ตอนที่ 61 สังเวยชีวิตเพื่อความรัก
สิ้นประโยคนั้น เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อชะงักไป เซี่ยชิงเหยาก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
แย่แล้ว เอาบิดาตัวเองมาขายเสียแล้ว
แม้ว่ามารดาจะไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่สองสามวันมานี้กลับมีท่าทีทุกข์ใจปรากฏให้เห็น เซี่ยชิงเหยาเองก็ไม่ใช่คนที่จะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง คงใคร่ครวญหาเหตุผลอยู่เงียบๆ มาสักพักแล้ว
คิดไปคิดมาแล้ว เรื่องที่ท่านพ่อมีบ้านเล็กบ้านน้อยก็มีความเป็นไปได้มากพอตัว
ไม่สิ ท่านพ่อต้องมีบ้านเล็กบ้านน้อยเป็นแน่!
เซี่ยชิงเหยายืนขึ้นพลางกล่าว “อาซื่อ ในเมื่อเราต่างเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้ ข้าจะไปเตือนท่านแม่…”
“ช้าก่อน ข้าเห็นพ้องด้วยเสียตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เจียงซื่อฉงนเล็กน้อย
“เจ้าไม่ได้เพิ่งบอกว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับท่านพ่อหรอกหรือ”
เจียงซื่อที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกรีบดึงให้เซี่ยชิงเหยานั่งลงเสียก่อน “ทำไมเจ้าถึงเพียงได้ยินเสียงลมก็ทึกทักว่าฝนจะตกกันนะ ที่ข้าหมายถึงคือเป็นไปได้ว่าท่านลุงอาจจะร่างกายไม่สู้ดีนัก ท่านป้าจึงกลุ้มใจเรื่องสุขภาพของท่านลุงก็เป็นได้”
เรื่องที่หย่งชังปั๋วเข้าไปนอนอยู่ในเล้าหมูกลายเป็นเรื่องเล่าขบขันหลังมื้ออาหารของชาวเมืองอยู่นาน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีก็ยังมีคนยกขึ้นมาพูด ความจริงก็มิใช่เรื่องแปลกอะไร
จวนหย่งชังปั๋วเชิญหมอชื่อดังหลายคนให้มาหาสาเหตุของพฤติกรรมแปลกประหลาดนี้ หย่งชังปั๋วป่วยด้วยอาการลุ่มหลง หรือจะเรียกว่าเป็นโรคนอนละเมอก็ย่อมได้
น่าเสียดายที่เรื่องเล่าขบขันนี้แพร่กระจายไปทั่วตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
สิ่งที่สร้างความลำบากใจให้เจียงซื่อในขณะนี้คือ นางควรจะเตือนสหายของนางย่างไรดี
“ร่างกายไม่สู้ดี?” เซี่ยชิงเหยาส่ายหัวโดยไม่ต้องคิด “ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่ หากท่านพ่อร่างกายไม่สู้ดี ท่านแม่คงต้องรีบตามหมอมาดูแต่แรก เชิญหลิวเซียนกูมาจะมีประโยชน์อันใด”
“แต่หากท่านลุงมีบ้านเล็กบ้านน้อยจริง ท่านป้าจะเชิญหลิวเซียนกูมาด้วยเหตุอันใดเล่า” เจียงซื่อถามกลับ
เซี่ยชิงเหยาพูดด้วยเสียงเบาลงว่า “ข้าเคยอ่านปกิณกะเกี่ยวกับหนานหลาน มีหญิงบางคนสามารถใช้วิชาเปลี่ยนใจชายที่ไม่รักดีได้”
เจียงซื่อ “…”
เซี่ยชิงเหยาลูบหน้าผากอย่างว้าวุ่นใจ
เกือบทำให้ท่านแม่ขายหน้าอีกคนแล้วเชียว
“ชิงเยา ข้าว่าเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ด้วยฐานะสูงส่งของท่านป้า ต่อให้ท่านลุงมีบ้านเล็กบ้านน้อย เจ้าว่าท่านป้าจะทำเรื่องเช่นนั้นหรือ”
“ถ้าเช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ โธ่ หลิวเซียนกูก็มาตายพอดิบพอดี” เซี่ยชิงเหยาถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
“อย่าหน้านิ่วคิ้วขมวดไปเลย ในเมื่อท่านป้าไม่สะดวกใจจะพูด เจ้าก็อย่าไปเซ้าซี้ท่านเลย ลองไปแอบถามจากบรรดาพี่สาวที่ใกล้ชิดท่านป้า และหมั่นสังเกตความเคลื่อนไหวของท่านลุงให้ดี ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะพบความจริงบางอย่างเข้า”
โรคนอนละเมอของหย่งชังปั๋วรุนแรงถึงขั้นพาร่างตัวเองเข้าไปนอนอยู่ในเล้าหมู แน่นอนว่าอาการเช่นนี้คงมิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ฮูหยินคงจับสังเกตได้ว่าสามีผิดแปลกไปจากปกติ เมื่อนึกถึงเรื่องไสยเวทย์ขึ้นมา จึงมีความคิดที่จะให้หลิวเซียนกูมาขจัดสิ่งชั่วร้าย
หลิวเซียนกูจากไปอย่างกะทันหัน หย่งชังปั๋วฮูหยินก็ว้าวุ่นใจขึ้นมาพอดี หากเซี่ยชิงเหยารอบคอบเสียหน่อยก็คงหาสาเหตุที่ผู้เป็นมารดาทุกข์ใจได้ไม่ยาก
“อื้อ ข้าจะกลับไปดู จริงสิ อาซื่อ เจ้าเคยสนทนากับหลิวเซียนกูมาก่อนหรือไม่” เรื่องราวน่าอัศจรรย์ชวนพิศวงของหลิวเซียนกูที่จากไปในช่วงที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ ทำให้หญิงสาวอย่างเซี่ยชิงเหยาสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก
เจียงซื่อขมวดคิ้วพลางยิ้มบางๆ ตอบว่า “เคยทักทายกัน เพราะนางก็เคยมาพักอยู่ที่บ้านข้าสองคืน”
“ข้าได้ยินมาว่าคดีฆาตกรรมหลิวเซียนกูสร้างความตื่นตะหนกแก่ซานฝ่าซือ[1] ไม่น้อย เจ้าหน้าที่ในเขตซุ่นเทียนวิ่งกันให้วุ่น อาซื่อ เจ้าคิดว่าจะจับฆาตกรที่ฆ่าหลิวเซียนกูได้หรือไม่”
“เห็นจะยาก”
“เพราะเหตุใดกัน”
เจียงซื่อยกชาขึ้นมาจิบพลางคิดในใจ เพราะคนดีย่อมได้รับสิ่งดีเป็นการตอบแทนอย่างไรล่ะ
“เล่นตัวอีกแล้ว”
เจียงซื่อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เล่นตัวเสียหน่อย หลิวเซียนกูรู้จักมักจี่กับบรรดาลัทธิต่างๆ ตั้งมากมาย ความสัมพันธ์พัวพันซับซ้อน ใคร่จะจับตัวคนร้าย เกรงว่าจะไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร”
ในช่วงเวลานั้น คนที่เอ่ยถึงฆาตกรที่ฆ่าหลิวเซียนกูอย่างโหดเหี้ยมไม่ได้มีเพียงสหายรักคู่นี้ แต่หัวข้อสนทนานี้กลายเป็นประเด็นร้อนไปทั่วทั้งเมือง
ส่วนฆาตกรออกจากเมืองหลวงไปกบดานอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยลี้เสียตั้งนานแล้ว
ชายผู้มีใบหน้าสุขุมเย็นชาก้าวเท้าอย่างมั่นคงเข้าไปในเรือน
“ฉินเจียงจวิน หมู่นี้ไม่เห็นท่านไปที่โรงเตี้ยมเลย” คนที่เดินผ่านมาเอ่ยทัก
“เดี๋ยวข้าไป” ชายผู้นั้นส่งยิ้ม หากเทียบกับสภาวะเซื่องซึมหม่นหมองในอดีต ดูเหมือนว่าเขาผู้นี้จะดูผ่อนคลายขึ้นมากแล้ว ราวกับได้รับการเติมเต็มจิตวิญญาณอีกครั้ง
แต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว อาการเช่นนี้กลับสร้างความรู้สึกหวาดกลัวให้แก่ผู้ที่พบเห็น
ชายผู้นี้เปรียบเสมือนเปลวเพลิง ที่แม้ดูสว่างไสว แต่ก็สามารถเผาทำลายชีวิตของตนเองให้กลายเป็นเถ้าธุลีได้เช่นกัน
เรือนซอมซ่อหลังเล็กปรากฏอยู่เบื้องหน้า เขาผลักประตูและเดินเข้าไปสำรวจรอบๆ แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของเด็กหนุ่มผู้นั้น
เขาเดินเข้าไปกลางลานนั้นอีกครั้ง เปิดฝาถังและตักน้ำขึ้นมาดื่มสองสามอึก จากนั้นกระโดดลงไปในถัง อาบน้ำอย่างสบายใจแล้วจึงสวมอาภรณ์ชุดใหม่
เสื้อคลุมที่ถูกเย็บโดยคู่หมั้นของเขาเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำจากเนื้อผ้าอย่างดี จนถึงตอนนี้เสื้อคลุมนั้นยังคงสีสดเหมือนใหม่ไม่มีผิดเพี้ยน
เพียงแต่ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ได้เปลี่ยนจากแม่ทัพหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาให้กลายเป็นชายหนุ่มเสเพลที่เสพสุขจากสุราชั้นดี เสื้อคลุมอย่างดีกับสภาพชายหนุ่มในขณะนี้จึงดูขัดกันอย่างสิ้นเชิง
เขาดึงชายเสื้อคลุมอย่างถะนุถนอม พลางสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปนอกเรือน
เท้าที่ย่ำไปตามทางเดินสายเล็กในชนบทสัมผัสได้ถึงความชื้นจากพื้นดิน ในท้องทุ่งนอกจากจะมีสีเขียวขจีจากพืชพันธุ์แล้ว ยังมีเนินดินที่นูนโป่งขึ้นมาให้เห็นประปราย
มันคือหลุมฝังศพ
คู่หมั้นของชายผู้นี้ถูกฝังไว้ในสถานที่เช่นนั้น เฝ้ารอเขาอยู่นานแล้ว
มีหลุมฝังศพหลุมหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป หลุมนั้นต่างจากหลุมอื่นๆ ตรงที่ใกล้หลุมศพนั้นมีกระท่อมมุงจากอยู่หลังหนึ่ง
ชายเป็นผู้สร้างกระท่อมนั้นขึ้นมา หากมีวันใดรู้สึกอดทนแบกรับเรื่องต่างๆ ต่อไปไม่ไหว เขาจะหลบมาพักอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองวัน
แต่ครานี้ชายไม่ได้เข้าไปในกระท่อมหลังนั้น แต่กลับไปนั่งอยู่หน้าหลุมศพ พลางลูบใบหญ้าที่ขึ้นบนเนินดินอย่างเบามือ
ซากกระดูกถูกฝังกลบอยู่ใต้เนินดินสีเขียวสด เพียงหวนนึกถึงก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งหัวใจ
เขาไม่รู้ว่าตนนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่นั่นนานเพียงใด เพราะแม้แต่นกที่พักเกาะอยู่บนกิ่งไม้ยังเบื่อหน่ายจึงกางปีกบินหนีไป
เขาก้มหน้าพลางหยิบปิ่นปักผมที่เก็บไว้ในอกเสื้ออกมา
แม้ปิ่นปักผมนี้จะเก่ามากแล้ว แต่ปลายปิ่นก็ยังแหลมคม มันคือของขวัญที่เขายังไม่ทันมอบให้นางเสียด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มจ่อปิ่นนั้นไปที่อกซ้ายของตน พลางครุ่นคิดอย่างหนัก
ออกแรงหน่อย ก็คงใช้เวลาไม่นาน
เสียงฝีเท้าดังขึ้น ชายจึงกำปิ่นทองพลางผุดลุกขึ้นทันที ตาหันมองต้นตอของเสียงนั้นอย่างระแวดระวัง
เด็กหนุ่มผู้นำการเปลี่ยนแปลงสะเทือนพิภพมาสู่ชีวิตชายหนุ่ม ยืนทำสีหน้าพิลึกพิลั่นห่างออกไปไม่ไกล ใต้เท้าเด็กหนุ่มมีปลาสองตัวกระโดดเด้งไปมา
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ชายถือปิ่นทองเดินตรงไป
อาเฟยเลียริมฝีปากพลางเอ่ย “ท่านอย่าเพิ่งตกใจไป ข้าก็มารอท่านอยู่อย่างไรล่ะ”
สมัยนี้ทองคำไร้ค่าถึงเพียงนี้แล้วหรือ เหตุใดผู้คนจึงนิยมนำมันมาใช้ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้กันนะ
ชายก้มหน้าจ้องมองปลาเฉ่าที่กระโดดไปมาอย่างร่าเริง
อาเฟยรีบชูสองมือขึ้นพลางเอ่ยปาม “ท่านใจเย็นลงก่อน ปลานั่นมิได้ทำผิดอันใด”
ก็เขารออยู่ที่กระท่อมซอมซ่อนี้มาแสนนาน นึกอยากกินปลาย่างขึ้นมาบ้างไม่ได้หรือไร
“เจ้าไปซะ” ชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
อาเฟยขบปลายลิ้นแน่น
ชายผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก เมื่อครู่คงคิดจะปลิดชีพตัวเองแล้วจริงๆ หากชีวิตของตนเองยังไม่ไยดี ระหว่างทางเกิดนึกอยากได้สหายร่วมดื่มสุราสักคนขึ้นมาล่ะ
“ในเมื่อกลัวขนาดนั้นแล้วทำไม่ยังรีบหนีไปอีก”
“ความจริง ผู้ที่ส่งจดหมายมาให้ท่านสั่งให้ข้ามาบอกบางสิ่งแก่ท่านด้วย”
“ช่างเถอะ” ชายหนุ่มเลิกสนใจอาเฟย และเดินกลับไปยังหลุมศพ
อาเฟยกลั้นใจเอ่ยขึ้นว่า “ท่านฝากบอกว่า คู่หมั้นของท่านจากไปเป็นสิบปีแล้ว คงไปเกิดในภพภูมิใหม่แล้ว ครั้นท่านจะตามหา ก็คงหาไม่พบ”
[1] ซานฝ่าซือ คือ กองกฎหมายทั้ง 3 ซึ่งได้แก่ กรมอาญา กรมตรวจตราและศาลต้าหลี่