จริงดั่งคาด อาวุโสใหญ่กล่าวถูกแล้ว ที่ฉินจิ่วเกอสามารถปลิดชีพเฮยกุ่ยชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นในคราวนั้นได้ ส่วนใหญ่ย่อมต้องเป็นเพราะโชคเข้าข้าง

ต่อให้โชคดีมีวาสนา ความต่างชั้นทางขอบเขตก็คือความต่างชั้นทางพลัง ยากที่จะเติมเต็ม

“ฮ่าฮ่า ทารกน้อย ดูซิว่าเจ้าจะรอดไปได้ยังไง!” เหิงโหย่วเฉียนนัยน์ตาฉายแววเหี้ยมเกรียม มือตบลงไปอีกครั้ง……

ในเวลาเดียวกัน เจ้าอ้วนน่าตายที่ออกจากเมืองซวนอู่ไปนานแล้ว กำลังวิ่งหน้าตั้งไปบนเส้นทางตัดเขาอันพร่าเลือน

ด้านหน้า ปรากฏเงาคนขึ้นมาต่อหน้าเจ้าอ้วนน่าตาย คล้ายเทพเซียนจุติลงสู่หล้า องคาพยพทั้งห้าราวสวรรค์ปั้นแต่ง

“ศิษย์น้อง?”

ลั่วเฉินผู้เร่งเดินทางมาจากป่าปีศาจสวรรค์ เห็นตัวประหลาดสูงแปดฉื่อเอวกว้างแปดฉื่อโผล่ออกมากลางป่าเขา แต่พอเข้ามาใกล้ ที่แท้กลับเป็นศิษย์น้องหนิวว่านซานที่เกิดมากระดูกหนาเกินหน้าเกินตานี่เอง

“ศิษย์พี่รอง?”

เจ้าอ้วนน่าตายตั้งตาวิ่งมาตลอดทางจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว พอเห็นบุรุษตรงหน้าก็รีบตะโกนแหกปาก “ช่วยชีวิตศิษย์พี่ด้วย!”

มันรีบบอกเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองซวนอู่กับลั่วเฉิน ชีวิตของฉินจิ่วเกอกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย กังวลว่าหากชักช้าอาจสายเกินการณ์

ไม่อาจนิ่งดูดาย ลั่วเฉินดันร่างเจ้าอ้วนให้พ้นทาง เตรียมเข้าเมืองซวนอู่โดยพลัน

ทว่าขณะที่ลั่วเฉินกำลังจะไปสมทบกับฉินจิ่วเกอนั้น กลับมีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากในป่า ใบหน้าซูบชั่วช้าผิดมนุษย์ ส่งผลให้ลั่วเฉินต้องชะงักฝีเท้าอยู่กับที่

“สวมชุดศิษย์พรรคหลิงเซียว ปราณสุริยัน หน้าตาดี ละแวกเมืองซวนอู่”

หลิวเชียนจ้องมองคนตรงหน้าพลางคิดในใจว่าหาเจอจนได้ คนที่อีกฝ่ายต้องการให้สังหารสมควรเป็นคนผู้นี้ไม่ผิดแน่

แม้อายุยังน้อยกลับบรรลุปราณสุริยันขั้นสูงสุด ถือว่าพรสวรรค์ไม่ต่ำทรามเลยจริงๆ

“เจ้าเป็นใคร” ลั่วเฉินถามพลางชักกระบี่ออกมา

“ข้าได้รับมอบหมายให้มาเอาชีวิตเจ้า วางใจเถอะ ปิดตาให้สนิทแล้วรอให้ข้ากุดหัวเจ้า แผลบเดียวก็เสร็จแล้ว”

ต่อให้คิดคำนวณยังไง ท่านลุงสองก็ไม่มีทางคาดว่าลั่วเฉินจะเร่งรุดเดินทางข้ามคืนมายังเมืองซวนอู่แห่งนี้ หากล่วงรู้ว่าจะเกิดเรื่องที่เหลาไกรสร เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ย้อนเข้าตัวนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

ลั่วเฉินเองก็ไม่อ่อนข้อ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อปลิดชีวิตตน ทั้งยังรู้จักพรรคหลิงเซียว แสดงว่าไม่ผิดแน่

ส่วนคนที่ยืมมือฆ่า ลั่วเฉินเดาไม่ออก หรือจะเป็นพรรคจอกประกายสิทธิ์?

“รนหาที่!”

รังสีกระบี่แผ่พุ่งจนตัดเฉือนต้นไม้ข้างทางไปสามต้น สายฝนพลันหยุดตก เปลี่ยนเป็นลมสลาตันที่ไม่มีทางถูกตัดขาดขึ้นแทน

“ฮ่าๆๆ น่าหัวร่ออะไรอย่างนี้!” หลิวเชียนยกมืออย่างปลอดโปร่ง พลังพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดระเบิดออก

“หลิวเชียนอาชญากรที่ถูกสี่พรรคใหญ่หมายหัว?” ลั่วเฉินประหลาดใจ ไม่นึกว่าระดับของพวกมันจะต่างกันถึงเพียงนั้น

ส่วนเจ้าอ้วนน่าตาย ตอนนี้กำลังกลั้นหายใจ นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นไม่กล้าขยับเขยื้อน

“มิผิด ได้ตายด้วยน้ำมือข้า ถือว่าเจ้าโชคดีแล้ว” หลิวเชียนกางฝ่ามือ ใบหน้าอัปลักษณ์ซุกซ่อนอยู่ในเงามืด แค่เพียงรังสีฆ่าฟันที่แผ่ซ่านออกจากตัวก็แทบจะปลิดชีวิตคนได้แล้ว

กระบี่ในมือสะบัดวูบ ลั่วเฉินก็ตัดกระแสพลังมืดทิ้งไป รัศมีพลังไม่แปรเปลี่ยน “เช่นนั้นวันนี้ให้ข้าได้รู้ว่าราชันมารพิฆาตมนุษย์อย่างเจ้าที่แท้มีดียังไง ศิษย์น้องรีบเข้าเมืองไปซะ!”

ลั่วเฉินขวางหลิวเชียนไว้ ให้เจ้าอ้วนวิ่งกลับเข้าเมืองไปก่อน

ลั่วเฉินคิดกับตนเอง ใกล้ๆ นี้ก็มีแค่ศิษย์พี่ใหญ่ มีแต่มันที่เป็นกำลังหนุนให้ได้ หากไม่ให้ไปหามันแล้วจะให้ไปหาใคร

อีกอย่าง ลั่วเฉินรู้สึกได้รางๆ ว่าศิษย์พี่ใหญ่คนนี้แตกต่างจากคนก่อน ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจสามารถคลี่คลายสถานการณ์วิกฤตินี้ก็ได้?

พอเห็นว่าลั่วเฉินเสียสละขัดขวางหลิวเชียนไว้ให้ เจ้าอ้วนน่าตายก็รีดเค้นกำลังตะเกียกตะกายขึ้น ใบหน้าอาบเหงื่อเปียกปอน หันตัววิ่งกลับไปยังเส้นทางเดิม

ตอนนี้มันคิดอะไรไม่ออกแล้ว ในเมื่อศิษย์พี่รองต้องการให้ตัวเองกลับไปที่เมือง เช่นนั้นพอถึงเมืองแล้วก็ค่อยว่ากันเถอะ

ภายในป่า มีแต่ความมืดอึมครึมไร้แสงเงา พร้อมกับเสียงอันคลุ้มคลั่งของหลิวเชียนที่ดังแทรกขึ้น “เจ้าหนู เห็นแก่ที่เจ้าขวัญกล้าไม่เบา ข้าต่อให้เจ้าสิบกระบวนท่าแล้วกัน”

“ทำเป็นพูดดี เคล็ดกระบี่มหานทีสะบั้นสุริยัน!” เสียงระเบิดกระหึ่มก้องดังทะลุแนวป่า สร้างความตกใจกลัวให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยจนต้องเตลิดหนี กระทั่งสัตว์อสูรยังต้องหวาดหวั่นครั่นคร้าม

หลังฝนหยุด ราตรีคล้ายถูกชำระล้าง ดวงจันทร์เคลื่อนออกจากเงาเมฆ ส่องแสงไปบนเส้นทางอันเก่าแก่อ้างว้างแห่งนี้

ภายในเหลาไกรสรที่หากมองจากข้างนอกจะเห็นแต่ความสุขสงบ อันที่จริงกลับระงมไปด้วยเสียงแก้วชามแตกกระจาย บริเวณชั้นสามของร้านสภาพเหมือนสนามรบ ระเกะระกะยุ่งเหยิงไปหมด

ฉินจิ่วเกอได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เลือดไหลกบปาก คนใช้ท่าร่างมารมายาพุ่งไปทางประตู

ประตูถูกเปิด ที่พุ่งเข้ามาคือชนชั้นปราณสุริยันสิบคน ยังมีหลอมวิญญาณขั้นเก้าอีกหลายสิบ ห้อมลอมขวางทางเข้าออกเอาไว้

“ตาย!”

คลื่นมนุษย์ถั่งโถมเข้าหาตระเตรียมแลกชีวิตกับฉินจิ่วเกอ

“ไร้คม!” พร้อมกระบี่หนักคู่มือ ฉินจิ่วเกอสับกระแทกปราณสุริยันขั้นต้นด้วยความเร็วปานสายฟ้าจนตกตายไปคนหนึ่ง

กระบี่หนักวาดกราด ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านล้วนมีเงาร่างร่วงหล่นขาดสะพายแล่ง ทุกคนย่อมรักตัวกลัวตาย จึงไม่กล้าเข้าขวาง กระบี่ดาบที่กำลังจะฟันใส่ศีรษะฉินจิ่วเกอเป็นต้องหดรั้งกลับไป

เมื่อแหวกทางเป็นวงใหญ่ ฉินจิ่วเกอเตะสิ่งของระเกะระกะบนพื้นให้พ้นทาง ก่อนพุ่งตัวเข้าหาเหิงโหย่วเฉียน

พลิกตัวหนึ่งตลบ ฉินจิ่วเกอใช้สันกระบี่ฟาดใส่หลอมวิญญาณสองคนด้วยน้ำหนักมหาศาล ซากร่างไร้วิญญาณปลิวร่วงตกไปข้างล่าง เลือดเนื้อกระจายเต็มพื้นที่

“หยุดมันไว้!”

เหิงโหย่วเฉียนอยู่ไม่สุขแล้ว มันปัดฝุ่นที่ตกลงบนตัว ออกคำสั่งจู่โจม ไม่ปล่อยให้ฉินจิ่วเกอลงไปข้างล่างได้เด็ดขาด

“ใครไม่กลัวตายก็เข้ามา!” ฉินจิ่วเกอเหยียบย่ำลงบนบันไดอันโชกเลือด ท่วงท่าตระหง่านสูงส่ง เหวี่ยงกระบี่เข้าใส่ราวบันได

บันไดพังครืน ปราณสุริยันหลายคนร่วงตกลงมาชั้นสอง โดยไม่รอให้พวกมันได้ตั้งตัว ฉินจิ่วเกอก็ทะยานเข้ามาเด็ดเอาชีวิตไปอีกหนึ่ง

ตูม!

ปราณสุริยันคนหนึ่งที่มีแอ่งโลหิตขนาดเท่ากำปั้นอยู่บนตัวตอบโต้ด้วยการฟาดมือใส่แผ่นหลังฉินจิ่วเกอ ชายหนุ่มแค่นเสียงหนักออกมาคราหนึ่ง ปล่อยมือจากกระบี่มากุมลำคออีกฝ่ายแทน

“อ้ากก!”

ฉินจิ่วเกอลากคออีกฝ่ายพุ่งเข้าใส่กำแพงด้วยความเร็วสูง เก็บไปได้อีกหนึ่งคน

ฉินจิ่วเกอนัยน์ตาแดงก่ำจากการสู้รบอันนองเลือด กลิ่นคาวโลหิตกระตุ้นผนึกที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในใจให้ตื่นขึ้น

“ฆ่ามันซะ!” เหิงโหย่วเฉียนพุ่งตัวมาถึงที่ที่เคยเป็นขั้นบันได ชะเง้อตัวออกคำสั่งลงมาจากชั้นสาม

ปราณสุริยันสองคนถือดาบพุ่งเข้าใส่ฉินจิ่วเกออย่างดุดัน

ฉินจิ่วเกอสะบัดสองมือเข้าขวาง ใช้ร่างกายของอีกฝ่ายแทนเกราะป้องกัน ปราณสุริยันผู้โชคร้ายคนนั้นถูกกระบวนดาบสังหารผ่าออกจนเป็นสามส่วน โลหิตซ่านกระเซ็น

เหิงโหย่วเฉียนตะลึงตาลาน แม้แต่มันก็ยังขนลุกกับภาพตรงหน้า ตอนแรกยังคิดว่าหัวกะทิสิบคนที่ตนพามาจากพรรคนั้นเกินความจำเป็น แต่ตอนนี้ แม้แต่พวกมันก็คงขวางเจ้าสติวิปลาศผู้นี้ไม่อยู่แล้ว

กระบี่หนักกลับสู่มือ ฉินจิ่วเกอยืนตระหง่านค้ำฟ้าดิน รอยเท้าอันแจ่มชัดประทับฝังลึกอยู่บนพื้น

อาศัยพลังอำนาจของอาวุธเต๋า ฉินจิ่วเกอทำลายศาสตราวุธในมือของคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่า กระบี่หนักยามนี้ไม่ต่างจากเคียวของยมทูตเลยแม้แต่น้อย

“เด็กน้อย เจ้ากล้า!” พวกที่ตกตายต่างก็เป็นหัวกะทิของพรรคมัน ในภายหน้ามีโอกาสสูงที่จะเหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาล เหิงโหย่วเฉียนร้อนใจจนไม่อาจยืนเฉยได้อีก คนทะยานลงจากกลางหาว กางฝ่ามือตะปบใส่ใบหน้าของฉินจิ่วเกอ

ฉินจิ่วเกอมีหรือจะยอมอยู่เฉย คนอ้าปากกัดลงไปเต็มเขี้ยว กลิ่นเลือดฉุนกึกลอยเข้าจมูก ที่เหลือคือเศษนิ้วอันขาดแหว่ง

เสมือนสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บจนมุม ฉินจิ่วเกอนัยน์ตาทอประกายยะเยียบ พ่นเอาเศษนิ้วที่ติดอยู่ตรงปากออกไปอย่างเฉยเมย

ฉวยโอกาสที่ปราณสุริยันคนหนึ่งกำลังตะลึงอยู่กับที่ กระบี่ในมือก็ฟันลงจากเบื้องบน ประหนึ่งผ่าท่อนไม้แยกซุง

ไม่คาดอีกฝ่ายกลับต้านรับไว้ได้ ฉินจิ่วเกอจำต้องเปลี่ยนกลยุทธ์กระแทกฝ่าเท้าลงกับพื้นก่อนเหวี่ยงขาอีกข้างเตะเข้าใส่ช่องท้องศัตรูจนอีกฝ่ายต้องกระอักโลหิตออกมาเป็นฟูมฝอย

เหิงโหย่วเฉียนนิ้วกุดไปหนึ่ง กระดูกขาวทิ่มแทงออกสู่ภายนอก สร้างความหวาดกลัวให้กับมันจนแทบหัวโกร๋น

“ฆ่า ฆ่ามันเร็วเข้า!”

เหิงโหย่วเฉียนชี้นิ้วสั่งการเร่าๆ กลับต้องพบว่ารอบด้านเหลือกันอยู่แค่ไม่กี่ชีวิต ส่วนฉินจิ่วเกอยามนี้หายตัวไปข้างล่างแล้ว

ขณะที่กำลังจะรอดพ้นจากวิกฤติ ชั้นล่างสุดกลับปรากฏคนผู้หนึ่งขึ้น อีกฝ่ายจับจ้องฉินจิ่วเกอด้วยความหยิ่งผยอง ยืนขวางทางออกเอาไว้

“เฉียนหยุน?” ฉินจิ่วเกอย่อมจดจำคนผู้นี้ได้ ตอนอยู่ที่ตลาดประมูล เป็นตนลอบเล่นงานอีกฝ่ายจนย่ำแย่ เฉียนหยุนเองก็ย่อมจดจำฉินจิ่วเกอได้เช่นกัน ในใจมันฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อต่างก็อยู่ในรายชื่อคนที่ต้องสังหารเป็นอันดับแรกๆ

“ศัตรูย่อมพบพานในเวลาที่คาดไม่ถึง ที่แท้คนที่พวกนั้นต้องการจัดการก็คือเจ้า เดียรัจฉานน้อย มาดูว่าบิดาจะสังหารเจ้าอย่างไร!”

ในประตูหายนะยามนี้ซ่งเล่อกำลังเฉิดฉายเจิดจรัส เฉียนหยุนคาดเดาออกนานแล้ว จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง พอได้เห็นฉินจิ่วเกอที่นี่ ตาก็ยิ่งแดงก่ำด้วยโทสะ

ตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยตนไปแน่ ฉินจิ่วเกอก็ไม่หวั่น ไม่ว่าจะเป็นประตูหายนะหรืออะไรก็ช่าง ตนจะใช้กระบี่ในมือนี่แหละแหวกทางออกไปเอง

เฉียนหยุนอาศัยโอสถฝืนทะลวงจุดหลิงไถ พื้นฐานย่อมไม่เสถียร เพียงแต่ถ้าให้มันรั้งตัวฉินจิ่วเกอแค่นี้ย่อมไม่เกินกำลัง

ปราณสุริยันขั้นกลาง กระจอกจนแทบไม่อยากมอง

เคล็ดกิเลนครองฟ้าของฉินจิ่วเกอใช้ออกได้เพียงครั้งเดียว หากจำเป็นต้องใช้ก็ต้องให้ถูกเป้าหมาย

เหิงโหย่วเฉียนที่เลือดไหลโกรกกระโดดลงจากชั้นบน พื้นใต้ฝ่าเท้าแตกกระจายจากแรงกระแทก เส้นเลือดปูดโปนเต็มใบหน้า

“ไอ้เด็กชั่วช้าเล่นไม่ซื่อ จบกันแค่นี้แหละ!” กล่าวจบในมือของเหิงโหย่วเฉียนก็ลุกโพลงด้วยเปลวไฟ บันดาลให้อุณหภูมิรอบด้านไต่ระดับ ก่อนเคลื่อนกายเข้าหาฉินจิ่วเกออย่างเฉียบไว

เฉียนหยุนเองก็กำหมัดต่อยออกไป กำปั้นนี้ของมันสามารถบดขยี้ชนชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุดให้แหลกเหลวได้ไม่ยาก กดดันให้ฉินจิ่วเกอต้องล่าถอยอย่างช่วยไม่ได้

เหิงโหย่วเฉียนดั่งมังกรดักตลบหลัง อากาศรอบด้านยังต้องหลีกทางให้กับเพลิงอัคคีในมือมัน คนยิ้มร้ายฟาดฝ่ามือเข้าใส่แผ่นหลังของฉินจิ่วเกออย่างถนัดถนี่

ฉินจิ่วเกอใช้พลังทั้งหมดไปกับการต้านรับกระบวนจู่โจมของเฉียนหยุน ยามนี้เหิงโหย่วเฉียนโจมตีเข้ามาสุดกำลัง ฉินจิ่วเกอคิดล่าถอยก็ทำไม่ได้ จึงถูกพลังฝ่ามือกระแทกเข้าเต็มรัก

โครม!

ฉินจิ่วเกอกระเด็นตัวลอยไปชนเอากับเสาหยกจนหักโค่นเป็นแถวๆ กวาดเอาสิ่งของตามทางล้มกระจัดกระจาย บนแผ่นหลังแทนที่ด้วยเนื้อเละๆ ชุ่มโชก

อวัยวะภายในก็บาดเจ็บสาหัส ฝ่ามือนี้ของเหิงโหย่วเฉียนแฝงพิษอัคคีเอาไว้ ส่งผลให้ไม่อาจรีดเค้นพลังวิญญาณจากจุดตันเถียนได้อีก

“สุนัขเฒ่า ลอบกัดกันนี่!” ตันเถียนเสียหาย ไม่ต่างจากการถูกตัดแขนขา ฉินจิ่วเกอมาถึงทางตันแล้ว หากยังไม่ยอมใช้เคล็ดกิเลนครองฟ้าเกรงว่าคงต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ก่อนแน่

เพียงแต่ด้วยกำลังของมันยามนี้ สามารถใช้ออกได้อย่างเต็มกลืนเพียงแค่ครั้งเดียว หากจัดการพวกมันสองคนไม่ได้ วันนี้คนที่ตายคงต้องเป็นตน

“สวะน้อย หากจะโทษก็ให้โทษที่เจ้าชะตาอาภัพเองก็แล้วกัน!” เหิงโหย่วเฉียนหัวร่อปานเสียสติ รอยย่นบนใบหน้าพลันเรียบตึงอย่างรวดเร็ว ในแววตามีแต่ความอาฆาตมาดร้าย

“หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า พรรคจอกประกายสิทธิ์เจ้าตั้งแต่สูงยันต่ำนับพันคนเกรงว่าคงต้องร่วมกลบฝังไปพร้อมกับข้าด้วย” ฉินจิ่วเกอเลือดไหลปรี่จากมุมปาก ฟันแตกร้าว โลหิตสีดำเกรอะกรังไปทั่ว

“ตาย!”

เฉียนหยุนจดจำฉินจิ่วเกอได้ทันทีที่เห็น หากใช้โอกาสนี้ย่อมเก็บกวาดเจ้าคนหน้าชังตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย

ทั้งที่เป็นชนชั้นปราณสุริยันขั้นกลาง กลับสังหารคนไปแปดคน ประชันขับเคี่ยวกับสองพิสุทธิ์ไพศาล ลองถามตัวเองดู เฉียนหยุนไหนเลยจะเลียนอย่างได้ ดังนั้นมันจึงทิ้งอิจฉาทั้งแค้นใจ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้

หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาห้อมล้อมปิดทางหนี ไม่ว่าฉินจิ่วเกอจะใช้ไม้ตายก้นหีบใส่ใคร อย่างมากก็พาอีกฝ่ายไปลงนรกร่วมกันกับตนได้แค่คนเดียวเท่านั้น

นัยน์ตาของฉินจิ่วเกอฉายแววเด็ดเดี่ยว ยังคงเป็นเหิงโหย่วเฉียนที่น่าชิงชังยิ่งกว่า

สำหรับเฉียนหยุนนั้น อีกฝ่ายแค่ใช้ตนล้างแค้นแทนซ่งเล่อเท่านั้น

ในขณะที่ฉินจิ่วเกอเตรียมใจจะลากเอาหนึ่งในนั้นไปปรโลกด้วยกันกับตนนั้นเอง คนก็นึกอะไรขึ้นได้ เคลื่อนตัวปราดเดียวมาโผล่อยู่ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของอาคาร

ค่ายกลที่ปกคลุมทั่วพื้นที่ บริเวณนี้หละหลวมมากที่สุด ที่ต้องจัดตั้งดวงตาค่ายกลไว้มุมนี้ก็เพื่อซ่อนอักขระที่ไม่สมบูรณ์เอาไว้

ฉินจิ่วเกอสะกดความตื่นเต้นยินดีในใจลงไป ดูท่าม่อฉวนซัวจะไม่ได้หลอกตน หากสถานการณ์หลุดการควบคุม สามารถหลบหนีออกไปได้จากตรงนี้

ฉินจิ่วเกออารมณ์พลุ่งพล่านสุดระงับ ขอเพียงออกไปจากที่นี่ได้ ตนก็ปลอดภัยแล้ว

“แหลกไปซะ!”

ฉินจิ่วเกอรีดเค้นพลังสุดตัว เป้าหมายไม่ใช่พวกเหิงโหย่วเฉียน แต่เป็นมุมอับบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของตัวอาคาร

ภายใต้แสงวิญญาณเรืองรอง ม่านปราการไร้สภาพที่กางครอบค่ายกลเอาไว้เกิดระลอกกระเพื่อมไหว กระบี่หนักฟาดกระทบม่านแสงจนเกิดเสียงเปรี๊ยะๆ พร้อมสะเก็ดไฟที่แตกกระเซ็นออกเป็นดอกดวง

“คิดหนี?”

เฉียนหยุนบรรลุถึงด้านหลังฉินจิ่วเกอ กำหมัดกระแทกออกไปอย่างหนักหน่วง

พลังหมัดกระทบเข้ากับกระดูกสันหลังอันเหนียวทนของฉินจิ่วเกอ กระแทกอวัยวะภายในจนเคลื่อนผิดตำแหน่ง

ฉินจิ่วเกอตาถลนปูดโปน ฝืนใจไม่ให้กระอักเลือดออกมา สองมือกระชับกระบี่หนักในมือพร้อมถ่ายเทพลังวิญญาณในจุดตันเถียนเข้าสู่ตัวกระบี่ให้ได้มากที่สุด