ตอนที่ 42 หายไข้
ไม่รู้ว่าสายลมสงบลงตั้งแต่เมื่อใด เกล็ดหิมะผืนแล้วผืนเล่าพร่างพรมลงมา รอบด้านราวกับว่าขึงผ้าม่านสีขาวเอาไว้
เฉียวเวยเดินฝ่าม่านหิมะหนา เมื่อกลับมาถึงเรือนตะวันออก เนื้อตัวของนางก็เต็มไปด้วยหิมะ
เพราะไม่ทราบว่าเจ้านายจะพาแขกมา บ่าวรับใช้ส่วนใหญ่ในเรือนสี่ประสานจึงล้วนหยุดงาน ทำให้ห้องครัวงานยุ่งนักจนหลัวหย่งเหนียนต้องเข้าไปเป็นลูกมือ
เมื่อตระเตรียมอาหารทุกอย่างพร้อมแล้ว หลัวหย่งเนียนจึงมาเรียกเฉียวเวยไปทานอาหาร เพิ่งเดินมาถึงประตูก็ชนกับเฉียวเวยที่ตัวมีแต่หิมะเข้าอย่างจัง
เขายกมือปัดหิมะบนไหล่เฉียวเวย แล้วจึงเห็นว่าสีหน้าของนางผิดปกติ “ท่านพี่ เหตุใดท่านหน้าแดง คงไม่ใช่ว่าไม่สบายไปอีกคนกระมัง”
ขณะที่ถามเขาก็ยกมือข้างหนึ่งมาแตะหน้าผากของตัวเองพร้อมกับใช้มืออีกข้างแตะหน้าผากของเฉียวเวย จากนั้นเอ่ยอย่างฉงน “ก็ไม่ร้อนนะ”
ขนตาของเฉียวเวยกระพือไหว นางปัดมือเขาออก เดินอ้อมเขาเข้าไปในห้อง แล้วพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ข้าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ร่างกายจึงร้อน”
หลัวหย่งเนียนมองนางอย่างสงสัย “จริงหรือ ใบหูก็แดงด้วย …”
เฉียวเวยหยิบขนมเกาลัดชิ้นหนึ่งขึ้นมายัดใส่ปากของเขา!
…
วันตรุษเป็นวันที่ครึกครื้นที่สุดของปี จวนอัครมหาเสนาบดีจุดโคมไฟและประดับผ้ากับกระดาษหลากสีสัน ภายในจวนเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง
งานเลี้ยงอาหารค่ำวันตรุษจัดขึ้นที่เรือนลั่วเหมยของจีเหล่าฮูหยิน
หิมะร่ายรำ ดอกเหมยเบ่งบาน ทิวทัศน์งดงามอย่างพอเหมาะพอดี
จีเหล่าฮูหยินไม่กลัวหนาวจึงสร้างเพิงไว้ในลานเรือน เพิงหญ้าในหมู่บ้านซีหนิวเทียบไม่ได้กับเพิงหลังนี้ หลังคาทำจากกระจกเคลือบซึ่งเป็นบรรณาการจากดินแดนทางตะวันตก ความใสแวววาวนี้เมื่อนำมาใช้ชมหิมะช่างเหมาะสมยิ่งนัก
หรงมามาละเอียดรอบคอบ นางให้สาวใช้นำเตาถ่านมาวางสี่ทิศ ด้วยเกรงว่าเด็กๆ จะเผลอชนเข้าจึงสร้างรั้วขึ้นมาและให้คนคอยเฝ้าเอาไว้
“แขวนโคมไฟอีกสักสองสามดวงคงจะยิ่งงามกว่านี้!” จีเหล่าฮูหยินพูดพร้อมรอยยิ้ม
หรงมามารีบให้สาวใช้ไปนำโคมไฟมาทันที
จีหมิงซิวกลับมาถึงจวนอัครมหาเสนาบดีก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากเรือนลั่วเหมย จึงสาวเท้าเดินตรงไปที่นั่น
ทันใดนั้นสาวใช้ถือโคมไฟคนหนึ่งก็พรวดพราดออกมาจากทางเดินเส้นน้อยด้านข้าง เซ่อซ่าชนเข้ากับจีหมิงซิว นางตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ “ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตด้วย!”
จีหมิงซิวปัดแขนเสื้อฝั่งที่ชนโคมไฟแล้วเดินจากไปอย่างไม่สนใจ
สาวใช้เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อครู่นางเพิ่งชนใต้เท้า แต่ใต้เท้ากลับไม่โกรธ ไม่มีแม้แต่คำตำหนิสักคำก็เดินจากไปอย่างใจกว้างเช่นนั้นหรือ
เมื่อจีหมิงซิวมาถึงเรือนลั่วเหมย พี่น้องหลายคนก็มาถึงกันแล้วและกำลังสนทนากับจีเหล่าฮูหยินอยู่ จีเหล่าฮูหยินขบขันพวกเขาจนหัวเราะลั่น คิดว่าเสียงหัวเราะที่ได้ยินแว่วๆ ก่อนหน้านี้ก็คงดังมาจากที่นี่
“หมิงซิว” จีเหล่าฮูหยินกวักมือเรียก
จีหมิงซิวเดินเข้าไป ทุกคนยืนขึ้นคำนับเขา แล้วสละที่นั่งข้างเหล่าฮูหยินให้
เขานั่งลงข้างท่านย่า จากนั้นยื่นของขวัญสองห่อใหญ่ให้หรงมามา
จีเหล่าฮูหยินมองออกว่าเขาอารมณ์ดี แม้เขาจะไม่ยิ้ม แต่คิ้วและดวงตาของเขาลักษณะต่างจากปกติ นางไม่เคยเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขามาก่อน
ดวงตาของจีเหล่าฮูหยินเป็นประกาย ถามขึ้นว่า “วันนี้เจอซีเอ๋อร์แล้วหรือ”
จีหมิงซิวรับชาร้อนที่หรงมามาส่งให้มาจิบ แล้วขานตอบในลำคอเบาๆ
มีความสุขมากเช่นนี้ เพราะได้พบซีเอ๋อร์หรือ
ระยะนี้นางพยายามเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ทั้งสองคนอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่หลานชายท่าทีเฉยเมยมาตลอด นางคิดว่าหลานชายไม่พึงใจเฉียวอวี้ซีเสียอีก
ดูจากที่เห็นตอนนี้ การแต่งงานครั้งนี้คงจะสำเร็จในไม่ช้า
จีเหล่าฮูหยินไม่ถามที่มาที่ไปของบัวหิมะ นางไม่ได้ต้องการบัวหิมะมาตั้งแต่แรก เพียงต้องการสร้างโอกาสให้ทั้งสองคนได้พบหน้ากันเท่านั้น
สิ่งที่นางต้องการคือให้หลานชายแต่งงานโดยเร็ว รีบให้กำเนิดหลานตัวอ้วนจ้ำม่ำให้นางหลายๆ คน!
…
ณ เรือนสี่ประสาน เฉียวเวยร่วมวงทานอาหารฉลองคืนสิ้นปีครั้งแรกนับตั้งแต่ข้ามมิติมาพร้อมกับน้องชาย ลูกๆ สองคนและสือชี แม้การไม่มีป้าหลัวและคนอื่นๆ อยู่ด้วยจะทำให้เสียดายอยู่บ้าง แต่มีหลัวหย่งเนียนกับสือชีอยู่ด้วยกันก็นับว่าครึกครื้นแล้ว
หลัวหย่งเหนียนจุดประทัดพวงใหญ่กลางลานเรือน ประทัดระเบิดจนหินปูพื้นสะเทือน
เฉียวเวยกอดจิ่งอวิ๋นที่เพิ่งฝืนลืมตาได้เพียงข้างเดียวเอาไว้ “สวยหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย
สีหน้าของวั่งซูดีขึ้นบ้างแล้ว นางยิ้มร่าเกาะอยู่บนหัวไหล่ของสือชี
จุดประทัดเสร็จ เฉียวเวยก็พาเด็กๆ เข้านอน จิ่งอวิ๋นป่วยหนักจึงผล็อยหลับอย่างรวดเร็ว ส่วนวั่งซูนอนไม่หลับ นางนอนกลิ้งไปมาบนเตียง
เห็นชัดว่าไข้ลดลงแล้วจริงๆ
เฉียวเวยกอดนางไว้ในอ้อมแขน ลูบใบหน้าเล็กๆ สีชมพูของนางแล้วถามว่า “เมื่อครู่แม่เห็นเจ้าคุยกับท่านลุง พวกเจ้าคุยอันใดกันหรือ”
น้ำเสียงเล็กๆ ของวั่งซูตอบอย่างจริงจัง “นี่เป็นความลับระหว่างท่านลุงคนหล่อกับข้า บอกท่านแม่ไม่ได้เจ้าค่ะ”
เฉียวเวยหัวเราะเบาๆ “อายุน้อยเท่านี้ก็มีความลับแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ!” วั่งซูพยักหน้า เหมือนมีหางทิพย์ที่มองไม่เห็นชูขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
น่ารักจริงเชียว เฉียวเวยอดไม่ไหวก้มลงไปจูบแก้มของนาง ไม่ได้ถามต่อว่าความลับของนางคืออะไร
ค่ำคืนอันหนาวเหน็บที่โลกทั้งใบถูกหิมะโอบคลุม เดิมทีนางควรต้องเที่ยวอ้อนวอนหมออย่างลำบากยากเย็นอยู่บนถนน แต่เพราะได้พบใครคนหนึ่ง นางจึงได้อยู่อย่างอบอุ่นในตอนนี้
นางกอดลูกน้อยในอ้อมแขนแน่น จากนั้นหลับตาพริ้มเข้าสู่ห้วงนิทรา
…
หลายวันต่อมา หมอหลวงจังมาตรวจเด็กๆ ที่เรือนสี่ประสานทุกบ่าย วั่งซูอาการดีขึ้นมาก วันรุ่งขึ้นก็ไม่มีอาการตัวร้อนแล้ว แต่จิ่งอวิ๋นเป็นๆ หายๆ อยู่สามวัน จนวันที่สามเดือนหนึ่งอาการป่วยจึงเริ่มดีขึ้น เพียงแต่ผื่นยังไม่หายสนิท
“เมื่อพิษในร่างกายเขาถูกขจัดออกจนหมด ไม่ต้องใช้ยาผื่นก็จะหายไปเอง” หมอหลวงจังอธิบายให้ฟัง
“ขอบคุณท่านหมอจังมากเจ้าค่ะ” เฉียวเวยไปส่งหมอหลวงจังที่ประตู จากนั้นยื่นถุงเงินให้เขา “ขึ้นปีใหม่แท้ๆ แต่ต้องรบกวนให้ท่านมารักษาถึงที่ ข้ารู้สึกเกรงใจจริงๆ นี่ค่ารักษาเจ้าค่ะ ท่านได้โปรดรับไว้ด้วย”
หมอหลวงจังมาตรวจรักษาให้ตั้งหลายวันแต่ไม่เคยเอ่ยถึงค่ารักษา ดูเหมือนเขาไม่ต้องการเก็บเงินค่ารักษาจากนาง แต่เฉียวเวยมิอาจฉวยโอกาสทำเช่นนั้นได้
หมอหลวงจังยิ้มให้เฉียวเวยและยอมรับเงินไว้
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีจ่ายค่ารักษาให้เขาแล้ว แต่ใต้เท้าเคยกำชับเขาไว้ว่า หากแม่นางผู้นี้ต้องการจ่ายเงินค่ารักษา ห้ามเขาปฏิเสธนาง
อาการป่วยหายดีก็ถึงเวลากลับบ้านแล้ว
เฉียวเวยกลับห้องแล้วเริ่มเก็บห่อผ้าของทุกคน
“ท่านพี่ อยู่ต่ออีกสักหลายๆ วันไม่ได้หรือ” หลัวหย่งเหนียนถามอย่างนึกเสียดาย
เฉียวเวยหรี่ตามองเขา จู่ๆ เขาก็รู้สึกขนหัวลุก รีบพูดขึ้นว่า “แต่ก็นะ ความจริงข้าก็อยากกลับบ้านนานแล้วเหมือนกัน!”
เฉียวเวยอมยิ้มพลางส่ายศีรษะ มือขยับพับเสื้อผ้าของลูกชายใส่ห่อผ้า
เมื่อครู่จ่ายค่ารักษาให้หมอจังสิบตำลึง เอาเงินที่นางเคยได้มาจากเหล่าฮูหยินผู้นั้นจ่ายได้พอดี
ส่วนค่าอาหารกับค่าที่พักยี่สิบตำลึง
โรงเตี๊ยมที่พอไปวัดไปวาได้ในเมืองหลวง หนึ่งห้องราคาคืนละหนึ่งตำลึง ช่วงเทศกาลวันตรุษราคาทบเท่าตัว ต้องจ่ายสองตำลึง พวกเขาพักอยู่ใน ‘โรงเตี๊ยมอันหรูหรา’ เป็นเวลาสามคืน ทุกวันมีรังนกกับโสมให้กินไม่ขาด แล้วยังมีบ่าวคอยรับใช้ส่วนตัว ไม่ว่าคำนวณอย่างไรก็รู้สึกว่าเงินยี่สิบตำลึงน้อยเกินไป
แต่นางไม่มีเงินให้ควักออกมามากกว่านี้แล้ว
เฉียวเวยกำถุงเงินอันลีบแบน ยามหามาแสนลำบาก ยามจ่ายไปช่างง่ายดายเสียจริง!