“เอาเจ้านี่ตั้งไว้ตรงนี้… แล้วก็เอาสายนี่เสียบเข้าไปตรงนี้… เสร็จแล้วก็โยนเจ้านั่นไปไว้ตรงนู้น~”
 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่อลิซกำลังจะเริ่มการสอบนั้น ภายในห้องทำงานของท่านผู้อำนวยการที่อยู่บนชั้นห้าของอาคารเรียนเองก็มีเอริกะกำลังพูดขึ้นมาเป็นทำนองเพลงอย่างร่าเริงก่อนที่เธอจะเดินถอยออกมาจากอุปกรณ์ทรงครึ่งวงกลมขนาดประมาณหนึ่งท่อนแขนแล้วจึงพูดขึ้นมาด้วยความอารมณ์ดี

 

“เรียบร้อยแล้ว~ เอาล่ะ ที่เหลือก็แค่ให้ท่านผู้อำนวยการกดปุ่มบนอุปกรณ์ที่ชื่อว่ารีโมตนั่นแล้วเดี๋ยวมันก็จะทำการส่งภาพมาแล้วล่ะค่ะ~”

 

ผู้ที่เอริกะหันกลับไปพูดด้วยนั้นก็คือท่านผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัสในชุดเกราะเต็มตัวสีขาวประดับสีทองที่ถอดผ้าคลุมสีแดงที่เขาสวมใส่ในพิธีเปิดภาคเรียนออกไปแล้วนั่นเอง ซึ่งท่านผู้อำนวยการก็ได้ยื่นมือไปหยิบรีโมตที่เขาวางทิ้งไว้ข้างๆ ขึ้นมาถือเอาไว้และพูดถามเอริกะขึ้นมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

 

“ปุ่มนี้งั้นสินะ…”

 

“ค่า~ ถึงมันจะเป็นปุ่มสีแดงก็เถอะแต่รับรองว่าไม่ระเบิดแน่นอนค่ะ~”

 

ปิ๊บ—

 

ผู้อำนวยการที่ได้ยินคำตอบของเอริกะนั้นได้กดลงไปบนปุ่มสีแดงที่มีสัญลักษณ์บางอย่างขีดเอาไว้ในทันทีโดยไม่สนใจคำพูดยียวนของเอริกะซึ่งนั่นก็ทำให้ตัวรีโมตส่งเสียงอะไรบางอย่างออกมาเล็กน้อยก่อนที่ทันใดนั้นเองตัวอุปกรณ์ทรงครึ่งวงกลมที่เอริกะจัดการเสร็จไปเมื่อสักครู่จะส่องลำแสงเส้นเล็กๆ จำนวนมากออกมา

 

วิ๊ง….

 

ลำแสงเส้นเล็กๆ จำนวนมากที่ถูกยิงออกมาจากตัวอุปกรณ์นั้นได้พุ่งตัดกันไปมาจนเกิดเป็นภาพมุมสูงของสนามหญ้าที่มีอลิซกับอารอนและเด็กนักเรียนทั้งสามคนกำลังยืนกันอยู่ ซึ่งภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นก็ถึงกับทำให้ท่านผู้อำนวยการหลุดปากออกมาด้วยความตกตะลึง

 

“โฮ่… นี่น่ะหรอสิ่งประดิษฐ์ที่เธอพยายามจะซ่อนให้พ้นจากมือของวังหลวงน่ะเอริกะ? หือ…?”

 

ซ่า…

 

ในขณะที่ท่านผู้อำนวยการกำลังตกตะลึงอยู่กับภาพสามมิติที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศนั้นเขาก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะว่าภาพเคลื่อนไหวของสนามหญ้าที่เบลอๆ เล็กน้อยนั้นได้แตกเป็นเส้นเล็กๆ จนแทบดูไม่ออกว่ามันคือภาพของอะไรกันแน่ ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องเดินเข้าไปหมุนสายที่ถูกเสียบเอาไว้ที่ตัวเครื่องอยู่สองสามทีจนภาพที่ถูกฉายขึ้นมาชัดเจนขึ้นบ้างถึงแม้ว่ามันจะยังคงแตกเป็นเส้นๆ อยู่เป็นช่วงๆ ก็ตามทีแล้วจึงพูดอธิบายขึ้นมาให้เขาฟัง

 

“มันใช้ได้แค่ในระยะสั้นๆ เท่านั้นแหล่ะค่ะ แถมยังคุณภาพไม่ถึงขั้นที่ฉันหวังเอาไว้ด้วย นี่ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะว่าท่านผู้อำนวยการเป็นห่วงเด็กนักเรียนที่จะรับการทดสอบของวันนี้จนมาปรึกษาฉันล่ะก็ ฉันคงจะไม่เอามันออกมาให้ท่านเห็นแบบนี้หรอกค่ะ~”

 

“ยังไม่ถึงขั้นที่หวังเอาไว้งั้นหรอ… แบบนี้ก็หมายความว่าเจ้านี่คงจะยังพัฒนาต่อไปได้มากกว่านี้อีกงั้นสินะ”

 

“ต้องบอกว่าเจ้านี่มันเป็นอุปกรณ์ที่ถูกดัดแปลงจนสามารถสร้างขึ้นมาด้วยทรัพยากรเท่าที่พวกคุณพอจะหามาให้ฉันได้ซะมากกว่าค่ะ นี่มันก็เป็นเพราะว่าพวกคุณดันหาสิ่งที่ฉันต้องการมาให้แทบจะไม่ได้ ฉันก็เลยต้องมานั่งดัดแปลงมันจนสร้างได้แต่ของคุณภาพแย่ๆ แบบนี้เนี่ยแหล่ะ”

 

เอริกะพูดบ่นขึ้นมาก่อนจะเดินไปนั่งไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะทำงานของท่านผู้อำนวยการเหมือนกับว่าไม่เกรงกลัวท่านผู้อำนวยการของโรงเรียนรีมินัสที่ใครๆ ต่างก็ให้ความเคารพเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าท่านผู้อำนวยการก็เหมือนว่าจะไม่ถือสาอะไรเอริกะมากนักและพูดอธิบายถึงสาเหตุที่เขาสรรหาสิ่งที่เธอต้องการมาให้ไม่ได้ออกมา

 

“ก็ปกติแล้วเวลาจะทำเหมืองกันใครๆ เขาก็ขุดกันแต่คริสตัลวิซนี่… ใครจะไปคิดล่ะว่าพวกก้อนหินสีดำกับของเหลวเหนียวๆ ที่มีพิษพวกนั้นจะสามารถเอามาสร้างอะไรแบบนี้ได้กันน่ะ”

 

“ก็ถ้าดูจากพื้นฐานการดำรงชีวิตของพวกคุณที่มีปัจจัยสำคัญอยู่ที่พลังวิซกับคริสตัลที่แสนจะสะดวกสบายแบบนี้แล้วการที่พวกคุณจะไม่เห็นคุณค่าของพวกมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่หรอกค่ะ… แล้วถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะให้พวกคุณเข้าไปยุ่งกับของพวกนั้นมากสักเท่าไหร่ด้วย เพราะว่ามันก็เป็นอย่างที่พวกคุณรู้กันว่ามันเป็นพิษกับสิ่งมีชีวิตแล้วก็อาจจะทำลายสภาพแวดล้อมเป็นวงกว้างได้ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องน่ะ…”

 

“ที่เธอรู้แบบนั้นก็คงจะเป็นเพราะว่าพวกเธอเคยผ่านอะไรแบบนั้นมากันหมดแล้วงั้นสินะ…?”

 

“…..”

 

เอริกะที่ถูกท่านผู้อำนวยการพูดถามขึ้นมานั้นได้ปิดปากเงียบและจ้องมองภาพที่ถูกฉายขึ้นมากลางอากาศด้วยเครื่องมือของเธออยู่สักพักก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนกับทุกครั้ง

 

“…เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเรามาดูการสอบวัดผลที่กำลังจะเริ่มกันดีกว่าค่ะ~ น่าลุ้นเหมือนกันนะคะเนี่ย~ เพราะถึงฉันจะรู้จักคอนแนลดีอยู่แล้วก็เถอะแต่ว่าเด็กสาวหูแมวคนนั้นก็ท่าทางจะเก่งอยู่เหมือนกันนะคะ~”

 

“หึ… เอาตามนั้นก็ได้… แต่ว่ามันจำเป็นที่จะต้องให้พวกนักเรียนมาต่อสู้กันแบบเอาชีวิตเข้าแลกแบบนี้จริงๆ งั้นหรอ?”

 

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้หรอกนะคะ… แต่เชื่อฉันเถอะค่ะว่าทั้งหมดนี่มันก็เพื่อตัวของพวกเขาเองน่ะ… เพราะว่ายิ่งฉันสร้างยูนิตที่เหมาะสมกับพวกเขาได้เร็วขึ้นมากสักเท่าไหร่มันก็ยิ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับพวกเขาได้มากขึ้นเท่านั้นนั่นแหล่ะค่ะ…”

 

กรึก…

 

เสียงของเอริกะที่พูดตอบเขากลับมาเบาๆ พร้อมกับเสียงของเล็บที่จิกเข้าไปในเนื้อเพราะว่านักประดิษฐ์สาวกำลังกำหมัดแน่นจนเลือดซึมออกมานั้นถึงกับทำให้ท่านผู้อำนวยการนิ่งไปสักพักแล้วจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก

 

“ถ้ายังไงก็อย่าฝืนตัวเองจนเกินไปละกันนะ…”

 

“ฮะฮะ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็คงจะไม่ทันแล้วล่ะค่ะ… เอาเป็นว่าหลังจากการสอบรอบนี้ฉันจะทิ้งเครื่องนี้กับวิธีการติดตั้งมันเอาไว้ให้เผื่อว่าท่านผู้อำนวยการอยากจะจับตาดูการสอบครั้งต่อๆ ไปก็ละกันนะคะ แล้วถ้ายังไงก็ช่วยเก็บมันเอาไว้อย่าให้ใครรู้ด้วยละกันค่ะ~”

 

“ถ้าเธอขอแบบนั้นล่ะก็นะ…”

 

ท่านผู้อำนวยการในชุดเกราะสีขาวประดับลายทองได้พยักหน้าตอบเอริกะกลับไป ก่อนที่พวกเขาจะหันกลับไปมองภาพของอลิซที่กำลังพูดอธิบายอะไรสักอย่างให้ซิลเวสกับคอนแนลฟังอยู่โดยที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงของเธอ

 

 

“ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ ก็คือว่าทางผู้ผลิตยูนิตต้องการที่จะทราบถึงความสามารถที่แท้จริงของพวกเธอเพื่อที่เขาจะได้จัดการเตรียมยูนิตแบบที่เหมาะสมให้กับพวกเธอได้ถูกต้อง เพราะงั้นฉันก็เลยต้องมาจับให้พวกเธอสู้กันเพื่อที่จะได้เอาไปรายงานให้เขาได้ถูกไงล่ะ…”

 

“งั้นเองหรอครับ…”

 

หลังจากที่อลิซได้อธิบายเหตุผลที่ต้องมีการจับเด็กนักเรียนสองคนมาสู้กันให้กับเด็กนักเรียนผู้โชคร้ายของเธอฟังไปนั้น หนึ่งในเด็กผู้โชคร้ายผู้มีเส้นผมสีฟ้าและหูแมวบนศีรษะก็ได้ยกมือขึ้นมาพร้อมกับกระโดดหย็องแหย็งเรียกความสนใจจากอลิซไป

 

“ค่าๆ มีคำถามค่า~! เห็นตอนแรกอาจารย์อลิซบอกว่าเป็นการสอบ นี่หมายความว่าการต่อสู้ครั้งนี้มีการเก็บคะแนนด้วยหรือเปล่าคะ?”

 

“ใช่… เพราะว่าหลังจากที่เธอได้รับยูนิตส่วนตัวกันไปแล้วจะมีการทดสอบเพื่อวัดความสามารถของพวกเธออีกครั้งหนึ่ง เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยต่อสู้กันอย่างจริงจังเหมือนกับว่าเจ้าอัศวินแว่นนั่นกำลังจะเข้ามาทำมิดิมิร้ายเธอด้วย”

 

“ด—เดี๋ยวสิครับ!!”

 

“หว๋าย… นี่พี่คอนแนลเป็นคนแบบนี้เองหรอคะเนี่ย?”

 

“ทำมิดีมิร้ายนี่หมายความว่าอะไรหรอคะพี่อารอน?”

 

“เธอไม่ต้องไปสนใจหรอก… เอาเป็นว่าจับตาดูทั้งสองคนนั้นเอาไว้ให้ดีๆ ละกันนะ… ถ้าเกิดอะไรขึ้นละก็ทำตามที่ฉันเคยสอนไปล่ะ… ยังจำได้อยู่ใช่มั้ย…?”

 

“เอ๋ะ? อ… อื้อ! จำได้สิคะ!”

 

คาร์เทียร์รีบพูดตอบอารอนกลับไปและกอดกระเป๋าพยาบาลในอ้อมกอดแน่นขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปทางเด็กนักเรียนทั้งสองคนที่ยืนอยู่กลางสนามหญ้าแบบตาไม่กะพริบ ในขณะที่อลิซนั้นก็ได้พูดอธิบายกฏของการต่อสู้ขึ้นมา

 

“สนามสอบคือสนามหญ้าทั้งสนาม ไม่มีสิ่งกีดขวางให้หลบซ่อนเพราะว่ามันไม่จำเป็น… พวกเธอเดินแยกกันออกไปก่อนสักสิบเมตร แล้วฉันจะให้เวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งนาที จำเอาไว้ว่าให้ต่อสู้กันอย่างจริงจังเหมือนกับมีชีวิตเป็นเดิมพัน มีอะไรก็งัดออกมาใช้ให้หมด ไม่ต้องกลัวว่าถ้าหนักมือไปแล้วอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตเพราะที่นี่มีทั้งฉันทั้งเอริซาเบธแล้วก็อารอนคอยดูแลอยู่ เดินแยกกันไปได้!”

 

คำพูดอธิบายกฏของอลิซที่ฟังดูประหลาดๆ นั้นถึงกับทำให้เกิดเสียงพูดคุยซุบซิบกันในหมู่นักเรียนห้องสามที่จับตามองดูกันอยู่บนอาคารเรียนขึ้นมาในทันทีเพราะดูท่าทางว่าอาจารย์หน้าใหม่คนนี้เหมือนจะไม่เห็นประโยชน์ของสิ่งกีดขวางหรือว่าที่หลบซ่อนเลยแม้แต่น้อย

 

‘เฮ้ยๆ ยัยเด็กนั่นไหวปะเนี่ย? การหลบซุ่มโจมตีเนี่ยนะไม่จำเป็น?’

‘นั่นสิ ทั้งๆ ที่บอกว่าให้สู้เหมือนกับเอาชีวิตเป็นเดิมพันแท้ๆ เนี่ยนะ การหลบแล้วซุ่มโจมตีก็เป็นวิธีนึงที่จะเอาชีวิตรอดได้เหมือนกันไม่ใช่หรือไง?’

‘แต่ถ้าเกิดว่าศัตรูตามรอยเก่งๆ จนรู้ว่าพวกเราหลบอยู่ตรงไหนมันก็ฟังดูไม่จำเป็นจริงๆ นะคะ’

‘แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งกีดขวางก็ยังใช้หลบการโจมตีของศัตรูได้อยู่นี่ มันจะไม่จำเป็นได้ยังไงกันล่ะ?’

‘แล้วถ้าเกิดว่าศัตรูทั้งตามรอยเก่งทั้งโจมตีได้แรงจนที่กำบังเอาไม่อยู่ถ้ามัวแต่หลบอยู่แบบนั้นมันก็เหมือนกับรอวันตายเลยไม่ใช่หรอคะ?

‘มันจะไปมีคนที่ทำอะไรแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า คิดบ้างสิยัยยักษ์นี่!!’

 

“เริ่มการต่อสู้ได้!!”

 

เสียงของอลิซที่ดังขึ้นมาเป็นสัญญาณการเริ่มต่อสู้นั้นทำให้เสียงซุบซิบนินทาเงียบลงไปอีกครั้งเมื่อทุกคนได้หันไปสนใจเรื่องที่น่าจะสนุกกว่าการนินทาอย่างเช่นเรื่องที่ว่าอัศวินหนุ่มคอนแนลจะถูกค้อนยักษ์ทุบจนบี้แบนในกี่นาทีกันแทน

 

ซึ่งทางด้านคอนแนลที่ถูกสั่งว่าให้ต่อสู้อย่างจริงจังเหมือนกับการใช้ชีวิตเป็นเดิมพันนั้นก็ได้ลดดาบของตนลงเล็กน้อยพร้อมกับยื่นโล่ของเขามาทางด้านหน้าอันเป็นรูปแบบที่เน้นเรื่องการป้องกันที่เขามั่นใจที่สุดในทันที ในขณะที่ซิลเวสนั้นก็กำลังโบกค้อนของเธอเล่นไปมาเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมก่อนจะพูดถามคอนแนลที่ตั้งท่าป้องกันอยู่ขึ้นมา

 

“พี่คอนแนลไม่เข้ามาหรอ~?”

 

“….”

 

คอนแนลที่ถูกพูดถามขึ้นมานั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับไปและขยับโล่ของเขาเล็กน้อยเป็นการยั่วยุ ซึ่งซิลเวสที่เห็นว่าคอนแนลไม่มีท่าทีว่าจะบุกเข้ามาก่อนเลยแม้แต่น้อยนั้นก็ได้กระดิกหูแมวของเธอเล็กน้อยก่อนที่ด้ามค้อนยักษ์ของเธอจะเรืองแสงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

“ถ้างั้น~ หนูขอเป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะ~!”

 

ฟุ๊บ—- ตึ้ง!!

 

“เหวอ—!?”

 

คอนแนลที่เอี้ยวตัวหลบค้อนขนาดใหญ่ตามแผนของเขาในทีแรกนั้นได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อแรงกระแทกของค้อนที่กระทบกับหน้าดินนั้นรุนแรงมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากจนทำให้เขาเสียจังหวะที่จะสวนกลับแถมยังปลิวกระเด็นไปไกลอีกด้วย

 

แต่ว่านอกจากที่คอนแนลได้ปลิวกระเด็นจนเสียโอกาสโจมตีกลับไปแล้วนั้นก็ยังนับว่าเขาโชคดีที่สามารถใช้โล่ในมือรับเศษดินเศษหินที่ปลิวมาตามแรงกระแทกได้ทันจนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ซึ่งซิลเวสที่เห็นคอนแนลหลบค้อนของเธอไปแบบนั้นก็ได้พูดขึ้นมาด้วยความเสียดายเพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครหน้าไหนทำท่าเหมือนกับว่าจะรับค้อนของเธอตรงๆ แบบนี้เลย

 

“อ้าว หนูก็นึกว่าพี่คอนแนลจะยืนรอรับซะอีกอ้ะ…”

 

“จะมีใครกล้าไปรับค้อนอันใหญ่ขนาดนั้นกันล่ะครับ!! ทีนี้ตาผมบ้างล่ะครับ!”

 

“อ้ะ—”

 

ซิลเวสที่เห็นคอนแนลเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาโจมตีบ้างนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเพราะว่าเมื่อสักครู่นี้เธอได้เหวี่ยงค้อนลงมาเต็มแรงด้วยความนึกสนุกจนทำให้ตัวหัวค้อนฝังลึกลงไปในหน้าดินจนเธอไม่สามารถดึงมันกลับขึ้นมาได้

 

ซึ่งคอนแนลที่เห็นแบบนั้นก็ได้เร่งฝีเท้ามากขึ้นกว่าเดิมเพื่อหวังที่จะเข้าถึงตัวซิลเวสให้ได้ก่อนที่เธอจะงัดค้อนของตัวเองขึ้นมาจากพื้นได้สำเร็จ จนทำให้ซิลเวสที่จนแล้วจนรอดก็ยังดึงอาวุธของเธอขึ้นมาจากพื้นไม่ได้นั้นต้องรีบหาทางออกอื่นในทันที

 

“เอ้า—ฮึ๊บ!”

 

ในจังหวะที่คอนแนลพุ่งเข้าไปประชิดตัวซิลเวสและฟาดดาบของเขาเข้าใส่เธอจนทำให้เหล่าเพื่อนร่วมห้องที่กำลังมุงดูกันอยู่จากทางด้านบนอาคารเรียนคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้คงจะจบลงไวกว่าที่คิดแล้วนั้น อยู่ๆ ซิลเวสก็ได้ส่งวิซของเธอเข้าใส่ตัวค้อนอีกครั้งจนด้ามจับของมันเรืองแสงขึ้นมาก่อนที่เธอจะไถลตัวไปตามพื้นโดยใช้ด้ามของค้อนยักษ์ต่างราวโหนเพื่อหลบไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของหัวค้อนขนาดยักษ์จนทำให้ดาบของคอนแนลพลาดเป้าไป

 

เคล๊ง!!

 

ครึก—ครึก—ครึก—

 

คอนแนลที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อนว่าดาบของตัวเองจะปะทะเข้ากับหัวของค้อนยักษ์อย่างจังนั้นถึงกับมือชาไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นก้อนดินและเศษหินบางส่วนที่อยู่ปลายสายตาของเขากำลังค่อยๆ ลอยขึ้นไปด้านบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ พร้อมกับเงาของอะไรบางอย่างที่ทาบลงบนพื้น

 

“น—นั่นมัน…”

 

“อ่ะ— พี่คอนแนลอย่าเพิ่งหันขึ้นไปสิ!”

 

สิ่งที่คอนแนลเห็นนั้นก็คือเศษดินเศษหินที่ได้ลอยขึ้นไปจับตัวกันเป็นก้อนทรงกลมบิดๆ เบี้ยวๆ ขนาดใหญ่ซึ่งมันก็กำลังขยายขนาดขึ้นไปเรื่อยๆ จนแทบจะใหญ่เกินกว่าสองเมตรอยู่แล้วและนั่นก็คงจะเป็นฝีมือของซิลเวสที่กำลังร้องโวยวายอยู่นั่นเอง

 

“บู่ว~~ เอาตอนนี้เลยก็ได้!”

 

ซิลเวสที่รู้ว่าแผนการของตัวเองถูกเปิดโปงแล้วนั้นได้พ่นลมออกมาจากปากของเธอด้วยท่าทางน่ารักน่าชังก่อนจะสั่งให้ก้อนดินขนาดยักษ์ที่ไม่ได้น่ารักไปด้วยเลยแม้แต่น้อยนั้นพุ่งเข้าใส่คอนแนลตรงๆ ในทันที

 

ซึ่งคอนแนลที่เห็นก้อนดินขนาดยักษ์กำลังพุ่งเข้ามาใส่นั้นก็ได้มีความคิดผุดขึ้นมาในหัวว่าถ้าเป็นนากาล่ะก็คงจะหลบได้อย่างสบายๆ อย่างแน่นอน แต่ว่าตัวเขาที่ไม่มีปัญญาจะทำแบบนั้นได้นั้นก็คงจะได้แต่ใช้จุดเด่นที่ทำให้เขาได้รับบรรจุเข้าไปเป็นหนึ่งในอัศวินเข้าไปรับมันตรงๆ เพียงเท่านั้น

 

ปุ้ง… ครึกกก——- โคร๊มมม!!

 

วิชาการป้องกันด้วยโล่ที่คอนแนลภาคภูมิใจนั้นได้แสดงความสามารถของมันออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าเด็กนักเรียนห้องสามรวมถึงทั้งอาจารย์หน้าใหม่หน้าเก่าอย่างเอริซาเบธ อลิซและอารอน เมื่อคอนแนลได้ใช้โล่เหล็กในมือของเขาเข้ารับก้อนดินที่อัดกันแน่นตรงๆ จนทำให้ก้อนดินขนาดยักษ์ได้แตกกระจายออกไปทุกทิศทุกทางโดยที่ตัวเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งสิ่งที่คอนแนลทำนั้นก็ถึงกับทำให้เกิดเสียงฮือฮาด้วยความชื่นชมดังขึ้นมาในหมู่เพื่อนร่วมชั้นกันในทันที เพราะถ้าเกิดว่าเป็นพวกเขาเองที่ใช้โล่เหล็กธรรมดาๆ แบบเดียวกับของคอนแนลเข้ารับก้อนดินยักษ์นั้นล่ะก็พวกเขาก็คงจะโดนทับจนบี้แบนติดกับพื้นดินกันไปแล้ว

 

ครืดดดดดดดด

 

เสียงของอะไรบางอย่างที่ถูกลากไปตามพื้นนั้นทำให้คอนแนลที่มองหาตัวซิลเวสอยู่ได้หันไปมองและพบว่าคู่ต่อสู้ตัวน้อยของเขานั้นกำลังลากค้อนยักษ์ของเธออ้อมไปอีกทางหนึ่งอยู่ ซึ่งซิลเวสที่เห็นว่าคอนแนลรู้ตัวแล้วนั้นก็ได้รีบพุ่งเข้ามาเหวี่ยงค้อนยักษ์เข้าใส่คอนแนลอีกครั้งในแนวขวางอย่างรวดเร็ว

 

“ช่วยไม่ได้นะครับแบบนี้…”

 

คอนแนลพูดพึมพำออกมาก่อนที่เขาจะตั้งโล่ขึ้นอีกครั้งหนึ่งจนทำให้ทุกคนได้เห็นว่าบัดนี้คอนแนลได้เสียบดาบของเขาเอาไว้ตรงช่องเก็บดาบที่ถูกติดตั้งเอาไว้บนตัวโล่ อีกทั้งตัวโล่ของคอนแนลนั้นก็กำลังมีบางอย่างที่สะท้อนแสงระยิบระยับเกาะกลุ่มกันอยู่เบื้องหน้าอีกด้วย

 

ฟุ๊บ!

 

เขาได้ดีดตัวพุ่งเข้าใส่ซิลเวสที่กำลังเหวี่ยงค้อนในมือเข้าใส่เขาเหมือนกับว่าไม่เกรงกลัวอะไรเลยแม้แต่น้อยและใช้โล่เหล็กในมือเข้าปะทะกับค้อนขนาดยักษ์ที่กำลังถูกเหวี่ยงเข้าใส่เขาตรงๆ จนทำให้นากาและเหล่าเด็กเพื่อนร่วมชั้นถึงกับโห่ร้องออกมาด้วยความตกใจ

 

‘เอาจริงเรอะคอนแนล’

‘เจ้าแว่นนั่นมันบ้าไปแล้ว!!’

‘ให้ตายสิเจ้าขาตั้งแว่นเดินได้เอ๊ย…’

 

วิ๊ง… ตู๊ม!!

 

“ว๊าย!?”

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าสิ่งที่คอนแนลทำก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการฆ่าตัวตายสักเท่าไหร่นักนั้นที่ด้านหน้าของโล่ของคอนแนลที่กำลังจะถูกกระแทกด้วยค้อนยักษ์ก็ได้เกิดประกายแสงขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่มันจะเกิดระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงจนทำให้ทั้งค้อนขนาดยักษ์และตัวซิลเวสผู้เป็นเจ้าของถึงกับกระเด็นไปไกล

 

ซึ่งสาวน้อยหูแมวผมสีฟ้าที่กระเด็นไปไกลนั้นก็ได้กลิ้งคลุกฝุ่นกับพื้นอยู่สามสี่ตลบก่อนที่เธอจะลุกกลับขึ้นมาและร้องถามคอนแนลด้วยความแปลกใจในทันที

 

“เมื่อกี้นี้พี่คอนแนลทำอะไรอ่ะ!? หนูว่าหนูปลดวิซจนน้ำหนักของค้อนกลับมาเหมือนเดิมแล้วนะ จริงๆ แล้วพี่คอนแนลต้องเป็นฝ่ายกระเด็นเองไปไม่ใช่หรอ!?”

 

“อ๋อ ก็แบบว่า—”

 

คอนแนลที่กำลังจะหลุดปากพูดความลับของเขาออกมานั้นได้เงียบไปในทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดที่แผ่ออกมาจากอลิซผู้เป็นอาจารย์ประจำวิชา ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบยกโล่เหล็กของตนที่ร้อนระอุจนปล่อยไอน้ำสีขาวออกมาบังไว้เบื้องหน้าและพูดบอกปัดออกมาในทันที

 

“เอ่อ… เอาเป็นว่าเดี๋ยวไว้หลังสอบเสร็จแล้วผมค่อยอธิบายให้ฟังละกันนะครับ!”

 

“บู่วววว พี่คอนแนลขี้โกงอ้ะ!!”

 

ตึ้ง!! ครึกครึกครึก…

 

ซิลเวสที่ถูกคอนแนลบอกปัดออกมานั้นได้พองแก้มของเธอและทุบค้อนยักษ์ที่ตัวด้ามจับกำลังเรืองแสงสีเหลืองออกมาสว่างจ้าอยู่นั้นลงกับพื้นราวกับว่าเป็นเด็กน้อยเอาแต่ใจ แต่ว่าสิ่งที่แตกต่างจากเด็กน้อยงอแงธรรมดานั้นก็คือว่าทันทีที่ค้อนยักษ์ของซิลเวสสัมผัสกับพื้นดินนั้น ผืนดินบางส่วนก็ได้ดันตัวเองขึ้นมากลายเป็นก้อนดินขนาดยักษ์สามลูกที่กำลังลอยอยู่นิ่งๆ กลางอากาศจนทำให้คอนแนลที่เห็นแบบนั้นถึงกับอดที่จะเอ่ยปากชมขึ้นมาไม่ได้

 

“ซิลเวสเองก็พัฒนาขึ้นมากนับตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเราได้เจอกันเหมือนกันนะครับเนี่ย…”

 

ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!!

 

ในขณะที่คอนแนลกำลังเอ่ยปากชมซิลเวสขึ้นมานั้น เด็กสาวหูแมวผมสีฟ้าก็ได้ทุบค้อนของเธอลงไปกับพื้นอีกสองสามครั้งด้วยกันจนทำให้เศษดินเศษหินจำนวนมากได้ลอยขึ้นไปเกาะกลุ่มกับก้อนดินขนาดยักษ์ทั้งสามก้อนที่ลอยอยู่กลางอากาศจนขนาดของมันใหญ่ขึ้นไปกว่าเดิมอีกมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้คอนแนลถึงกับหน้าเปลี่ยนสีในทันที

 

“เอ่อ…”

 

“ฮ่า… ฮ่า…”

 

ซิลเวสที่ผลาญวิซจำนวนมากในการสร้างก้อนดินขนาดมหึมาทั้งสามลูกนั้นได้พักหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมามองคอนแนลอีกครั้งหนึ่งจนทำให้คอนแนลถึงกับสะดุ้งไปและรีบพุ่งเข้าไปโจมตีซิลเวสก่อนที่เธอจะหายเหนื่อยจนสามารถสั่งให้ก้อนดินทั้งสามพุ่งเข้ามาโจมตีเขาได้ในทันที

 

“อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะครับนั่น!!”

 

“อ่ะ— พี่คอนแนลรู้ตัวแล้ว ไปเลยลูกบอลหมายเลขหนึ่ง!!”

 

ซิลเวสที่เห็นว่าคอนแนลได้รีบพุ่งเข้ามาโจมตีเธอนั้นได้สั่งให้ก้อนดินสองก้อนพุ่งเข้าใส่คอนแนลอย่างรวดเร็ว แต่ว่าคอนแนลที่เห็นก้อนดินขนาดยักษ์พุ่งเข้ามาใส่ตรงๆ นั้นก็ไม่ได้เห็นมันอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

 

“ถ้าพุ่งเข้ามาตรงๆ แบบนี้ล่ะก็ใครๆ ก็หลบได้กันทั้งนั้นนั่นแหล่ะครับ!!”

 

คอนแนลที่ตกเป็นเป้าหมายของก้อนดินขนาดยักษ์นั้นได้หมุนตัวหลบก้อนดินทรงกลมที่พุ่งเข้ามาใส่ตรงๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าที่ด้านหลังของก้อนดินยักษ์ก้อนแรกนั้นกลับไม่ได้มีก้อนที่สองพุ่งตามมาอย่างที่เขาคิดเอาไว้

 

เนื่องจากว่าก้อนดินก้อนที่สองที่เขาเห็นว่ามันเริ่มขยับพร้อมๆ กับก้อนแรกนั้นได้ลอยมาหยุดอยู่นิ่งๆ ตรงหน้าของซิลเวสที่กำลังง้างค้อนขนานยักษ์ของเธอไปสุดวงแขนด้วยสีหน้าร่าเริง

 

“แน่จริงก็รับอันนี้ให้ได้สิพี่คอนแนล~!”

 

โคร๊ม!!!

 

ซิลเวสที่ง้างค้อนของเธอเตรียมเอาไว้สุดวงแขนนั้นได้เหวี่ยงค้อนขนาดยักษ์ออกไปเต็มแรงจนทำให้ก้อนดินขนาดมหึมาที่ลอยอยู่เบื้องหน้าของเธอแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับกระสุนลูกปรายและพุ่งเข้าใส่คอนแนลที่ไม่อาจจะหันโล่เหล็กของเขาเข้ามารับกระสุนดินพวกนี้ได้เนื่องจากว่ามือข้างที่ถือโล่ของเขานั้นได้ชี้ไปทางด้านหลังในตอนที่เขาหมุนตัวหลบก้อนดินยักษ์ลูกแรกไปเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง

 

“หึ้ย—!?”