ตอนที่ 41.1 การเผชิญหน้าระหว่างมังกรและมนุษย์! (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

นิ้วนั้น…

หน้าผากของหลี่ฉางโซ่วมืดมนทันทีด้วยความรู้สึกอับจนหนทางในขณะที่เขานั่งนิ่งหลบอยู่ในเงามืดและแทบจะไม่มีผู้ใดมองเห็น ณ ตรงจุดนี้

เหตุใดโลกนี้ถึงโหดร้ายกับเขานัก

มีผู้บำเพ็ญเกือบเจ็ดถึงแปดพันคนในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ซึ่งมีขอบเขตพลังระดับกลางที่ไม่สูงหรือต่ำมาก ในขณะที่ศิษย์รุ่นเยาว์บางคนจากสำนักระดับเล็กลงมายังไม่อาจบรรลุขอบเขตคืนกลับอนัตตา

แล้วเหตุใดองค์ชายรองแห่งเผ่ามังกรถึงมองเห็นเขาและเลือกเขาท่ามกลางฝูงชนมากมายได้

ไม่ว่าจะอย่างไร หลี่ฉางโซ่วก็ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่เขาจะมามัวนั่งงุนงง เขาต้องรีบทำบางอย่างเพื่อดึงตัวเองออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้

บัดนี้มีสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนจับจ้องมองมาที่เขา รวมถึงพลังปราณสัมผัสรับรู้และสัมผัสเซียนรับรู้อีกมากมายที่แผ่พุ่งออกมาเพื่อตรวจสอบเขา

โชคดีที่ไม่มีผู้ใดมาจับมือเพื่อตรวจสอบร่างกายของเขาโดยตรง ไม่เช่นนั้นขอบเขตพลังที่แท้จริงของเขาอาจจะถูกเปิดเผยออกมา

ทว่าก็ยังไม่อาจรับรองได้ว่าเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนแท่นสูงนั้น จะมองทะลุถึงขอบเขตพลังที่แท้จริงของหลี่ฉางโซ่วหรือไม่

ในเวลานี้หลี่ฉางโซ่วถูกยั่วยุจากเจ้ามังกรน้อยนามอ๋าวอี่ จนอยากจะรีบไปจับเขากดร่างลงไปบนพื้น ก่อนจะเอาโอสถสลายเซียนและโอสถกร่อนกระดูกปราบปีศาจ กรอกปากเขาให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย!

“ศิษย์หลานฉางโซ่ว? ศิษย์หลานฉางโซ่ว?”

เซียนสตรีผู้หนึ่งจากสำนักตู้เซียนรีบกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงไปหาหลี่ฉางโซ่วอย่างเป็นห่วง ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วรวบรวมความคิดของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงบทันที

“อะแฮ่ม!”

จากนั้นก็มีเซียนเสิ่นของสำนักตู้เซียนกระแอมไอออกมา ขณะลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับให้อ๋าวอี่ ที่กำลังยืนอยู่อย่างเย่อหยิ่งบนลานจัตุรัส ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาท ท่านประสงค์จะแลกเปลี่ยนวิชากับศิษย์หลานฉางโซ่วที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่แล้ว” อ๋าวอี่รีบกล่าวตอบทันที “ข้าเลือกเขา”

ทันทีที่เขากล่าวจบประโยคนั้น ก็มีเสียงบางอย่างผ่านเข้ามาในหูของเขา

“ฝ่าบาทท่านเลือกผิดแล้ว คนผู้นั้นเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสองเองพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท! โปรดเลือกสตรีในชุดสีแดงเพลิงผู้นั้นเถิด นางอยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นแปดพ่ะย่ะค่ะ!”

ทว่าอ๋าวอี่กระตุกมุมปากของเขาเล็กน้อยขณะยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อนใดๆ

ในเวลานี้หลี่ฉางโซ่วก็ลุกขึ้นยืนแล้วประสานมือโค้งคารวะให้กับเซียนเสิ่นจากสำนักของเขา พร้อมกับกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ลุง ศิษย์มีฐานพลังที่ตื้นเขินนัก และไม่อาจแม้แต่จะอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของสำนักได้ ข้าเกรงว่าจะไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ขององค์ชายผู้นี้ และทำให้สำนักตู้เซียนของเราต้องอับอาย…

เหตุใดเราไม่ให้องค์ชายผู้นี้เลือกศิษย์จากสำนักตู้เซียนของเราอีกสักครั้งขอรับ ศิษย์ของสำนักเราหนึ่งในสิบอันดับแรกย่อมจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า… ศิษย์ไม่อยากขึ้นไปทำให้ตัวเองและสำนักต้องอับอายขายหน้าขอรับ”

หลังจากนั้นศิษย์สำนักตู้เซียนอีกสิบคนต่างก็พากันยืนขึ้นทีละคน โหย่วฉินเสวียนหย่าก็เดินก้าวขึ้นไปข้างหน้าและหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า บังตำแหน่งที่หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่

อ๋าวอี่ขมวดคิ้วขณะคิดว่า ไม่เพียงแต่คนผู้นี้จะมีขอบเขตพลังอ่อนด้อยเท่านั้น ทว่ายังขี้ขลาดอีกด้วย

องค์ชายรองแห่งวังมังกรจึงกล่าวเสียงดังออกมาว่า “ข้าเลือกเพียงเจ้า!… ทำไมรึ คงไม่ใช่ว่าสำนักตู้เซียนไม่เห็นวังมังกรทะเลบูรพาของข้าอยู่ในสายตาหรอกนะ”

หลี่ฉางโซ่วพลันขมวดคิ้วกะทันหัน เจ้าเด็กน้อยนี่ยังคงตั้งใจที่จะแลกเปลี่ยนวิชากับข้าจริงๆ หรือ

ไปๆ มาๆ มันเกิดความผิดปกติตรงที่ใดกัน

ในเวลาเดียวกันนั้นบนแท่นสูงที่ลอยอยู่ด้านบน เซียนเทียนเกือบสามร้อยคนต่างก็จับจ้องมองลงมายังสถานการณ์ด้านล่าง และปรมาจารย์มังกรนับร้อยก็เฝ้ามองสถานการณ์ในที่แห่งนี้อย่างเคร่งเครียดพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น

ทว่าบนแท่นสูงที่ลอยอยู่นั้น มีเพียงราชามังกรเฒ่าที่มีเศียรเป็นมังกรตนเดียวเท่านั้นที่ยังคงแย้มยิ้มอยู่และดูเหมือนว่าเขาจะง่วงนอน ราชามังกรเฒ่าไม่สนใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นที่ด้านล่าง ราวกับว่าเขาจะคาดการณ์ถึงสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้แล้ว

ขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังลังเลอยู่นั้น อาจารย์ลุงแห่งสำนักของเขาก็หันกลับมาแล้วยิ้มให้เขาอย่างหมดหนทาง

“ศิษย์หลานฉางโซ่ว เหตุใดเจ้าไม่ลองแลกเปลี่ยนวิชากับองค์ชายสักหน่อยเล่า”

เซียนเสิ่นบุรุษก็เกรงว่าหลี่ฉางโซ่วจะรู้สึกอับอายเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาทันทีด้วยประเด็นที่ว่า “ครั้งนี้เจ้าย่อมได้เปิดหูเปิดตาให้กว้างขึ้นสักหน่อย และองค์ชายย่อมเลือกเจ้าโดยไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาจริงๆ… ศิษย์หลาน เจ้าก็แค่แสดงในสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้มาเป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อให้ได้รับชัยชนะ เพียงให้แน่ใจว่าจะไม่ปล่อยให้องค์ชายรู้สึกเบื่อแค่นั้นก็พอ”

หลังจากนั้นอาจารย์ลุงอีกท่านหนึ่งก็กล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงมาถึงเขาอีกว่า “ไม่ต้องห่วง ศิษย์หลานฉางโซ่ว จงก้าวขึ้นไปและมุ่งแลกเปลี่ยนวิชาบางอย่างกับเขา พวกเราจะเฝ้าคอยจับตาดูสถานการณ์ให้เจ้าเอง…

มังกรน้อยตนนี้เป็นองค์ชายแห่งวังมังกร เขามีวิชาที่ยอดเยี่ยมทีเดียว หากเจ้ารู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีสำหรับเจ้าแล้วจริงๆ ก็ให้เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ได้ทันที จำไว้ว่าความปลอดภัยของเจ้าต้องมาก่อนเสมอ!… ด้วยขอบเขตพลังระดับต่ำของเจ้า ไม่เป็นไรหากเจ้าจะยอมแพ้ ไม่จำเป็นที่ศิษย์ของเราจะต้องยอมเสียสละตัวเองเพื่อเห็นแก่เกียรติยศศักดิ์ศรีของสำนัก!”

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ พลางเผยรอยยิ้มบางออกมา แล้วประสานมือคารวะให้เหล่าผู้อาวุโสและสหายร่วมสำนักที่ต่างมองดูด้วยสายตากังวลใจ จากนั้นเขาก็ก้าวตรงไปยังลานประลองอย่างรวดเร็ว

บัดนี้เขาตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ในฐานะศิษย์ผู้อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสอง

วันนี้อ๋าวอี่ย่อมเป็นตัวเอกและยังเป็นผู้เลือกเขาเอง ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเขาต้องการให้แน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะการประลองครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน

เช่นนั้นเขาก็จะช่วยเติมเต็มความปรารถนานี้ให้ หลังจากออกไปแสดงไม่กี่กระบวนท่า เขาก็จะยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยวิธีสง่างาม ไม่ให้เป็นการพ่ายแพ้อย่างน่าเกลียดจนเกินไป

“ฉางโซ่ว! ศิษย์หลาน!” จู่ๆ จิ่วจิ่วก็ตะโกนมาจากทางด้านข้าง จากนั้นนางก็หยิบน้ำเต้าขนาดใหญ่ที่แขวนเอาไว้ทางด้านหลังของนางออกมา ขณะขยิบตาให้หลี่ฉางโซ่วอย่างรวดเร็วพลางตะโกนออกมาว่า “เจ้าลืมเอากระบี่หยกปราบปีศาจของเจ้าไปด้วย! ข้าทำความเข้าใจมันเกือบจะเสร็จแล้ว เช่นนั้นข้าขอคืนมันให้เจ้า”

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วมีต่อเขา

กระบี่หยกปราบปีศาจเป็นอาวุธเวทชั้นเยี่ยมที่ปรมาจารย์ผู้สูงส่งหว่างฉิงเป็นผู้หลอมมันขึ้นมา ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่ามีศักยภาพที่จะสามารถแปลงเปลี่ยนเป็นอาวุธเวทที่ทรงพลังมหาศาลได้มากมาย

นี่คืออาวุธเวทคู่ชีพของอาจารย์อาจิ่วจิ่วในเวลานี้ ความจริงแล้วนางใช้ข้ออ้างเช่นนี้เพื่อให้หลี่ฉางโซ่วยืมเอาไปใช้…

“ศิษย์จะไปแลกเปลี่ยนวิชากับองค์ชายรอง” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบอย่างนุ่มนวลว่า “การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ใช่การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีอาวุธเวทสังหารร้ายแรงเช่นนี้หรอกขอรับ”

หลังจากนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงได้ก้าวเข้าไปในลานประลอง โดยไม่ได้ไปรับน้ำเต้าใหญ่ของอาจารย์อาจิ่วจิ่ว จากนั้นเขาก็มองไปที่องค์ชายรองเผ่ามังกร

ในขณะนั้นอ๋าวอี่หยักยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากของเขา ขณะที่ดวงตาของเขาเองก็ร้อนรุ่มไปด้วยความสิ้นหวัง

ดีมาก มาเลย

มาเอาชนะข้า องค์ชายรองแห่งวังมังกร มาลุยกันเลย!

จงใช้กำลังของเจ้าให้เต็มที่ในการร่ายเวทหรือเตะต่อยใส่ข้า! แน่นอนว่าเจ้าต้องทำให้ข้ากระอักเลือดจนพุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุ!

ทว่าหลี่ฉางโซ่วกลับรู้สึกไม่สบายใจแทนเมื่อเห็นแววตาที่จ้องมองมาของคู่ต่อสู้…

เขาพยายามจะทำสิ่งใดกันแน่ เหตุใดสายตาของเขาจึงดูกร้าวยิ่งนัก!

องค์ชายรองแห่งวังมังกรผู้นี้พยายามจะสังหารข้า? ผู้เป็นศิษย์ของสำนักตู้เซียนในที่นี้จริงๆ หรือไม่

อาจเป็นเพราะข้าไม่ใช่เมล็ดพันธุ์เซียน ดังนั้นสำนักตู้เซียนย่อมจะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงมากอย่างแน่นอนแม้ว่าข้าจะตายไป? ด้วยวิธีนี้วังมังกรก็จะสามารถระบายความแค้นออกมาได้บ้างกระมัง

ไอ้หยา มันน่าจะเป็นแผนการนะ

เช่นนั้น ข้าต้องระวังให้มาก

ดังนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น

ชั่วขณะนั้นชุดเกราะเซียนที่อ๋าวอี่สวมใส่อยู่ก็เปล่งประกายสว่างไสวออกมา ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมด้วยพลังระเบิดรุนแรง

เวลานี้หลี่ฉางโซ่วอยู่ห่างจากอ๋าวอี่ไปราวสามสิบจั้ง และสามารถสัมผัสได้ว่าพลังปราณของอ๋าวอี่นั้นได้พุ่งเป้ามาที่เขาอย่างเต็มที่

หลี่ฉางโซ่วกระตุ้นพลังเวทของเขาออกมาและปกปิดกลิ่นอายลมปราณของเขาเอาไว้ทันที มุ่งเน้นไปที่การใช้วิชาเวทสงบลมปราณเต่าที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ด้วยวิธีนี้พลังปราณที่ผันผวนของเขาจะสามารถสอดคล้องควบคู่ไปกับระดับพลังของผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสอง ทำให้ใช้พลังออกไปได้เสมือนจริงอย่างสมบูรณ์แบบเต็มที่

หลังจากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าว พลังปราณของคนผู้หนึ่งและมังกรตนหนึ่งก็ปะทะกันอย่างสมบูรณ์ทันที!

เอาเลย!

บัดนั้นดวงตาสีฟ้าของอ๋าวอี่พลันเปล่งประกายในขณะที่เขาเลิกใช้อาวุธเวทโจมตีในระยะไกล และพุ่งปรี่ไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจที่จะเอาใบหน้าของเขาเข้าไปรับหมัดที่ปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ของศิษย์ที่อ่อนแอที่สุดในสำนักตู้เซียน!

“ช้าก่อน!” ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

ชั่วขณะนั้นเท้าของอ๋าวอี่พลันสั่นไหวจนเกือบจะล้มลงบนพื้นลานประลองที่สะอาดของแท่นดอกบัววารี

มีสิ่งใดผิดปกติงั้นหรือ

…………………………………