยาตกตะลึงอยู่ภายในใจ เร่งรีบยกอ่างไม้ขึ้น พลางทำท่าว่าอยากจะเดินเข้าไปในบ้าน “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจ้ะ” จากนั้นก็ยกอ่างไม้ขึ้นพลางรีบเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

กู้เสี่ยวหวานหรี่ตา และไม่ปล่อยท่าทางตื่นตระหนกของแม่เหลียงเหยาให้หลุดลอยไป นางคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ เหตุที่แม่เหลียงเหยามองนางเช่นนี้ แถมยังมองบ้านเก่าตระกูลกู้เช่นนี้อีก ภายในนี้จะต้องมีความลับอะไรที่ไม่สามารถบอกกับคนอื่นได้อย่างแน่นอน

กู้เสี่ยวหวานมองดูบ้านเก่าตระกูลกู้ด้วยสายตาดุดัน ภายในบ้านเก่าตระกูลกู้หลังนี้มีญาติพี่น้องสองคนอาศัยอยู่ และนับว่าเป็นคนที่ทำลายครอบครัวของกู้ฉวนฝูด้วยน้ำมือของตนเอง

แต่ตอนนี้พวกเขากลับอาศัยอยู่ในบ้านเก่าตระกูลกู้อย่างสุขสบายเช่นนี้ และยังกล้าขับไล่พี่น้องออกจากบ้าน คนอกตัญญูเช่นนี้ ยากที่กู้เสี่ยวหวานจะทนต่อความเกลียดชังในใจได้จริง ๆ

เพียงแต่ตอนนี้พวกเขามีคนน้อย ถึงอย่างไรแขนก็บีบขาที่ใหญ่ไม่ได้ แต่มันต้องมีสักวันหนึ่ง กู้เสี่ยวหวานจะต้องคืนความเจ็บปวดเป็นหมื่นเท่าให้กับพวกเขาแน่ ไม่เพียงแต่อาสามและอาสะใภ้สาม แต่ยังรวมถึงกู้ซินเถาจากครอบครัวของท่านลุงอีกคนที่ทำร้ายกู้เสี่ยวหวานในอดีตจนตาย ก็จะต้องสั่งสอนให้พวกเขาได้ลิ้มรสชาติของโลหิตให้ได้

ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือต้องทำให้ครอบครัวยืนหยัดขึ้นมาให้ได้อย่างรวดเร็ว มีแต่ต้องให้พวกเขาใช้ชีวิตให้ดีขึ้น หากมีเงินแล้ว พวกเขาถึงจะสามารถทำในสิ่งที่พวกเขาอยากทำได้

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้คิดมาก นางสงบจิตใจให้มั่นคง จากนั้นก็พาพวกน้อง ๆ เดินไปทางป่าไผ่

แม่เหลียงเหยาที่ยกอ่างไม้ขึ้นมาพลางหลบหนีกระเจิดกระเจิงอยู่ในสายตาของกู้เสี่ยวหวาน นางหลบหนีเข้ามาในห้อง และเมื่อมองจากในซอกประตูก็เห็นกู้เสี่ยวหวานกับพวกน้อง ๆ เดินไปไกลแล้ว ในใจของแม่เหลียงเหยาถึงค่อย ๆ สงบลง

และมีบุคคลหนึ่งเดินออกมาจากในห้อง เมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นตระหนกของแม่เหลียงเหยา ก็ถามอย่างเป็นห่วงขึ้นมา “ได้เจอกับสาวน้อยตระกูลกู้แล้วหรือ?”

แม่เหลียงเหยาตบหน้าอก พลางส่งเสียงอืมออกมา “ใช่แล้ว เจอเมื่อครู่ตอนที่กำลังเทน้ำอยู่ด้านนอก” ในระหว่างที่กำลังเอ่ยอยู่นั้นก็รู้สึกราวกับได้เห็นสายตาที่ดุดันของกู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง สายตาคมกริบเช่นนี้ดูไม่เหมือนสายตาที่เด็กสาวอายุแปดขวบคนหนึ่งควรจะมี

อีกทั้งท่าทางเช่นนั้นก็ดูเฉียบแหลมราวกับรู้ความคิดในใจแม่เหลียงเหยาแล้ว

แม่เหลียงเหยาเล่าความคิดของนางให้ช่างไม้เหลียงฟังอย่างหนักอกหนักใจ ช่างไม้เหลียงจึงตบไหล่ของแม่เหลียงเหยาเบา ๆ พร้อมกับพูดให้คลายความกังวล “เจ้าอย่าคิดมากเลย กี่ปีมาแล้วที่ในใจเจ้าแบกรับเรื่องนี้เอาไว้มาโดยตลอด จึงมีแต่เรื่องที่หนักอกหนักใจ และผ่านมันไปไม่ได้ ทั้งยังกลัวที่จะต้องเจอพวกเด็กเหล่านั้นอีก เรื่องทั้งหมดมันผ่านไปนานแล้ว อดีตก็คืออดีต ซึ่งมันดีต่อทุกคนแล้ว ฉะนั้นเจ้าก็อย่าคิดมากไปเลย ในใจไม่ควรมีความกดดันมากเกินไป ในตอนนั้น เจ้ารู้ความลับนั้นด้วยความบังเอิญ แต่ในตอนนี้ คนที่รู้ความลับส่วนหนึ่งก็ตายไปแล้ว ส่วนคนอีกส่วนหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่พูดออกมาอย่างแน่นอน เจ้าอย่าเสียใจไปเลย”

“เฮ้อ ข้าเพียงแค่สงสารพวกเด็กเหล่านั้นที่อายุยังน้อยแต่กลับไม่มีพ่อแม่แล้ว น่าสงสารจริง ๆ!” แม่เหลียงเหยาเช็ดน้ำตา พลางเอ่ยขึ้นมาด้วยความปวดใจ เมื่อครู่ที่เห็นรูปร่างผอมแห้งราวกับท่อนไม้ของพวกเด็ก ๆ เสื้อผ้าที่ขาดชำรุด นางก็รู้สึกเจ็บปวดใจ

“เจ็บปวดใจไปพวกเราก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเราไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา” ช่างไม้เหลียงก็ส่งเสียงถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดขึ้นมา

“ท่านว่า พวกเราไปนำเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงดีหรือไม่? เด็กน้อยคนนั้นอายุยังน้อย พวกเรานำนางมาเลี้ยงให้เป็นลูกของพวกเรา หากเป็นเช่นนี้สาวน้อยกู้ก็จะไม่มีความกดดันมาก ท่านว่าจะสำเร็จหรือไม่?” แม่เหลียงเหยามองช่างไม้เหลียงอย่างคาดหวัง

แต่น่าเสียดายที่ช่างไม้เหลียงส่ายหน้า “เรื่องในตอนนั้น พวกเราไม่เคยพูดมาก่อน หากสถานการณ์เหมือนอย่างตอนนี้ ข้าก็คงละอายใจ ไม่มีหน้าไปพบเด็กพวกนั้นหรอก หากพวกเรารับกู้เสี่ยวอี้มาเลี้ยง รอจนนางเติบใหญ่ และหากว่านางรู้เรื่องในตอนนั้น นางจะไม่โทษพวกเราหรือ?”

“เฮ้อ….” เมื่อแม่เหลียงเหยาฟังจบ ก็มีเรื่องล้มเหลววนเวียนอยู่ในหัวหลายพันครั้ง และอยากจะพูดออกมาหลายครั้ง แต่ลิ้นกลับพันกันจนต้องกล้ำกลืนมันลงไป นางถอนหายใจยาวออกมา พลางถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านคงหิวแล้วกระมัง ข้าจะไปตักโจ๊กมาให้ท่าน…”

นางทำได้แค่ล้มเลิกความคิด ขณะที่ในใจกลับเต้นแรงเมื่อเปิดประตูมองดูข้างนอกลานบ้านที่ว่างเปล่า คนที่อยู่นอกรั้วเมื่อครู่ในตอนนี้ได้เดินห่างออกไปไกลแล้ว แต่ในใจของแม่เหลียงเหยากลับไม่อาจสงบลงได้เป็นเวลานาน

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันนะ แม่เหลียงเหยาถึงได้รู้สึกผิดต่อเด็ก ๆ ขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)