ตอนที่ 83 เบาะแส

ตอนที่ 83 เบาะแส

ครั้นได้ยินเสียงคุ้นเคย เสิ่นหรูฮวนก็รีบหันไปมองทันที หลังจากนั้นก็ได้เห็นพ่อ แม่ และพี่ชายของตนวิ่งมาทางนี้ ดวงตาของหล่อนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

“พ่อ แม่ พี่…”

ฉินมู่หลานเองก็มองไปเช่นกัน เมื่อเห็นคนตระกูลเสิ่นวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ ก็อดที่จะหันมองซูหว่านอี๋ไม่ได้ “แม่คะ มีแขกมาเยี่ยมค่ะ”

ซูหว่านอี๋ทราบได้เช่นกันว่าคนเหล่านี้คือคนตระกูลเสิ่น จึงรีบหันไปพูดกับฉินมู่หลาน “มู่หลาน ลูกไปทักทายพวกเขาก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่จะไปเตรียมชาก่อน เดี๋ยวลูกค่อยพาคนตระกูลเสิ่นเข้ามาข้างในแล้วกันนะ”

“ค่ะ”

ทางด้านเสิ่นเจิ้นอวี่และถงทิงผิงที่ได้พบลูกสาวตัวเองต่างมีสีหน้าฉายแววตื่นเต้นสุดขีด โดยเฉพาะถงทิงผิงที่มีน้ำตาไหลอาบแก้ม “หรูฮวน ในที่สุดก็ได้เจอลูก ลูกไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นแม่คงทำอะไรไม่ถูกแน่”

เสิ่นเจิ้นอวี่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพียงแต่มาดของเขาดูเคร่งขรึมมาโดยตลอด นี่เป็นความตื่นเต้นครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้นกับตัว การแสดงออกของสีหน้าจึงดูไม่เปลี่ยนแปลง

เสิ่นหรูฮุ่ยที่ตามมาเป็นคนสุดท้ายเป็นคนแรกที่คว้าเสิ่นหรูฮวนไปกอด

“หรูฮวน เห็นเธอไม่เป็นอะไรแล้วมันรู้สึกดีมากเหลือเกิน”

ครั้นเสิ่นหรูฮวนได้เห็นครอบครัวของตนที่ยืนอยู่ตรงหน้า น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า สุดท้ายก็ไหลอาบลงมา “พ่อแม่ พี่ หนูคิดถึงทุกคนมากเลย ทำไมถึงเพิ่งมาหาหนูตอนนี้ล่ะ รู้ไหมว่าก่อนหน้านี้หนูกลัวมากแค่ไหน”

เมื่อเห็นลูกสาวของบ้านร้องไห้ บรรดาคนตระกูลเสิ่นจึงอึ้งไปนิดหน่อย

ฉินมู่หลานที่ยืนอยู่ถัดจากกันก็ได้เอ่ยขึ้น “หรูฮวน พาคุณลุงคุณป้าเข้าข้างในก่อนเถอะ“

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน เสิ่นหรูฮวนก็ดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ได้พบกับสายตาของชาวบ้านโดยรอบที่มองมาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “พ่อ แม่ พี่ พวกเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะค่ะ”

“ได้สิ”

เสิ่นเจิ้นอวี่และถงทิงผิงภรรยาของเขา รวมถึงเสิ่นหรูฮุ่ยเองก็มองเห็นฉินมู่หลานเช่นกัน เมื่อทราบว่าหญิงสาวใจกล้าตรงหน้าคือผู้มีพระคุณที่ช่วยเสิ่นหรูฮวนเอาไว้ พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากมาย แล้วตามเข้าไปในบ้านเสียก่อน

เมื่อเข้าไปถึงข้างในบ้านแล้ว ซูหว่านอี๋ก็ได้เตรียมน้ำชาเอาไว้เรียบร้อย ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยทักทายคนตระกูลเสิ่นพลางเชื้อเชิญให้พวกเขาดื่มชา “ชานี้เป็นใบชาดิบที่พวกเราคั่วกันเองค่ะ อาจจะไม่ถูกปากพวกคุณสักเท่าไหร่นะคะ”

ถงทิงผิงรีบเอ่ยทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ไม่หรอกค่ะ ไม่หรอก อร่อยกว่าที่พวกเราชงดื่มกันเองแน่นอนค่ะ” หลังจากเอ่ยเช่นนั้นแล้วก็หันไปพูดกับลูกสาว “หรูฮวน ลูกรีบแนะนำพวกเราสิ”

เสิ่นหรูฮวนรีบเอ่ยแนะนำฉฺนมู่หลานกับครอบครัวของตนด้วยท่าทีจริงจังดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“พ่อแม่ พี่ นี่คือฉินมู่หลาน คนที่ช่วยชีวิตหนูเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน หนูคงโดนขายออกไปต่างประเทศแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้น ถึงแม้ว่าตระกูลเสิ่นจะพอทราบเรื่องราวมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกฉุนเฉียวอยู่ ในตอนนี้เองเสิ่นหรูฮุ่ยได้สบถออกมาอย่างรุนแรง “ทุเรศนัก เจ้าพวกนั้นขายวัตถุโบราณอันทรงคุณค่าให้กับต่างประเทศไม่พอแล้วยังค้าผู้หญิงด้วย แบบนี้มันยกโทษให้ไม่ได้ พวกมันทั้งหมดสมควรตาย”

ฉินมุ่หลานขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น กลายเป็นว่าพวกชางไห่นั้นแอบลักลอบนำโบราณวัตถุโบราณที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมไปขายให้กับต่างประเทศแล้วยังคิดอาศัยช่องทางนี้ค้าผู้หญิงออกไปต่างประเทศด้วย สมควรตายจริง ๆ

ไม่ต้องพูดถึงโบราณวัตถุโบราณที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมพวกนั้นที่จะไม่มีวันได้หวนคืนกลับสู่ประเทศเลย ไหนจะผู้หญิงที่ต้องโดนขายไปในต่างประเทศอีก ชีวิตพวกหล่อนคงทุกข์ทรมานมากเป็นแน่ คนพวกนั้นสมควรตายเสียจริง

ซูหว่านอี๋นึกถึงตอนที่ลูกสาวของตนโดนจับไป จึงหยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วล่ะ คนพวกนั้นสมควรตายทั้งหมดนั่นแหละ”

ถงทิงผิงก็พยักหน้าเช่นกัน

ส่วนเสิ่นเจิ้นอวี่ปรายตามองลูกชายตัวเอง เสิ่นหรูฮุ่ยจึงรีบหุบปากลงทันที แล้วไม่พูดอะไรอีก ด้วยความกลัวว่าน้องสาวจะคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายพวกนั้นแล้วรู้สึกไม่ดี

เมื่อเห็นลูกชายของตนหุบปากแล้ว เสิ่นเจิ้นอวี่และถงทิงผิงก็รีบหันไปเอ่ยทักทายฉินมู่หลาน “สวัสดี มู่หลาน ขอบคุณมากที่ช่วยหรูฮวนของพวกเรา ถ้าไม่ได้เธอ ป่านนี้หรูฮวนของเราจะเป็นยังไงแล้วบ้างก็ไม่รู้”

เสิ่นหรูฮุ่ยเองก็เอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ขอบคุณครับสหายฉิน”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ฉันกับหรูฮวนเป็นเพื่อนกัน ทุกคนก็ต้องช่วยเหลือกันและกันค่ะ”

หลังจากนั้นเสิ่นหรูฮวนก็แนะนำซูหว่านอี๋ เมื่อฉินเจี้ยนเซ่อกับฉินเคอวั่งกลับมากันแล้ว ก็ได้แนะนำให้พวกเขาให้รู้จักกับครอบครัวของตนด้วยเช่นกัน ส่วนคนตระกูลฉินที่เหลือนอกจากนี้ เสิ่นหรูฮวนเอ่ยแนะนำอย่างสั้น ๆ เท่านั้น

นอกจากนี้เสิ่นเจิ้นอวี่และถงทิงผิงก็ได้เตรียมของขวัญขอบคุณคนตระกูลฉินมาด้วย มีของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับฉินมู่หลานและสามีของเธอ นอกจากนี้ยังมีของขวัญราคาแพงที่มอบให้กับฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋รวมถึงฉินเคอวั่ง แม้แต่ผู้อาวุโสของตระกูลฉินและลูกชายคนโตทั้งสองของเขาก็ยังได้รับด้วย

หวังจาวตี้ได้รับของขวัญก็เอ่ยขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม พลางรู้สึกตกใจที่ครอบครัวของเพื่อนน้องสามีช่างร่ำรวยเหลือเกิน เสิ่นหรูฮวนเพิ่งมาอาศัยอยู่ที่บ้านของพวกเขาเพื่อเที่ยวเล่นเท่านั้น แต่สุดท้ายก็ยังมีของขวัญติดไม้ติดมือมาฝาก

ซุนฮุ่ยหงมีความสุขมากเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันก็อดรู้สึกอิจฉาน้องสะใภ้เสียไม่ได้ ดูเหมือนว่าหลังจากที่ฉินมู่หลานแต่งงานไปแล้ว หลานสาวผู้นี้ก็รู้จักคนมากขึ้นเรื่อย ๆ และคนที่เธอรู้จักก็ดูดีกันทั้งนั้น แล้วดูสิ ของขวัญที่ตระกูลเสิ่นนำติดไม้ติดมือมาฝาก แค่เพียงมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าฐานะฝ่ายนั้นต้องรวยมากแน่นอน แม้กระทั่งหล่อนเองยังได้ผ้าไหมตั้งหนึ่งผืน

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสิ่นเจิ้นอวี่และถงทิงผิง ซุนฮุ่ยหงกลับไม่กล้าพูดอะไร เพียงแค่มองก็รับรู้ได้ว่าตระกูลเสิ่นคงไม่ใช่ครอบครัวธรรมดาอย่างแน่นอน

เมื่อคนตระกูลเสิ่นมาเยือน บ้านตระกูลฉินก็คึกครื้นอีกครั้ง หลังจากทั้งสองตระกูลกินข้าวกันเสร็จ เสิ่นเจิ้นอวี่ก็หันมองเสิ่นหรูฮวนแล้วพูดขึ้น “หรูฮวน กลับบ้านกันเถอะ”

ช่วงที่ผ่านมาเขาพยายามอย่างมากเพื่อหาตัวลูกสาว แต่กลับไม่พบอะไรเลย หากเจี่ยงสือเหิงไม่ไปที่บ้านของพวกเขา พวกเขาคงไม่มีทางทราบเลยว่าลูกสาวพักอยู่ที่นี่อย่างปลอดถัย จึงได้มาเยือนหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเขาแห่งนี้

ถงทิงผิงเองก็รีบหันไปพูดกับลูกสาวเช่นกัน “ใช่แล้วหรูฮวน กลับบ้านกับพวกแม่เถอะนะ”

ถึงแม้เสิ่นหรูฮุ่ยจะไม่เอ่ยสิ่งใดก็ตาม แต่ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ก็ทราบได้ว่าอยากให้น้องสาวกลับไปกับพวกเขาด้วยกัน

เมื่อเสิ่นหรูฮวนได้ยินคำพูดของครอบครัวตัวเอง หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะบอกความในใจ เอ่ยขึ้นว่า “พ่อ แม่ หนูยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ หนูกลัวว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะหนูเองก็ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนจ่ายเงินจ้างคนพวกนั้นให้จับหนูมาที่มณฑลซานตงกันแน่”

เอ่ยจบ หล่อนก็หันมองหน้าครอบครัวอีกครั้งแล้วพูดขึ้น “ลุงเจี่ยงน่าจะเป็นคนที่ไปบอกเรื่องนี้กับทุกคนใช่ไหมคะ ไม่รู้ว่าพวกพ่อเจอเบาะแสอะไรบ้างหรือยัง?”

“อย่าห่วงเลยน้องสาว พวกเรามีความคิดอยู่แล้ว อีกไม่นานต้องเจอคนที่ทำร้ายเธอแน่ นอกจากนี้ ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่ามีคนวางแผนเพ่งเล็งเธออยู่ ดังนั้นจะคอยปกป้องไม่ให้เธอโดนทำร้ายอีกแน่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหรูฮวนก็รีบเอ่ยถาม “พี่ พวกพี่เจออะไรกันบ้าง? เป็นฟางโหรวหรือเปล่าที่พยายามทำร้ายหนู?”

เสิ่นหรูฮุ่ยไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้าลงด้วยสีหน้ามืดมน แล้วเอ่ยขึ้น “ใช่แล้วล่ะ พวกเราหมายหัวฟางโหรวแล้ว นังนั่นกล้าดียังไงมาทำร้ายเธอ พวกเราจะไม่ปล่อยมันไปแน่”

เสิ่นหรูฮวนไม่คาดคิดว่าคำพูดของฉินมู่หลานจะถูกต้อง ถึงแม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่หล่อนก็ยังรู้สึกทำใจไม่ได้

“เป็นหล่อนจริงด้วย ทำไมหล่อนถึงทำแบบนี้นะ”

ถงทิงผิงคว้าตัวลูกสาวของเธอแล้วเอ่ยพูดด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “หรูฮวน แม่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าฟางโหรวมาจากครอบครัวเล็ก ขี้อิจฉาง่าย ไม่ใช่คนดี แต่ลูกก็ไม่ฟังแล้วยังคิดว่ามันเป็นเพื่อนที่ดี ลูกดูสิ ดูสิ่งที่มันทำกับลูก มันคิดอยากจะให้ชีวิตลูกเลวร้ายยิ่งกว่าตายเสียอีก”

ในตอนนี้เสิ่นเจิ้นอวี่ก็เอ่ยขึ้นทั้งสีหน้าจริงจัง “หรูฮวน ลูกกลับบ้านไปกับพวกเราเถอะ เอาไว้พ่อจะสืบสวนเรื่องนี้ต่อเอง เมื่อหาเบาะแสได้ ก็จะหาคนที่ทำร้ายลูกได้”

เสิ่นหรูฮวนได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยพูดพร้อมขมวดคิ้ว “พ่อคะ ไม่ใช่ว่าเป็นฟางโหรวหรอกหรือ ยังต้องหาเบาะแสอะไรเพิ่มอีก”

เสิ่นเจิ้นอวี่มองลูกสาวของตนก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ฟางโหรวเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวธรรมดา ไม่ได้มีเงินมากมายนัก หล่อนจะรู้จักกับพวกคนของชางไห่ได้ยังไง แล้วหล่อนต้องควักเงินจ่ายไปตั้งเท่าไหร่ ถึงสามารถจ้างให้พวกมันมาจับตัวลูกไปได้?”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

แสดงว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดอื่นนอกจากฟางโหรวล่ะสิเนี่ย ฟางโหรวก็น่าจะเป็นหมากเบี้ยตัวหนึ่ง

ไหหม่า(海馬)