ตอนที่ 78 คำชมที่มีทุกรูปแบบ
แม้เธอเพิ่งจะนอนได้ไม่นาน แต่มู่เถาเยาก็ตื่นขึ้นมาตามปกติ
หลังจากย่องกลับไปที่ห้องข้างๆ และอาบน้ำเปลี่ยนไปใส่ชุดฝึก เธอก็ลงไปฝึกวรยุทธ์ที่ลานด้านหลังอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตร
ไม่นานเย่ว์เลี่ยงก็ตามลงมา
ถ้าการประมือของสองแม่ลูกถูกคนอื่นเห็นเข้า พวกเขาจะต้องสงสัยแน่ว่าพวกเขาทะลุมิติมายังสมัยโบราณแล้วหรือเปล่า
เห็นเพียงแต่เงาร่างสองเงาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาพติดตา ในขณะที่เมื่อกระบวนท่าเหล่านั้นช้าลงก็เหมือนกับท่วงท่าการร่ายรำ ไม่มีต้นไผ่ด้านหลังเป็นฉากประกอบ มีเพียงแต่สาวงาม
กระบวนท่าดาบของตระกูลเย่ว์ มีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งใต้หล้า ใครก็ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเย่ว์เลี่ยงแน่ใจทันทีว่ามู่เถาเยาคือลูกสาวของเธอที่กลับมาเกิดใหม่ หลังจากได้ยินเย่ว์จือกวงเล่าว่าทักษะที่เธอคิดค้นขึ้นเองนั้นคล้ายกับกระบวนท่าของอีกฝ่ายมากเพียงใด
สองแม่ลูกใช้กิ่งไม้แทนดาบในการต่อสู้ ราวกับว่าพวกเธอได้ย้อนกลับไปในชาติที่แล้ว
ในตอนเริ่มต้นดอกท้อเบ่งบานสะพรั่ง หญิงสาวเปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความงามที่น่าหลงใหล ต่อมาเท้างามก้าวผ่านโลหิตที่หลั่งไหลเป็นสายน้ำ เหยียบย่ำกระดูกสีขาวที่กองพะเนินราวกับภูเขา
ตลอดทั้งเส้นทางคมดาบอันตรายไม่เคยว่างเว้น เปลวไฟลุกโชนอาบไปด้วยเลือดและหยาดน้ำตา…
จูู่ๆ มู่เถาเยาก็ร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้
“เสี่ยวเยาเยา หนูต้องเรียนรู้ที่จะลืมอดีต” เย่ว์เลี่ยงกอดลูกสาวของเธอแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาจากดวงตาคู่งาม
“แม่คะ หนูคิดถึงเยี่ยนหัง”
เธอคิดถึงเยี่ยนหังมากจริงๆ
นั่นคือน้องชายที่เธอฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่เขายังตัวน้อยๆ
ตลอดสองชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เถาเยาแสดงสีหน้าที่น่าสงสารเช่นนี้
“หนูต้องรู้ไว้ เยี่ยนหังมีชีวิตที่ดีแล้วและเขาจะคิดถึงหนูเช่นกัน เสี่ยวเยาเยา หนูรู้ไหมว่าอาคิดถึงพวกเธอมากแค่ไหนตอนที่อามาถึงโลกนี้ครั้งแรก”
มู่เถาเยากอดเย่ว์เลี่ยงแน่น ไม่ต้องบอกเธอก็พอจะเดาได้ว่าแม่ของเธอต้องอดทนแค่ไหนกว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้
ทิ้งลูกสาววัยแปดขวบกับลูกชายวัยหนึ่งขวบไว้ในสถานที่ที่กลืนกินผู้คนแบบนั้น ไม่รู้ว่าลูกๆ ตัวน้อยของเธอจะถูกคนอื่นทรมานยังไง…แต่เธอกลับไปไม่ได้ จึงได้แต่เรียนรู้ที่จะปลอบประโลมและปกป้องหัวใจของตัวเอง
“เสี่ยวเยาเยา หนูคือคนที่เคยขึ้นเป็นจักรพรรดินีมาก่อน ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางให้ได้” ถ้าปล่อยวางไม่ได้ เส้นทางที่เหลืออยู่ก็คงมีแต่ความแค้นและความทุกข์
ถ้าเธอสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เธอคงกลับไปนานแล้ว
“หนูรู้ค่ะ หนูแค่คิดถึงเยี่ยนหังมากเกินไปหน่อย”
“เยี่ยนหังอาจเป็นบรรพบุรุษรุ่นที่หนึ่งพันก่อนหน้านี้ของพวกเราก็ได้”
มู่เถาเยาหัวเราะออกมาเบาๆ
“เอาล่ะ พวกเรากลับไปกันได้แล้ว เวลานี้ปู่และย่าของเธอคงตื่นกันหมดแล้ว จำไว้ต่อแต่นี้ไปให้เรียกอาว่าอา เข้าใจนะ”
มู่เถาเยาพยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางเชื่อฟังว่าง่ายเหมือนกับตี้อันเหยี่ยถุงลมน้อยๆ ของคฤหาสน์ตระกูลตี้ที่อยู่ติดกัน
ทั้งสองคนเดินตามกันเข้าไปในวิลล่า ฝีเท้าของทั้งคู่เบาแต่หนักแน่น ไม่ใช่ฝีเท้าที่คนปกติธรรมดาจะเดินตามทันได้ ใช้เวลาสักพักพวกเธอก็กลับไปถึงตึกหลักของวิลล่าตระกูลเย่ว์
ต้องรู้ก่อนว่าเขตเซิ่งซื่อฉางอัน เป็นเขตอสังหาริมทรัพย์ที่หรูหราและมีภูมิทัศน์เมืองที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด หากคำนวณโดยใช้ตึกสูงเป็นฐาน พื้นที่นี้ก็สามารถสร้างอาคารที่รองรับผู้คนได้อย่างน้อยสองแสนคน
แต่นี่คือเขตวิลลาระดับไฮเอนด์ที่สุดในโลก นับประสาอะไรกับคนสองแสนคน แค่หนึ่งหมื่นคนก็เรียกว่าแออัดแล้ว
เนื่องจากที่นี่เป็นวิลล่าที่มีคฤหาสน์ส่วนตัวมากมาย ไม่ต้องพูดถึงวิลล่าของตระกูลเย่ว์ แค่พื้นที่ที่ตระกูลตี้ครอบครองอยู่ตระกูลเดียวก็กินเนื้อที่ไปเกือบครึ่งหนึ่งของเขตเซิ่งซื่อฉางอัน
ดังนั้นไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้นะว่ามู่เถาเยาและเย่ว์เลี่ยงต้องเดินไกลขนาดไหนกว่าจะกลับมาถึงตึกหลัก
แต่ก็เพราะตึกหลักอยู่ไกลนี่แหละ พวกเธอจึงสามารถประลองกันได้อย่างวางใจ
ถึงกระนั้น พวกเธอก็ยังใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียวกว่าจะมาถึงตึกหลัก
ปู่เย่ว์ ย่าเย่ว์ สองพี่น้องตระกูลปา และบอดี้การ์ดทั้งหกคนเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกัน
เมื่อเห็นอาและหลานสาวเดินเข้าประตูมา ชายชราก็อดไม่ได้ถามไปด้วยรอยยิ้มว่า “เย่ว์เลี่ยงและเสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ไปออกกำลังกายตอนเช้ามาด้วยกันเหรอ”
เย่ว์เลี่ยงตอบ “เปล่าค่ะ เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ออกไปเช้ากว่าหนูอีก พวกเราไปเจอกันข้างนอกก็เลยกลับมาพร้อมกัน”
“ปู่ย่ากำลังเตรียมไปออกกำลังกายเหรอคะ”
“ใช่แล้ว คนแก่อย่างพวกเราน่ะยิ่งมาก็ยิ่งนอนน้อยลงทุกที แต่เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์เห็นจะเช้ากว่าพวกเรามากทีเดียว”
ผู้เฒ่าทั้งสองคนชินแล้วกับการที่ลูกสาวตื่นเช้ามาออกกำลังกาย แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลานสาวก็มีกิจวัตรที่คล้ายๆ กันแบบนี้
ริมฝีปากของมู่เถาเยาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “หนูเป็นคนฝึกวรยุทธ์ ลุกขึ้นมาออกกำลังกายตั้งแต่เช้าก็เป็นเรื่องปกติค่ะ”
ปู่เย่ว์พยักหน้า “พี่ใหญ่ของหนูและพี่รองของหนูเองก็เรียนวรยุทธ์กับป้าหนูมาตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาจึงเคยชินกับการตื่นเช้าเหมือนกัน”
เย่ว์เลี่ยงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อคะ แม่คะ ทำไมทั้งสองคนไม่โชว์ชุดหมัดมวยให้เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ดูหน่อยล่ะ เธอเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธ์ที่แม้แต่อากวงก็ยังสู้เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ไม่ได้”
ย่าเย่ว์พูดขึ้นทันทีว่า “หลานสาวตัวน้อยของย่าคือคนเก่งที่หนึ่งในโลกนี้จริงๆ!”
ใครๆ ก็รู้ว่าทั้งเผ่าหลานชายคนที่สองของเธอมีพรสวรรค์ในด้านการฝึกวรยุทธ์มากที่สุด และเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดเป็นรองเพียงเย่ว์เลี่ยงเท่านั้น แต่นี่หลานสาวตัวน้อยของเธอกลับสามารถบดขยี้หลานชายคนรองได้ ไม่ใช่ว่าเหมาะกับคำชมที่ว่าเก่งเป็นที่หนึ่งในโลกจริงๆ เหรอ
ปู่เย่ว์ไม่ยอมน้อยหน้า “หลานสาวของปู่กตัญญูและจิตใจดีที่สุดในโลก!”
เพิ่งจะพบหน้ากันครั้งแรกเมื่อคืน เธอก็จดใบสั่งยาให้ผู้เฒ่าทั้งสองต้มแช่ตัวเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ไม่ได้มีความคับแค้นใจและอาฆาตแค้นที่ถูกพวกเขาทำเธอสูญหายไปตลอดสิบแปดปี นี่ไม่เรียกว่ากตัญญูและจิตใจดีที่สุดในโลกจะให้เรียกว่าอะไรได้อีก!
ย่าเย่ว์ “…”
ปู่เย่ว์ “…”
มู่เถาเยา “…”
มาแล้วๆ! คำชมที่ไม่รู้จักจบสิ้นพุ่งเข้ามาหาเธออีกแล้ว!
นับตั้งแต่ที่เธอเริ่มติดต่อกับคนตระกูลเย่ว์ เธอก็ได้ยินคำชมที่โอเวอร์ทุกรูปแบบทุกประเภท!
เย่ว์เลี่ยงหัวเราะคิกคักและเอ่ยเตือนผู้เฒ่าทั้งสองคนว่า “พ่อคะ แม่คะ อีกเดี๋ยวเรายังต้องไปทักทายที่บ้านตระกูลตี้อยู่นะ แน่ใจนะคะว่าจะเอาแต่ชมยัยหนูไม่รู้จักจบสิ้นแบบนี้”
ปู่เย่ว์หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
ย่าเย่ว์ “ถ้างั้นไว้เราค่อยแสดงหมัดมวยให้เสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ดูในวันอื่น พวกเสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ทั้งสองคนขึ้นไปอาบน้ำที่ชั้นบนก่อนเถอะ เราจะไปเยี่ยมคฤหาสน์ตระกูลตี้หลังทานมื้อเช้าเสร็จ”
เย่ว์เลี่ยงพยักหน้าและดึงมู่เถาเยาให้ขึ้นไปชั้นบนด้วยกัน
ทั้งสองแยกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องส่วนตัว
หลังจากกลับลงมาที่ชั้นล่าง กลิ่นหอมของข้าวต้มที่เป็นมื้ออาหารเช้าก็ลอยอบอวลไปทั่วทั้งห้องทานอาหาร
อวิ๋นไป๋เดินเข้าประตูมาในเวลานี้พอดี
“น้าเล็กอวิ๋น ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะคะ”
“มากินข้าวเช้ากับเย่ว์เลี่ยง”
มู่เถาเยา “…” เยี่ยม! งั้นคนที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดไม่ต้องกินกันแล้วใช่ไหม
เย่ว์เลี่ยงถลึงตาจ้องไปที่อวิ๋นไป๋
เมื่อคืนนี้ลูกสาวเธอเพิ่งบอกว่าอยากได้น้องชายที่เหมือนกับเยี่ยนหัง เช้านี้ยังคิดถึงเยี่ยนหังมากจนร้องไห้ออกมา…
ตอนนี้พอได้เห็นอวิ๋นไป๋ จู่ๆ เย่ว์เลี่ยงก็รู้สึกโกรธจนแทบอยากจะกระโดดไปตะกุยหน้าเขาหลายๆ รอบ
เพราะไม่อาจระบายอารมณ์กับลูกสาวคนดีได้ เธอจึงต้องเปลี่ยนเป้าในการระบายความโกรธ
อวิ๋นไป๋ที่จู่ๆ ก็ถูกจ้องรู้สึกมึนงงไปหมด
“เย่ว์เลี่ยง เธอถึงวัยประจำเดือนหมดแล้วเหรอ” เมื่อวานยังเห็นดีๆ อยู่เลย ไหงผ่านไปแค่คืนเดียวจู่ๆ ก็โกรธเขาซะงั้น
อุ๊บ…
มู่เถาเยาอดไม่ได้หัวเราะออกมา
เย่ว์เลี่ยง “…”
เจ้าโง่นี่ เสี่ยวเยาเยาของเธอทำไมถึงได้ชอบเขามากขนาดนั้นนะ
“เย่ว์เลี่ยง เธอนั่งก่อนสักครู่ เดี๋ยวผมไปชงน้ำขิงใส่น้ำตาลทรายแดงมาให้” อวิ๋นไป๋พูดก่อนจะเดินจากไป
เย่ว์เลี่ยงตะโกนเรียกหยุดเขาด้วยน้ำเสียงสูงปรี้ด “หยุดอยู่ตรงนั้น!”
“เย่ว์เลี่ยง รู้หรือเปล่าว่าโกรธมากๆ ในช่วงที่ประจำเดือนหมดเท่ากับฆ่าตัวตาย”
มู่เถาเยายิ้มกว้าง ดวงตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวงดงาม
อวิ๋นไป๋กระวนกระวายขึ้นมาแล้ว “หลานสาวตัวน้อย เธอเป็นหมอ ช่วยเกลี้ยกล่อมอาเธอหน่อยสิว่าอย่าโกรธเลย”
เย่ว์เลี่ยงยังคงถลึงตาจ้องเขาไม่หยุด “พูดบ้าอะไรของคุณ ฉันไม่ได้ประจำเดือนหมด แล้วก็ไม่ได้โกรธด้วย”
ประจำเดือนหมดหมายถึงอะไร ผู้ชายตัวโตอย่างเขาควรพูดออกมาเหรอ
“ไม่เหรอ แต่ผมสัมผัสได้ว่าคุณอารมณ์ไม่ดีนะ”
เย่ว์เลี่ยง “…” ปฏิกิริยาของเธอดูจะเกินไปหน่อยจริงๆ
มู่เถาเยารู้ว่าที่น้าเล็กอวิ๋นถูกอาของเธอโกรธใส่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นเป็นเพราะคำพูดเมื่อคืนของตัวเอง อาเลยเอาความโกรธไปลงที่น้าเล็กแทน มู่เถาเยาช่วยพูดแทนเขาไปว่า “น้าเล็กอวิ๋นคะ รบกวนน้าเล็กไปดูที่ห้องครัวให้หน่อยได้ไหมว่าข้าวเช้าทำเสร็จหมดหรือยัง ฉันกับอาจะได้ยกไปเสิร์ฟปู่กับย่า”
แน่นอนว่าปู่กับย่าเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ถ้าจะหาทางลงให้น้าเล็กอวิ๋นไม่ให้เขาถูกโจมตีด้วยความโกรธที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของอาก็มีแต่ทางนี้ทางเดียว
“ได้สิ งั้นน้าเล็กไปดูที่ครัวก่อนนะ หลานสาวอย่าลืมช่วยเกลี้ยกล่อมเย่ว์เลี่ยงล่ะ”
หลังจากที่อวิ๋นไป๋จากไป มู่เถาเยาก็หันไปยิ้มให้เย่ว์เลี่ยงอย่างมีเลศนัย
“ถ้าบอกว่าอาไม่มีความรู้สึกให้กับน้าเล็กอวิ๋นเลย หนูไม่เชื่อหรอกนะคะ”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก จะรู้อะไรกัน”
มู่เถาเยาชูนิ้วข้างหนึ่งเป็นเลขสาม ส่วนอีกข้างเป็นเลขหก บอกกับเย่ว์เลี่ยงว่าเธออายุสามสิบหกปีแล้ว อายุน้อยกว่าเย่ว์เลี่ยงในภพปัจจุบันเพียงสี่ปีเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เด็ก!
เย่ว์เลี่ยงมองมือของเธอที่ทำเป็นรูปตัวเลขด้วยสายตาดุๆ
“เธอเนี่ยนะ ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว อีกหน่อยหลังจากกลับเข้าตระกูลเย่ว์ แค่ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามอำเภอใจก็พอ”
มู่เถาเยาผายมือเล็กๆ และยักไหล่เบาๆ “เอางั้นก็ได้ค่ะ”