ตอนที่ 77 กระโดดข้ามระเบียงและปีนขึ้นเตียง
ตกดึก เวลาแห่งการฆ่าคนวางเพลิง อ๊ะ ไม่สิๆ เวลาแห่งการลอบปีนขึ้นเตียงต่างหาก
มู่เถาเยาซ่อนกลิ่นอายของตัวเองและกระโดดข้ามระเบียงไปยังระเบียงห้องที่อยู่ติดกับห้องของเธอ
หลังจากหยุดเพื่อทำใจครู่หนึ่ง เธอก็เดินเข้าไปในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหราและคลาสสิกผ่านประตูระเบียงที่เปิดอยู่
โคมไฟข้างเตียงส่องแสงสลัวจางๆ ทำให้ความงามของคนที่นอนอยู่บนเตียงยิ่งงดงามจับตามากขึ้นไปอีก
มู่เถาเยาลังเลเล็กน้อย
เธออยากปีนขึ้นเตียง แต่ก็กลัวว่าจะทำเสด็จแม่ตื่น
หญิงงามบนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยิ้มให้หญิงสาวที่สวมเสื้อสีดำและกางเกงขาสั้น ซึ่งกำลังลังเลว่าจะปีนเตียงเธอดีหรือไม่
“เสี่ยวเยาเยา ทำไมไม่ขึ้นมาล่ะ”
มู่เถาเยาแทบบินไปที่เตียงทันทีและล้มตัวลงนอนข้างๆ หญิงงาม ใบหน้านุ่มนิ่มราวทารกของเธอแนบอยู่บนไหล่ของหญิงงาม มือเล็กเอื้อมไปโอบเอวเรียวเล็กของอีกฝ่ายเหมือนตอนที่เธอยังเด็กๆ
ในเวลานั้นเสด็จพ่อยังโปรดปรานเธอและเสด็จแม่มาก มักจะชอบดุว่าเธอเผด็จการ ครอบครองเสด็จแม่ไว้คนเดียว
ต่อมาเมื่อเสด็จแม่คลอดน้องชาย เสด็จพ่อก็เปลี่ยนไป
ตอนที่น้องชายเกิด เธอเพิ่งอายุเจ็ดขวบเท่านั้น ในเวลาเพียงหนึ่งปีสั้นๆ ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนจากสวรรค์ไปเป็นนรก
เมื่อเธออายุได้แปดปี เธอก็สูญเสียเสด็จแม่ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ยิ่งไม่มีเสด็จพ่อคอยโปรดปราน เธอก็เปลี่ยนจากองค์หญิงน้อยผู้ไร้เดียงสาที่ชอบบ่นว่าเหนื่อยทุกครั้งเวลาฝึกวรยุทธ์ ไปเป็นนักทฤษฎีสมคบคิดที่จิตใจมีแต่ความแค้นและความเกลียดชัง ปรารถนาที่จะก่อกบฏล้มล้างราชวงศ์เพียงอย่างเดียว
เย่ว์เลี่ยงสัมผัสได้ว่าลมหายใจของลูกสาวเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อย จึงเอื้อมมือออกไปลูบหลังเธอแล้วเอ่ยปลอบโยนว่า “เสี่ยวเยาเยา เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นฝันร้ายใดๆ ก็จะสลายไป เราต้องมองไปข้างหน้า ไม่อาจจมปลักอยู่แต่ในอดีตได้”
“เสด็จแม่ ท่านว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงเปลี่ยนไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น ทั้งที่เมื่อก่อนพระองค์ทรงดีกับพวกเรามาก”
ในตอนที่เธอก่อกบฏ ไม่ใช่ว่าเธอไม่คิดลังเล แต่เมื่อนึกถึงการตายของเสด็จแม่ที่ทั้งโหดเหี้ยมและทารุณ ร่างกายของเธอก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
แต่ก่อนเสด็จพ่อโปรดปรานพวกเธอแม่ลูกอย่างกับอะไร แต่พริบตากลับต้องการเอาชีวิตพวกเธอชนิดไม่ตายไม่เลิกรา
เด็กอายุแปดขวบคนหนึ่งกับทารกที่อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบดี เมื่อไม่มีเสด็จแม่คอยปกป้อง กี่ครั้งที่พวกเธอเกือบจะต้องตายด้วยน้ำมือของพี่น้องสายเลือดเดียวกัน
ไม่รู้ว่าในตอนที่คนพวกนั้นถูกเธอฆ่า พวกเขารู้สึกเสียใจภายหลังหรือไม่ที่ไม่เผาเธอและน้องชายไปพร้อมๆ กับเสด็จแม่ในปีนั้น
ฮ่าๆ
“เสี่ยวเยาเยา สกุลเย่ว์ของเรามีอำนาจมากเกินไป ในตอนนั้นราชวงศ์ไม่มีองค์ชายคนไหนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นองค์ชายคนใด ต่างก็ต้องการปีนขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น”
แน่นอนมู่เถาเยาเข้าใจสิ่งหล่านี้ เธอเพียงไม่เข้าใจว่าทั้งๆ ที่พระองค์ก็ทรงโปรดปรานพวกเธอ แต่ทำไมถึงไม่ปกป้องพวกเธอ
แต่ต่อให้ไม่มีพระองค์ปกป้อง พวกเธอก็ยังมีสกุลเย่ว์
ยิ่งกว่านั้นความโปรดปรานของพระองค์หลายปีก่อนหน้านั้นก็เป็นของจริง เธอสัมผัสได้
ถ้าหากว่าพระองค์ไม่ได้โปรดปรานพวกเธอแม่ลูกตั้งแต่ต้น แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น…
“แต่ก่อนก่อนที่จะมีน้องชายของลูก ที่พวกเขาประจบประแจงพวกเราเพราะต้องการดึงสกุลเย่ว์ของพวกเราไปเป็นพวก แต่หลังจากที่น้องชายของลูกเกิด คนพวกนั้นก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา อย่างไรเสีย สกุลเย่ว์ ย่อมต้องเลือกข้างน้องชายลูกอยู่แล้ว เสด็จพ่อของลูก…เฮ้อ คนคนนั้นน่ะอ่อนแอไร้ความสามารถมากเกินไป!”
เย่ว์เลี่ยงสัมผัสได้ถึงความสับสนในใจของลูกสาว
“เสี่ยวเยาเยา ความชิงชังและรังเกียจภายหลังจากความรักและความอ่อนโยนอย่างถึงที่สุดนั้นคือสิ่งที่ร้ายกาจมากที่สุด! เสี่ยวเยาเยา อย่าได้คิดมากอีกเลย ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด”
“เสด็จแม่ ลูกไม่ได้ปลงพระชนม์เสด็จพ่อ พระองค์เสียชีวิตด้วยโรคซึมเศร้า”
ถ้าหากเป็นไปได้ เย่ว์เลี่ยงอยากจะถ่มน้ำลายใส่เขาและสบถด่าแรงๆ สักคำว่า สมควรแล้ว! เสียใจภายหลังก็ไม่มีประโยชน์!
สามีของเธอในชาติที่แล้วถูกเธอมองว่าเป็นอดีตไปนานแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่อยากพูดถึงอีก
มือเรียวยกขึ้นสัมผัสใบหน้าเล็กจ้ำม่ำของลูกสาวที่คล้ายกับตัวเองด้วยความรัก “เสี่ยวเยาเยา อุตส่าห์เลี้ยงดูปกป้องเยี่ยนหังจนเติบใหญ่ ลำบากลูกแล้วจริงๆ”
“อื้ม มีครั้งหนึ่งที่ลูกเกือบจะเสียท่าให้คนพวกนั้น เยี่ยนหังถูกวางยาพิษ ลูกแก้ไม่ได้ โชคดีที่อาจารย์ยอมสละดอกไม้สองชีวิตถึงเก็บชีวิตของเยี่ยนหังกลับมาได้”
มู่เถาเยาพูดพลางแค่นเสียงหึขึ้นจมูก รู้สึกดูถูกและขยะแขยงอย่างมาก
“เสี่ยวเยาเยา นี่ไม่ใช่ความผิดของลูก ลูกต้องรับหน้าที่พี่สาวคนโตมาตั้งแต่อายุได้เพียงแปดขวบ แถมยังต้องปกป้องน้องชายจากสถานที่ที่กลืนกินชีวิตผู้คนอย่างในวังหลังแห่งนั้น เท่านี้ลูกก็เก่งมากแล้ว”
“เสด็จแม่…”
“เสี่ยวเยาเยา ที่นี่ไม่มีเสด็จแม่อีกแล้ว”
“แม่คะ…”
“เสี่ยวเยาเยา ลูกไม่ชอบโลกนี้เหรอ”
“ชอบค่ะ”
ระบบหนึ่งสามีหนึ่งภรรยา กฎหมาย เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน…มีหลายสิ่งที่เธอชอบมากที่นี่!
จะไม่ให้เธอชอบได้ยังไง
“ถ้าอย่างนั้นลูกก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ อีกหน่อยลูกต้องเรียกแม่ว่าอา แม่ก็จะปรับคำเรียกขานกับลูกเหมือนกัน”
“อืมม…อาคะ…” มู่เถาเยาเรียกด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแผ่วเบา
เย่ว์เลี่ยงหยิกจมูกเด็กสาวอย่างมันเขี้ยว “เด็กดื้อ” เหมือนกับว่าเธอได้ลูกสาววัยแปดขวบกลับมาอีกครั้ง
“อาคะ ฮองเฮาของเยี่ยนหังก็คือเป่ยหลีลูกสาวของเจ้ายุทธภพเป่ย เธอเป็นหญิงสาวที่กล้าหาญมากและมีไหวพริบ เหมาะที่จะนั่งตำแหน่งฮองเฮา”
“สกุลเป่ยเหรอ ช่างบังเอิญจริงๆ!”
“ใช่ค่ะ ตอนที่ลุงเล็กออกท่องยุทธภพ เขาได้ผูกมิตรกับคนแปลกๆ ไว้มากมาย”
“สิ่งที่ตาและลุงเล็กของเธอทำก็เพื่อเตรียมการล่วงหน้า ป้องกันเผื่อเรื่องที่อาจคาดไม่ถึง”
“หนูรู้ ยามนั้นราชสำนักตกอยู่ในความวุ่นวาย คนในยุทธภพเองก็เข้ามาเกี่ยวข้องไม่น้อย อย่างเป่ยหลีในตอนนั้นยังแอบปลอมตัวเป็นผู้ชายหลอกคนในตระกูลแล้วตามเข้าไปในสนามรบด้วย…”
มู่เถาเยาเล่าเรื่องระหว่างที่เธอล้มล้างราชสกุลมู่ สงคราม รวมถึงเรื่องอื่นๆ ให้เย่ว์เลี่ยงฟังทั้งหมด
“พวกเขาคงไม่เคยคิดว่าสกุลเย่ว์ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่กองกำลังหลักของแคว้นจะจับมือกับคนในยุทธภพทำการพลิกผืนฟ้าแบบนั้น” เย่ว์เลี่ยงหัวเราะอย่างมีความสุข
สกุลเย่ว์จงรักภักดีต่อราชวงศ์และปกป้องผู้คนมาหลายชั่วอายุคน แต่สุดท้ายสิ่งที่แลกมาคืออะไร
‘กษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย’ แต่มีขุนนางผู้จงรักภักดีคนไหนบ้างที่สมควรตาย!
ความภักดีและกตัญญูอย่างโง่เขลานั้นน่ากลัวมาก เพราะคำว่า ‘จงรักภักดี’ และ ‘กตัญญู’ ที่ผูกมัดพวกเขาไว้ จนทำให้ลืมคำนึงถึงชีวิตและความรู้สึกของสมาชิกในครอบครัว
“แม่คะ ท่านตาและท่านยายจากไปก่อนสามปีก่อนที่หนูจะเสียชีวิตลง”
“อืม ด้วยอายุเท่านั้นในแผ่นดินจงโจวถือว่าอายุยืนมากแล้ว เสี่ยวเยาเยา ตอนที่อาเสียชีวิตจำได้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอเพิ่งอายุสามขวบใช่ไหม ต่อมาเธอแต่งให้กับใครเหรอ”
“เย่ว์หย่าเอ๋อร์แต่งให้กับหนานมู่เสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดของราชวงศ์เราค่ะ”
“สกุลหนาน? ใช่สกุลหนานเดียวกับหนานเหมี่ยนนักคิดผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ หนานมู่เป็นหลานชายคนโตของเขา”
“ในปีนั้นที่ลุงเล็กของเธอฝากอาและลูกพี่ลูกน้องของเธอไว้กับสกุลเย่ว์แห่งหนานเจียง หนึ่งก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น สองเพราะสกุลเย่ว์แห่งหนานเจียงไม่เพียงแต่ร่ำรวยและมั่งคั่ง แต่ยังเป็นบ้านเกิดของนายท่านหนานนักคิดผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ดังนั้นในสมัยนั้นที่เจียงหนานจึงถือเป็นดินแดนสำหรับบัณฑิตที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราและวัฒนธรรม ไม่ว่าในภายหลังผู้ใดจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ ก็ไม่มีใครกล้าแตะสถานที่นั้น…”
มู่เถาเยาพยักหน้า
เว้นแต่จะถูกรุกรานจากแคว้นอื่น ซึ่งการปะทะของกองทัพทั้งสองฝั่งยากที่จะรับประกันได้ว่าเจียงหนานจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ถ้าเป็นภายในแคว้น ไม่ว่าองค์ชายพระองค์ใดได้ขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อ ล้วนแต่ต้องพึ่งพาบัณฑิตเข้ามารับหน้าที่ในราชสำนักและจ่ายภาษีฟุ่มเฟือยเหล่านั้น
“อืม ต่อมาลุงเล็กไปรับพวกท่านป้ากลับมา หนูเลยถือโอกาสขอให้เขาเชิญท่านหนานเหมี่ยนมาเป็นอาจารย์สอนเยี่ยนหังในวังหลวงด้วย”
“ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของป้าเธอ ท่านหนานเหมี่ยนคงไม่กระโดดเข้ามาร่วมวงน้ำโคลนในราชสำนักนี้ด้วย”
“ใช่ค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะสกุลเย่ว์ พวกเราพี่น้องคงตายอย่างไร้ที่ฝังไปนานแล้ว อย่าว่าแต่ขึ้นเป็นจักรพรรดินีเลย”
“นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เธอตั้งชื่อราชวงศ์ใหม่ว่า ‘เทียนเย่ว์’ สินะ”
“ค่ะ”
เย่ว์เลี่ยงกอดลูกสาวของเธอไว้แน่นแล้วถอนหายใจเบาๆ
“อาคะ ตระกูลเย่ว์กับตระกูลเป่ยจากเผ่าหมาป่าพระจันทร์ในโลกนี้ เป็นไปได้ไหมว่ามีความเกี่ยวข้องกับสกุลเย่ว์ของเราในชาติที่แล้ว”
“ก็อาจเป็นไปได้ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยาวนานหลายยุคสมัย อาณาเขตอาจถูกแบ่งออกไปและเล็กลงเรื่อยๆ…”
เมื่อมีการผนึก ก็ต้องมีแตกออก
แต่ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ยังคงเป็นตระกูลเย่ว์อยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่าจะมีตระกูลลู่อยู่ด้วย หมอปาบอกว่าหมอเทวดาปาถิงเคยพบหมอหญิงพเนจรคนหนึ่งในแถบชายแดนตะวันออก เธอรู้จักดอกไม้สองชีวิตกับหญ้าพิษชีวิต ซึ่งนั่นอาจจะเป็นอาจารย์ของหนูใช่ไหม”
“นี่…ก็พูดยากนะ แต่ยังไงก็คุ้มค่าที่จะตรวจสอบ เราจะยืนยันได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเธอแล้วเท่านั้น”
“อืม อาคะ เจียงเฟิงเหมียน ลูกสาวของอาจารย์อาเล็กเจียงเฉาอธิการบดีของมหาวิทยาลัยที่หนูเรียนอยู่ เหมือนกับเย่ว์หย่าเอ๋อร์ในชาติที่แล้วมาก…”
“เสี่ยวเยาเยา หนูมาอยู่ที่นี่เหงามากใช่หรือเปล่า ทำไมหนูถึงเอาแต่มองหาเงาของคนที่คุ้นเคยจากคนอื่นอยู่เสมอ…” หัวใจของเย่ว์เลี่ยงบีบรัดแน่น
แม้ว่าลูกสาวของเธอจะเก่งกาจมาก แต่ตอนที่เธอเสียชีวิตในชาติที่แล้วเธออายุยังไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ ดังนั้นภาพของลูกสาวในใจเธอจึงยังคงเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุแปดขวบที่ต้องได้รับการดูแล
“ไม่ใช่ค่ะอา แต่พวกเธอทั้งสองคนเหมือนกันมากจริงๆ…”
มู่เถาเยาบรรยายรูปลักษณ์ของลูกพี่ลูกน้องเพียงคนเดียวของเธอตอนโต ตอนที่เธอแต่งงานกับหนานมู่ให้กับเย่ว์เลี่ยงฟังอย่างละเอียด
เย่ว์หย่าเอ๋อร์เติบโตขึ้นมาจากตระกูลที่มั่งคั่งและสะดวกสบายตั้งแต่เธอเกิด เธอจึงมีบุคลิกที่ไร้เดียงสาและมีความรู้มากมาย อุปนิสัยและหลายๆ ด้านของพวกเธอคล้ายกันมาก…
นอกจากรูปร่างหน้าตา ที่เหลือทั้งสองคนแทบจะเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
“เอาล่ะๆ วันหลังอาจะไปพบสาวน้อยคนนั้นสักครั้ง นอนกันเถอะ นี่ก็ใกล้จะสว่างแล้ว”
“อาคะ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“อะไรเหรอ”
“หนูอยากได้น้องชายที่เหมือนกับเยี่ยนหัง”
เย่ว์เลี่ยง “…”