ค่ายกลที่มุมตะวันออกเฉียงใต้เริ่มคลายตัว ค่ายกลพันซ้อนชั้นแล้วชั้นเล่า เริ่มเกิดรอยปริร้าวจนแทบพังครืนได้ทุกเมื่อ

“ไสหัวไป!”

ฉินจิ่วเกอแววตาแข็งกร้าวเปี่ยมจิตสังหารท่วมท้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำ สภาพน่าหวาดกลัวจับใจ

“เหวอ!”

เฉียนหยุนพอเห็นสารรูปของฉินจิ่วเกอในเวลานี้ก็ตกใจกลัวจนถอยกรูด ไม่กล้าเข้าใกล้อีก

มันข้างนอกโหดเหี้ยมในใจบอบบางดั่งกระต่าย พอเห็นพยัคฆ์ขู่ขวัญอยู่ตรงหน้า ย่อมต้องตกใจกลัวจนหัวหด

เหิงโหย่วเฉียนตกตะลึง จริงอยู่เจ้าเด็กนี่คั่งแค้นเฉียนหยุน แต่ที่คั่งแค้นยิ่งกว่าคือตนเอง ขืนปล่อยมันไป พรรคจอกประกายสิทธิ์ย่อมประสบหายนะล้างพรรคกันหมดแน่!

“ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ตายซะ!”

เหิงโหย่วเฉียนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ผนึกอาวุธด้วยพลังวิญญาณ อาศัยศาสตราเล่มยาวในมือทิ่มแทงเข้าใส่ตำแหน่งหั วใจของฉินจิ่วเกอ

กระบวนท่านี้อำมหิตนัก หากหัวใจถูกทำลาย ต่อให้เทพเซียนต้าหลัวจากสวรรค์ชั้นเก้าจุติลงมาเอง ยังไม่อาจช่วยชีวิตฉินจิ่วเกอเอาไว้ได้

ขณะที่กำลังจะถูกแทงทะลุหัวใจ ฉินจิ่วเกอหยิบยืมแรงส่งพุ่งตัวออกจากรอยแตก วิ่งหนีออกไปด้านนอก

บนถนน เงาคนบางตา อากาศเยียบเย็นเสียดแทงบาดแผลบนร่าง เรียกให้ฉินจิ่วเกอได้สติกลับคืน

บนร่างแทบไม่มีตรงไหนไม่ได้รับบาดเจ็บ เผชิญกับอำนาจกดดันของสองพิสุทธิ์ไพศาลแล้วยังรอดมาได้ล้วนต้องอาศัยปณิธานและพลังจิตอันเหนือมนุษย์ของฉินจิ่วเกอเอง

“กลัวอะไร ข้าคือศิษย์ประตูหายนะ เมืองซวนอู่ร้อยลี้ล้วนอยู่ใต้การปกครองของพรรคข้า ที่นี่ข้าคือฟ้าดิน ประตูหายนะไม่มีทางเอาผิดข้าแน่!”

เฉียนหยุนทำเป็นวางมาดข่มขู่ ยังหวาดกลัวท่าทางปานจะกินเลือดของฉินจิ่วเกอไม่หาย จึงหันไปคำรามใส่เหิงโหย่วเฉียนแทน

เหิงโหย่วเฉียนคิดทบทวน วันนี้ผูกปมความแค้น ในเมื่อไม่อาจตัดรากถอนโคนไม่ช้าก็เร็วย่อมเกิดหายนะตามมา มิสู้ลงมือก่อน ค่อยว่ากล่าวทีหลัง โยนความผิดทั้งหมดใส่กบาลเฉียนหยุน ด้วยฐานะของฝ่ายนั้น ไหนๆ คนก็ตายไปแล้ว เชื่อว่าคงไม่ได้รับโทษทัณฑ์สถานหนัก

เสียงต่อสู้ที่ดังลอดออกจากเหลาไกรสรดึงดูดให้ผู้คนในละแวกนั้นมาด้อมๆ มองๆ อยู่ไม่น้อย เหิงโหย่วเฉียนรีดเร้นพลังใช้อาวุธที่เสกขึ้นมาทิ่มแทงใส่ตำแหน่งหว่างคิ้วของฉินจิ่วเกอโดยไม่พูดไม่จาทันที

ฉินจิ่วเกอที่หลบหนีออกนอกตึกมาได้บัดนี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางแสงระเรื่อแห่งดินฟ้า อาภรณ์ขาดวิ่นบนตัวไม่อาจปกปิดอำนาจรัศมีที่แผ่ซ่านออกมาได้

“เคล็ดกิเลนครองฟ้า ออกมา!”

วาจาสั้นๆ ไม่กี่คำ ฟ้าสะเทือนดินสะท้าน พลังวิญญาณอันเข้มข้นรุนแรงปะทุขึ้นจากในเมืองก่อนมารวมรั้งอยู่บนฝ่ามือของฉินจิ่วเกอ

ไอวิญญาณครึ่งเมืองอันตรธานเหือดหาย สร้างความแตกตื่นตระหนกให้แก่ผู้ฝึกตนในเมืองซวนอู่อย่างยิ่งยวด ใครมันช่างกล้าถึงขั้นคิดท้าทายอำนาจต้องห้ามของเมืองซวนอู่

ฝ่ามือขนาดใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากอากาศธาตุ ครอบฟ้าคลุมดิน ลายเส้นบนมือคมชัด ผนึกพลังมรรคาแห่งการทำลายล้างและกฎแห่งการล้างบางเอาไว้

“อะไร?”

เหิงโหย่วเฉียนคาดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้ฉินจิ่วเกอก็สะกดกลั้นมาโดยตลอด นี่ก็เพื่อหาทางรักษาเอาตัวรอด!

กำจัดเหิงโหย่วเฉียน สร้างความตื่นตัวแก่เมืองซวนอู่ ชีวิตของฉินจิ่วเกอก็เป็นอันปลอดภัย

มองดูฝ่ามือที่ทาบทับลงมา เหิงโหย่วเฉียนแม้ขัดขืนสุดใจขาดดิ้นก็ยังถูกรัศมีพลังของฝ่ามือนั้นอัดกระแทกจนบาดเจ็บสาหัส

กิเลนมีพละกำลังมหาศาลสุดคณานับ ในเมื่อได้ชื่อครองฟ้า ดวงตะวันจันทราล้วนไม่เกินอาจเอื้อม ผงาดง้ำเป็นหนึ่ง!

เหิงโหย่วเฉียนยามนี้มีแต่ความหวาดกลัวสำนึกเสียใจอยู่เต็มแววตา มันสำนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว เหตุใดต้องไปตอแยอีกฝ่ายด้วย

ในสายตาของคนเหล่านี้ ตนก็ไม่ต่างไปจากอสรพิษ หารู้ไม่ ฉินจิ่วเกอต่างหากจึงจะเป็นอสรพิษที่แท้จริง แค่ขอบเขตจิตใจที่สามารถข่มกลั้นได้ถึงระดับนั้น ก็สามารถสร้างความกระสับกระส่ายหวาดกลัวให้คู่ต่อสู้ได้อย่างชงัดแล้ว

ตูม!

ฝ่ามือเลือนหาย เหลือไว้แต่เพียงซากเนื้อบดที่เคยเป็นเหิงโหย่วเฉียนมาก่อน อาวุโสใหญ่พรรคจอกประกายสิทธิ์ผู้มากอิทธิพลแห่งยุค กลับต้องมาตายอย่างน่าอนาถภายใต้เงื้อมมือของผู้เยาว์ชั้นปราณสุริยัน แม้แต่กระดูกก็ยังไม่เหลือ!

เหล่าคนดูที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองไม่มีใครที่ไม่ทอดถอนใจให้กับบุคลิกลักษณะของเด็กคนนี้

เฉียนหยุนที่อยู่ห่างออกไปไม่มากเองก็ถูกลูกหลงไปไม่น้อย ตอนนี้อาการร่อแร่ปางตาย เนื้อตัวมีแต่แผลเหวอะหวะอยู่เต็มไปหมด รัศมีพลังอ่อนล้า

ฉินจิ่วเกอใช้หนึ่งฝ่ามือครองฟ้า จากนั้นถอนหายใจออกมาอย่างเรียบเฉย

“อย่า.. อย่าฆ่าข้า ข้าคือศิษย์ประตูหายนะ พี่ชายข้าคือศิษย์สายตรง เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้”

พอเห็นฉินจิ่วเกอที่เหมือนอสูรร้ายจากขุมนรกลุกขึ้นมา เฉียนหยุนก็ตกใจกลัวจนน้ำตานองหน้า ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเลือดท่วมตัวอาการบาดเจ็บไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ามันเลยก็ตาม

“หยุดมือก่อน!” อาวุโสมู่หยวนเหาะเหินเดินอากาศมาถึงนอกเหลา หลั่งเหงื่อเย็นชุ่มโชก

เฉียนหยุนผู้นี้มันย่อมรู้จัก ส่วนแผนการในค่ำคืนนี้ของพรรคจอกประกายสิทธิ์มันก็ทำเป็นหลับตาข้างเดียวมองข้ามไป

บางครั้งก็ไม่อาจเข้มงวดกวดขันจนเกินไปนัก มู่หยวนไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้า ในเมืองซวนอู่แห่งนี้ล้วนมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ขอเพียงไม่โจ่งแจ้งจนเกินไปก็พอ

แต่ไม่ว่ายังก็ตามแต่ มู่หยวนย่อมไม่มีทางคาดคิดว่าคนที่พรรคจอกประกายสิทธิ์ต้องการจะกำจัดก็คือฉินจิ่วเกอ!

อาวุโสใหญ่พรรคหลิงเซียวผู้เป็นอาจารย์ของฉินจิ่วเกอได้ฝากความทรงจำอันลึกล้ำไม่อาจลบเลือนทิ้งไว้ในใจมู่หยวน

ด้วยขอบเขตพลังกลั่นดวงธาตุขั้นสี่ของมัน ภายใต้พลังอันกว้างไกลไร้ขอบเขตของอาวุโสใหญ่ ย่อมไม่ต่างจากน้ำหนึ่งหยดในห้วงสมุทร มู่หยวนรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายลำบากเพียงยกมือฝ่ามือก็สามารถบดขยี้ตนเองได้แล้ว

พลังอำนาจชนิดนี้ มีแต่อาวุโสที่เป็นเสาหลักไม่กี่ท่านของประตูหายนะเท่านั้นที่มี

บัดนี้ เฉียนหยุนรวมหัวกับพรรคจอกประกายสิทธิ์วางแผนฆ่าคนในเมือง เมื่อการกระทำนี้เปิดเผยออกไป ย่อมส่งผลกระทบเลวร้ายตามมา

มู่หยวนสำนึกเสียใจว่าเหตุใดตอนนั้นตนถึงไม่ยับยั้งเอาไว้

ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ฉินจิ่วเกอสังหารคนเดียวไม่พอ ยังต้องการฆ่าเฉียนหยุนเพื่อล้างแค้นอีกด้วย

อาจารย์ของอีกฝ่ายน่ากลัวจนเกินไป ประตูหายนะแม้ทรงพลัง แต่ก็มีศัตรูในเงามืดอยู่ไม่น้อย ทั้งยังอยู่ใต้อำนาจแดนศักดิ์สิทธิ์ ประตูหายนะจึงไม่อาจทำอะไรตามพลการ

ในปากเกิดรสขมปร่า มองดูซากร่างแหลกเละบนพื้น นี่คือพิสุทธิ์ไพศาลเลยนะ กลับถูกปราณสุริยันบดขยี้จนไม่เหลือซาก สัตว์ประหลาดชัดๆ

“ฉินเสี่ยวเกอ จริงอยู่ที่เฉียนหยุนเป็นฝ่ายผิด แต่เห็นแก่ข้าช่วยละเว้นมันได้หรือไม่”

ในเมื่อเป็นฝ่ายผิด มู่หยวนจึงได้แต่ต้องใช้ไม้อ่อน

“มันคิดฆ่าข้า” ฉินจิ่วเกอเค้นคำออกมาประโยคหนึ่ง นัยน์ตาห้อเลือด จิตสังหารท่วมท้น

“อาวุโส รีบฆ่ามันเร็วเข้า!” เฉียนหยุนที่ตกใจกลัวจนหัวหด พอเห็นอาวุโสมู่หยวนเข้ามาควบคุมสถานการณ์ คนเหมือนเห็นท่อนไม้ที่กลางน้ำ ความจองหองพลันกลับเข้าแทนที่

อาวุโสมู่หยวนถลึงตาใส่เฉียนหยุน เจ้าตาบอดหรือไร หากอาจารย์ของมันมาเยือนถึงที่ ถึงตอนนั้นใครเล่าจะห้ามมันอยู่?

นอกจากนี้ฉินจิ่วเกอยังมีพรรคคอยคุ้มกะลาหัว แถมอาจารย์ของมันก็ไม่ใช่ยอดฝีมือเพียงคนเดียว เบื้องบนยังมีประมุขพรรค ยังมีมรดกสืบทอด!

“หุบปาก!” มู่หยวนตวาดใส่เฉียนหยุนด้วยความเดือดดาล หรือต้องให้ดาวหายนะร่วงตกใส่พรรคอีกรอบก่อนเจ้าถึงจะพอใจ?

เฉียนหยุนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คิดช่วยเหลือ นัยน์ตาก็ซุกซ่อนความพยาบาท จดจำความอาฆาตนี้ไว้

มู่หยวนรู้สึกผิดหวังในตัวเฉียนหยุน ยังไม่ต้องพูดเรื่องนิสัยขี้ขลาดตาขาว เอาแค่นิสัยชอบใช้กำลังข่มเหงชาวบ้านก็มากพอ หรือมันคิดว่าจะมีคนคอยปกป้องมันไปตลอดชีวิตกัน?

มู่หยวนเดินเข้ามาส่งมอบโอสถเยียวยาบาดแผลระดับห้าให้กับฉินจิ่วเกอ แม้จะเป็นเมืองซวนอู่เองก็ตาม แต่ภายในสมาคมนักปรุงยาก็ยังมีนักปรุงยาระดับห้าเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

“ฉินเสี่ยวเกอ เราเดินไปคุยกันไปดีหรือไม่”

เฉียนหยุนคือสวะที่ไม่รู้จักโตก็จริง แต่พี่ชายและอาวุโสของมันต่างก็เป็นคนที่มู่หยวนต้องเงยหน้ามอง

ฉินจิ่วเกอไม่ใช่คนโง่ ต่อให้พรรคหลิงเซียวมีอำนาจปานใดก็ไม่อาจล่วงเกินประตูหายนะขุมกำลังที่มีมรดกสืบทอดนานนับหมื่นปีโดยเด็ดขาด

หลังทานยารักษาบาดแผล นัยน์ตาฉินจิ่วเกอก็คืนความกระจ่าง เอ่ยเสียงเรียบเย็นว่า “ขอบคุณอาวุโสมู่หยวนยื่นมือช่วยเหลือ ฉินจิ่วเกอจะจดจำบุญคุณในครั้งนี้ไว้ หากมีโอกาสย่อมต้องตอบแทน”

“อืม เรื่องนี้เฉียนหยุนเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู เท่ากับเป็นความผิดของประตูหายนะด้วยเช่นกัน เจ้าอาจไม่รู้ แต่พี่ชายของมันคือศิษย์สายตรงที่เป็นหนึ่งในหัวกะทิของประตูหายนะ อาวุโสของมันก็คืออาวุโสสูงสุด ประมุขพรรคคนปัจจุบันเองก็มาจากตระกูลของพวกมัน”

ที่แท้เป็นเช่นนี้ มิน่าเฉียนหยุนผู้นี้ยามอยู่ภายนอกถึงสามารถเรียกลมเรียกฝน ดูท่าเรื่องนี้คงต้องปล่อยตกไปอย่างนี้เอง

ฉินจิ่วเกอกำหมัดแน่น พบเห็นแววตาที่ซุกซ่อนความอาฆาตของเฉียนหยุนก็รู้สึกหวาดกลัวถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา

เรื่องในวันนี้ ต่อให้มันยอมปล่อยผ่านไป แต่ด้วยจิตใจอันคับแคบของอีกฝ่าย ย่อมไม่ยอมเลิกราเพียงเท่านี้แน่ๆ

“ขอบคุณอาวุโสมู่หยวนที่เอ่ยเตือน ฉินจิ่วเกอเข้าใจแล้ว” ฉินจิ่วเกอตอบรับอย่างไม่ยินดียินร้าย

เป็นอีกครั้งที่มู่หยวนต้องประหลาดใจในบุคลิกลักษณะของเด็กคนนี้ มันยังนึกว่าต้องเปลืองน้ำลายพูดหวาดล้อมอยู่อีกนาน ไม่คาดพูดออกไปไม่กี่คำอีกฝ่ายก็เข้าใจเสียอย่างนั้น

พบเห็นสีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็งของเฉียนหยุน ฉินจิ่วเกอฉีกยิ้มเฉิดฉายออกมาแทน

ไอ้สมองทึบ เจ้ายังไม่รู้ ศิษย์น้องข้าเป็นถึงพระเอกของเรื่อง เมื่อถึงแก่เวลา ประตูหายนะยังจะนับเป็นอะไรได้อีก

ฉินจิ่วเกอไม่ใช่สุภาพบุรุษผู้แสนดี มันเองก็เป็นคนใจแคบที่ต้องการล้างแค้นเช่นเดียวกัน อสรพิษที่แท้จริง ไม่มีทางยอมเปิดเผยคมเขี้ยวของตัวเองออกมาให้เห็น ทำเช่นนั้นมีแต่จะนำภัยมาสู่ตัว ไม่ต่างจากการเปิดเผยไพ่ตายทุกใบอย่างหมดเปลือก

ฉินจิ่วเกอเก็บกระบี่หนักลงไป ลอบสลายโอสถระดับห้าเม็ดนั้นเข้าสู่ร่าง ไม่นานก็ฟื้นคืนสู่สภาพสมบูรณ์พูนพร้อม

เพียงแค่โอสถระดับห้าขั้นต้นยังสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บนอกในของฉินจิ่วเกอจนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง นักปรุงยาช่างเป็นตัวตนที่ร้ายกาจจริงๆ

หลังเอ่ยคำล่ำลากับอาวุโสมู่หยวน ทะเลดาวลับฟ้ายามรุ่งสาง ราตรีลาลับพ้นท้องนภา ฉินจิ่วเกอก็ออกจากเมืองซวนอู่เตรียมมุ่งหน้ากลับพรรคในคืนนั้นเลย

“เจ้าอย่าได้ล่วงเกินมันเด็ดขาด” มู่หยวนแค้นใจที่ไม่อาจจัดการขั้นเด็ดขาดกับเฉียนหยุนได้ เอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้เพียงประโยคหนึ่งก่อนจะจากไป

มันกลับไม่ห่วงว่าฉินจิ่วเกอจะเป็นฝ่ายตกที่นั่งลำบาก เพราะรอยยิ้มที่อ่านความหมายไม่ออกก่อนจากไปของฉินจิ่วเกอนั้น ทำให้มู่หยวนสังหรณ์ใจว่า อสรพิษดูท่าจะไม่ใช่เฉียนหยุนแน่แล้ว

พันปีก่อนประตูหายนะต้องประสบหายนะร้ายแรง อาวุโสมู่หยวนเพื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของพรรค จึงไม่คิดที่จะสร้างศัตรู

เพิ่งก้าวออกจากประตูเมือง ฉินจิ่วเกอก็ชนเข้ากับเจ้าอ้วนน่าตาย

เจ้าอ้วนน่าตายที่วิ่งตัดเขามาตลอดคืนตอนนี้ใกล้จะหมดลมเต็มทน

เนื้อตัวมีแต่ฝุ่นดินดำเป็นปื้นๆ ลมหายใจขาดห้วง ยืนหอบหายใจอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราว

ศิษย์พี่ใหญ่เคราะห์ร้ายมากกว่าดี ศิษย์พี่รองชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เจ้าอ้วนน่าตายอับจนหนทาง ได้แต่อาศัยคำฝากฝังของลั่วเฉินบึ่งกลับมาที่เมืองซวนอู่

เพิ่งมาถึงนอกตัวเมือง เจ้าอ้วนน่าตายก็ใช้มืออันสั่นเทาหยิบเอาศิลาวิญญาณหลายร้อยก้อนออกมา เตรียมจะติดสินบนเข้าเมืองอีกรอบ

ยังดีที่ฉินจิ่วเกอฟื้นตัวดีแล้ว ขณะที่มันกำลังจะออกจากประตูเมือง คนเฝ้าประตูก็ได้รับสัญญาณเสียงจากอาวุโสมู่หยวน ไหนเลยจะกล้ารับรายได้พิเศษจากมัจจุราชโชกเลือดผู้นี้อีก

“เจ้าอ้วนน่าตาย?” ฉินจิ่วเกองงงวย ไฉนอีกฝ่ายถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้?

เจ้าอ้วนน่าตายพอได้เห็นฉินจิ่วเกออีกครั้งก็แตกตื่นดีใจจนแทบหลั่งน้ำตา ศิษย์พี่ใหญ่อย่างไรก็ยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่อยู่ดี ต่อให้อาภรณ์จะขาดแหว่งเหมือนโดนหนูแทะ แต่รัศมีพลังที่แผ่ออกจากตัวก็ยังมั่นคงไม่บุบสลาย

มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ทั้งคน ไม่แน่ว่าศิษย์พี่รองอาจรักษาชีวิตไว้ได้?

คิดแล้วก็รีบละล่ำละลักบอกเล่าต้นสายปลายเหตุให้ฉินจิ่วเกอฟัง พอเล่าจบตนก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น พร้อมรอยฝ่าเท้าที่เพิ่มมาอีกหนึ่งรอย “หน้าใหญ่ใจโตนักใช่ไหม นั่นศิลาวิญญาณข้า ศิลาวิญญาณข้าเจ้าได้ยินหรือไม่!”

ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของเหิงโหย่วเฉียน ฉินจิ่วเกอรู้สึกว่ามันจะได้ตายด้วยน้ำมือตนเองนี่แหละ

“เจ้าว่ามีคนปองร้ายศิษย์น้องรอง แถมยังเป็นชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดอีกด้วย?” พระเอกนี่มันพระเอกจริงๆ ออกมาเดินเล่นตอนกลางคืนยังถูกคนดักตีหัวได้

เจ้าอ้วนน่าตายสะอื้นไห้แล้ว “ศิษย์พี่ใหญ่รีบเข้าเถอะ ชักช้าจะสายเกินแก้”

“อืม ข้าค้นพบพันธกิจของชีวิตแล้ว ก็คือเป็นดาวโชคลาภปราศจากศัตรูของพระเอกนี่เอง ย่อมต้องไปส่งอุจจาระ เอ๊ย ไม่ใช่ ส่งฟืนไฟท่ามกลางหิมะเสียหน่อย”

ฉินจิ่วเกอจัดคอเสื้อให้เข้าที่ ลากตัวเจ้าอ้วนขึ้นมา เสร็จแล้วก็พุ่งหายเข้าไปในแนวป่า

สถานการณ์บีบคั้น ขืนไปเรียกมู่หยวนคงจะสายเกินการณ์ หรือบางทีหากอาศัยคุณสมบัติของพระเอก มันวิ่งไปซื้อซีอิ๊วยังไม่ทันเสร็จเรื่องราวก็เรียบร้อยไปแล้ว

อีกอย่างพวกตนก็ไม่ได้มีสัมพันธ์เหนียวแน่นกับมู่หยวน ฉินจิ่วเกอพาเจ้าอ้วนข้ามเขาตามหาร่องรอยของน้องรองต่อ