อีกอย่างเฉินจื่อโร่วเอง ราวกับว่าพบเจอศัตรูอีกคนหนึ่งเข้าให้แล้ว ดังนั้น ในท้ายที่สุดแล้วหร่วนฉีก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของเธอไปได้ ร่างทั้งร่างถูกสาดด้วยน้ำผลไม้ จึงทำได้เพียงแค่ต้องหลบฉากออกไปก่อนเท่านั้น
หลานเสี่ยวถางเห็นหร่วนฉีเดินออกไปแล้ว ดังนั้น ก็เลยใช้ข้ออ้างว่าเจ็บเท้า หลังจากนั้นถึงจากไปพร้อมกับหร่วนฉี
เธอพึ่งจะกลับไปถึงห้องพัก ก็ได้รับข้อความจากสือมูเฉินที่ส่งมาว่า “เสี่ยวถางครับ ห้อง 102 อย่าลืมมาหานะ”
ใบหน้าของหลานเสี่ยวถางเห่อร้อนขึ้น จะว่าไป เขาที่ส่งข้อความมาหากันแบบนี้ ราวกับว่าทั้งสองคนกำลังลักลอบคบชู้กันอยู่เลยก็ไม่ปาน แต่ทว่า พวกเราทั้งสองคนก็เผชิญหน้ากับกฎหมายที่รับรองว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วแท้ ๆ นี่นา…….
เธอจัดการเก็บข้าวเก็บของอยู่ครู่หนึ่งแล้วกำลังเตรียมตัวที่จะออกไป สือมูเฉินก็โทรศัพท์เข้ามาหาพอดี “เสี่ยวถาง เท้ายังเจ็บอยู่หรือเปล่าครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วผมไปหาคุณดีไหม?”
เมื่อได้ยินว่าเขากำลังเป็นห่วงเธอ ริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางจึงยกยิ้มขึ้นมาในทันที “ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อครู่นี้ก็เป็นแค่การแสดงก็เท่านั้นเอง อันที่จริงแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยค่ะ”
“นึกไม่ถึงเลยนะครับเนี่ยว่าภรรยาของผมจะเป็นนักแสดงชั้นนำกันเขาด้วยแบบนี้” น้ำเสียงทุ้มต่ำของสือมูเฉินดังลอยเข้ามาให้ได้ยิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หลานเสี่ยวถางกลับรู้สึกว่ามันมีความเย้าแหย่อยู่เล็กน้อย
หลังจากนั้นก็ได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมาต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วตอนที่คุณกับผมอยู่ด้วยกัน คุณก็แสดงด้วยหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ค่ะ ไม่นะคะ!” หลานเสี่ยวถางรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “อีกอย่างคุณก็ออกจะเฉลียวฉลาดมากปานนั้น ฉันจะกล้าทำได้ที่ไหนกันละคะ?”
สือมูเฉินแทบจะยกยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ เลยอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “แต่ว่านะครับ วันนี้คุณแสดงละครได้ไม่เลวเลยทีเดียว รีบมาสิครับ สามีจะให้รางวัล”
เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินคำว่า ‘รางวัล’ ทันใดนั้นก็หนีบเรียวขาเข้าหากันโดยอัตโนมัติทันที
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่า ยังไม่ทันที่จะได้ไปเลย แต่ทำไมสองขากลับอ่อนแรงแล้วล่ะเนี่ย?
แต่ทว่า จะไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยสิ……
สิ่งที่ทำให้เธอกลัดกลุ้มในมากเป็นที่สุดเลยนั่นก็คือ เธอไปที่คฤหาสน์ของสือมูเฉิน ก็ยังคงต้องไปอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ดี จะให้ว่าไป การปกปิดการแต่งงานเดิมมันยากมากขนาดนี้เชียวหรือ? คู่รักนักดารานักแสดงจะรู้สึกแบบนี้กันหรือเปล่านะ?
ในตอนที่หลานเสี่ยวถางออกมาจากห้องโถงใหญ่นั้นเอง เฉินจื่อโร่วกลับยกแก้วเหล้ามา แล้วเดินไปที่ทางด้านข้างของหันจื่ออี้
“ท่านประธานหันคะ” เธอกดเสียงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “อันที่จริงแล้วฉันกับเสี่ยวถางรู้จักกันมาก็นานไม่น้อยแล้วนะคะ!”
หันจื่ออี้มองออกมาตั้งนานแล้วว่าเฉินจื่อโร่วกับสือเพ่ยหลินมีความสัมพันธ์แบบลับ ๆ มาตั้งแต่แรกแล้ว เขาหรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นคล้ายจะว่าจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะหัวเราะก็ไม่หัวเราะว่า “ทำไมครับ คุณเฉินคุมคนปัจจุบันของคุณไม่อยู่ ก็เลยอยากที่จะให้ผมออกตัวจัดการเรื่องให้แทนหรือไงครับ?”
เฉินจื่อโร่วคิดไม่ถึงเลยว่าภายในระยะเวลาอันแสนสั้นหันจื่ออี้ก็มองออกได้อย่างรวดเร็วปานนี้ อีกอย่างยังพูดจาแทงใจดำอย่างไม่รักษาน้ำใจเลยแม้แต่นิดเดียว
แผ่นอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงอยู่สองสามครั้ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “ท่านประธานหัน ฉันทราบนะคะว่าคุณชอบหลานเสี่ยวถาง ฉันก็ชอบพี่เพ่ยหลินเหมือนกันค่ะ ดังนั้นแล้วคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ก็นับว่าเป็นเพื่อนกันนี่คะ ไม่อย่างนั้น พวกเรามาร่วมมือกันหน่อยเป็นไงคะ?”
หันจื่ออี้ยกแก้มเหล้าดื่มขึ้นจนหมดอย่างเชื่องช้า หลังจากนั้นจึงหันสายตาไปมองลงบนเรือนร่างของเฉินจื่อโร่ว ใบหน้าไม่ได้มีสีหน้าอะไรมากนัก แต่ทว่านัยน์ตากลับไม่ปกปิดความเหี้ยมโหดเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว “คุณเฉินครับ ผมไม่ทราบหรอกนะครับว่าคุณไปเอาความกล้านี่มาจากที่ไหน แต่ไหนแต่ไรมาผมเลือกคบเพื่อนก็มีหลักการของตนเองอยู่แล้ว ต้องถูกชะตากัน อีกทั้งยังต้องสนุกสนานเพลิดเพลินไปด้วยกัน”
พูดไป สายตาของเขาก็กวาดไปทั่วทั้งเรือนร่างของเฉินจื่อโร่วขึ้นลงอีกหนึ่งรอบ หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่าทางของคุณเฉินแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของผู้ชายอย่างผมที่มีต่อผู้หญิง หรือว่าจะเป็นมาตรฐานความงามของหญิงสาวที่ผมตั้งเอาไว้ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่ถูกชะตาครับ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยิ่งไม่นับว่าเป็นการเพลิดเพลินที่กล่าวเอาไว้อีกด้วย ทำไมผมจะต้องลดเกียรติของตนเอง แล้วไปทำสัญญากับคุณด้วยหรือครับ?”
ไม่เคยนึกว่าก่อนเลยว่าจะถูกทำให้รู้สึกอับอายขายขี้หน้ามากขนาดนี้ ร่างทั้งร่างของเฉินจื่อโร่วสั่นเกร็ง ตอนนี้สีหน้าบนใบหน้าควบคุมต่อไปไม่ได้แล้ว อีกนิดเดียวก็แทบจะพุ่งเข้าไปมีเรื่องมีราวอยู่แล้ว
หันจื่ออี้พูดไปพลางลุกขึ้นยืนพลาง ก่อนจะเอ่ยว่า “ผมต้องรีบไปล้างหน้าบ้วนปากแล้วล่ะครับ ได้พูดคุยกับคุณแบบนี้ รู้สึกว่าตัวเองสกปรกไม่หมดแล้ว!”
เฉินจื่อโร่วถูกคำพูดของเขาทำให้บันดาลโทสะจนแทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนกายไปไหนได้เลย ตามต่อมาด้วย ในตอนที่หันจื่ออี้เดินผ่านไปที่ด้านข้างของเธอ ขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้นหลานส่วน หลังจากนั้นจึงเอ่ยเสียงต่ำ ๆ ขึ้นมาว่า “ทราบไหมครับว่าทำไมสือเพ่ยหลินที่หย่าแล้วแต่กลับคิดถึงเสี่ยวถางอยู่ทุกวี่ทุกวันน่ะ? เป็นเพราะว่าแฟนคนปัจจุบันของเขานั้น แทนเสี่ยวถางไม่ได้อย่างไรล่ะ!”
“คุณ——” ท้ายที่สุดแล้วเฉินจื่อโร่วก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตนเองได้แล้ว ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกหันจื่ออี้ขึ้นมาเสียงดัง
แต่ทว่า เขากลับไม่ได้หมุนตัวไปไหนเลย อีกทั้งยังสาวเท้ายาวก้าวออกไปเสียแล้ว
ตั้งแต่ที่หลานเสี่ยวถางออกมาจากห้องโถงใหญ่ ก็เดินมาตามทางอย่างเงียบเฉียบมาโดยตลอด
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อถือว่าบรรยากาศรอบกายไม่มีใครแล้ว เธอจึงผ่อนลมหายใจออก ก่อนจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า สวรรค์ช่างไร้เมตตาเสียจริง ในตอนที่เธอกำลังจะเดินเข้าไปใกล้กับคฤหาสน์นั้นเอง จู่ ๆ ก็มีคนเรียกเธอให้หยุดเอาไว้เสียได้
หลานเสี่ยวถางหมุนตัวกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นจึงมองเห็นหันจื่ออี้ที่กำลังเดินมุ่งหน้าตรงเข้ามาหาในที่ที่เธอยืนอยู่
เขาสบตามองเธอ นัยน์ตาสั่นไหว ที่มากไปยิ่งกว่านั้นคือกำลังฉายประกายราวกับว่าได้รับบาดเจ็บมากกว่า “เสี่ยวถาง เธอจะไปหาสือเพ่ยหลินอย่างนั้นหรือ? สรุปแล้วเขามีอะไรดีกันแน่?!”
เมื่อถูกจับได้แบบนี้แล้ว เดิมหลานเสี่ยวถางก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี
เป็นเพราะว่า โอกาสที่สือมูเฉินจะป่าวประกาศนั้นมันยังมาไม่ถึง ถ้าหากว่าตอนนี้เธอเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของเธอกับสือมูเฉินออกมา ก็เท่ากับว่าเป็นการเปิดเผยอะไรบางอย่าง
แต่ทว่า……
เมื่อเห็นหลานเสี่ยวถางไม่เอ่ยอะไร หันจื่ออี้จึงเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธออย่างรวดเร็ว คิ้วเรียวของเขาขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดประกายโทสะเล็ก ๆ ขึ้นมาว่า “เสี่ยวถางครับ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าในสองปีที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอกันแน่ แต่ทว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับผู้หญิงที่นามสกุลเฉินคนนั้น เธอควรที่จะรับรู้เอาไว้นะ ทำไมถึงไม่รักตัวเองมากขนาดนี้กันล่ะ?”
“ฉันไม่ได้……” หลานเสี่ยวถางขบเม้มริมฝีปาก “ฉันไม่ได้จะไปหาสือเพ่ยหลินนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วที่เธอมา ถ้าว่าจะมาหา……ฉันหรือ?” หันจื่ออี้สบตามองหลานเสี่ยวถางอย่างไม่เชื่อสายตา นัยน์ตาเป็นประกายแวววับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“ฉันไม่ใช่นะ ฉันก็แค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้นเองค่ะ” หลานเสี่ยวถางรับรู้ว่าเหตุผลนี้มันช่างห่วงแตกสิ้นดี แต่ทว่า เธอไม่สามารถเสาะหาเหตุผลอื่นได้แล้วจริง ๆ
นัยน์ตาเป็นประกายของหันจื่ออี้ล็อกแน่น ใบหน้าของเขาเผยความรู้สึกผิดหวังออกมาให้เห็นอยู่เล็กน้อย “เสี่ยวถาง อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้เลย ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาฉันจากไปโดยไม่ลาจนทำร้ายเธอเข้าอย่างจัง แต่ทว่า ฉันจะนำเอาเวลาในอนาคตมาประกันเป็นหลักฐานให้เอง นำมาเติมเต็มให้แทน ดังนั้น ให้โอกาสฉันอีกครั้งหนึ่งจะได้ไหม?”
“ฉันทำไม่ได้จริง ๆ ค่ะ……” หลานเสี่ยวถางกัดริมฝีปากก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณไม่ต้องมาหาฉันอีกต่อไปแล้วนะคะ ตอนนี้ฉันมีคนที่ชอบแล้ว”
เมื่อหันจื่ออี้ได้ยินเธอเอ่ยออกมาแล้ว จึงก้าวถอยหลังออกไปสองก้าว หลังจากนั้นเขาก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันไม่เชื่อหรอกนะ เสี่ยวถาง เธอแกล้งจงใจตบตาฉันใช่ไหม?”
“ที่ฉันพูดไปเป็นความจริงค่ะ” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้นมาว่า “ตอนนี้ฉันไม่สะดวกที่จะมาอธิบายให้คุณฟัง แต่ทว่า ฉันไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับคุณได้จริง ๆ ค่ะ ดังนั้นแล้ว คุณอย่ามาเสียเวลากันฉันเลยนะคะ”
“เสี่ยวถาง ไม่ไปหาสือเพ่ยหลินอีกจะได้ไหม เขาไม่ใช่คนดีที่เธอจะฝากฝังชีวิตเอาไว้ได้เลยนะ” หันจื่ออี้เอ่ยขึ้น ก่อนจะคว้าข้อมือของหลานเสี่ยวถางมาจับเอาไว้ “ในตอนนี้ทุกอย่างของฉันกลับมาเข้าที่เข้าทางหมดแล้วนะ เรามาเริ่มกันใหม่เถอะ”
หลานเสี่ยวถางคิดอยากที่จะดึงมือของตนเองออกมา แต่ทว่า หันจื่ออี้กลับจับและกระชับมันแน่นขึ้น เธอดังออกมาไม่ออก รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
เป็นในตอนนั้นเอง มีเสียงของผู้ชายเสียงหนึ่งดังลอยขึ้นมา ภายในท้องฟ้ายามค่ำคืน น้ำเสียงนั่นติดความกดดันและดุดันขึ้นอยู่หลายส่วน “ปล่อยเธอนะ!”
หลานเสี่ยวถางได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคย ก่อนจะเห็นสือมูเฉินที่กำลังเดินเข้ามาที่นี่
สือมูเฉินยืนอยู่ทางด้านหน้าของทั้งสองคน หลังจากนั้น ก็หันไปเอ่ยกับหันจื่ออี้ว่า “ท่านประธานหัน จับข้อมือของเสี่ยวถางแบบนี้ ไม่เหมาะสมมั้งครับ?”
“ท่านประธานสืองั้นหรือ?” หันจื่ออี้สบตามองสือมูเฉินด้วยความสับสนงุนงงเล็กน้อย มือของเขาอดไม่ได้ที่จะคลายแรงออกลง หลานเสี่ยวถางถึงถือโอกาสนี้ดึงมือของตนเองกลับมาในทันที
หันจื่ออี้เอ่ยขึ้นมาว่า “บังเอิญจังนะครับ ทำไมท่านประธานสือยังออกมาเดินทอดน่องตอนกลางคืนแบบนี้ได้ด้วยเหมือนกันเลยล่ะครับ?”
“นั่นสิครับ แล้วก็บังเอิญได้ทันเห็นท่านประธานหันจับมือของภรรยาของผมเอาไว้ไม่ปล่อยด้วย” สือมูเฉินเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “เสี่ยวถาง มานี่มา”
หลานเสี่ยวถางนึกไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ สือมูเฉินจะเปิดเผยสถานะของพวกเขาทั้งสองคนออกมาตรง ๆ เช่นนี้ หัวใจของเธอสั่นไหว เชื่อได้ยินเสียงเรียกจากสือมูเฉิน เธอจึงเดินเข้าไปที่ด้านข้างของเขาตามสัญญาติญาณ
เขาถือโอกาสยกมือขึ้นไปโอบล้อมเข้าที่หัวไหล่ของเธอเอาไว้ เป็นเพราะว่าเขารูปร่างสูงใหญ่ ดังนั้น ดูจากท่าทางแบบนี้แล้วราวกับว่าเธอกำลังจมอยู่ในอ้อมอกของเขาเลย
“ท่านประธานสือ……” หันจื่ออี้รู้สึกว่าตนเองอาจจะต้องฟังผิดดูผิดไปแล้วแน่ ๆ เขาตะลึงอยู่นาน หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณกับเสี่ยวถาง……พวกคุณมันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ทะเบียนสมรสของพวกเรา ท่านประธานหันก็มีกะจิตกะใจอยากที่จะดูด้วยอย่างนั้นหรือครับ?” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ว่านะทะเบียนสมรสไม่ได้พกติดตัวมาด้วยกัน ถ้าหากท่านประธานหันอยากที่จะดูจริง ๆ แล้วละก็ ไม่ดูก็จะรู้สึกติดใจไม่หายสินะครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเรากลับเข้าในตัวเมืองแล้วจะหาโอกาสเหมาะ ๆ แล้วนำไปให้ได้ดูแล้วกันนะครับ”
หลานเสี่ยวถางถูกคำพูดของสือเพ่ยหลินพูดจนจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะร้องก็ร้องไห้ไม่ออกอยู่แล้ว ในช่วงเวลานั้นเอง รู้สึกว่าสือมูเฉินทั้งชั่วร้ายทั้งไร้สาระ ในช่วงเวลาที่ตกอยู่ในภวังค์นั้นเอง เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนจะเพิ่มแรงที่มือในการโอบกอดเข้าที่หัวไหล่ของเธอเพิ่มขึ้นไปหลานส่วน เพื่อที่จะดึงสติของเธอให้กลับคืนมา
“เสี่ยวถางครับ เธอไม่ได้แต่งงานกับสือเพ่ยหลินแล้วอย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงเปลี่ยนไปเป็นคุณอาของเขากันได้ล่ะ……” นัยน์ตาของหันจื่ออี้เผยความเจ็บปวดออกมา “เสี่ยวถาง เป็นเขาที่บีบบังคับเธอหรือเปล่า?”
หลานเสี่ยวถางสบตามองท่าทางของหันจื่ออี้ในตอนนี้ ก่อนจะรู้สึกรำคาญเล็กน้อย ไม่เพียงเท่านั้น เธอเข้าในแล้วว่านี้คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้อธิบายแล้ว
ดังนั้น เธอเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทางการว่า “ท่านประธานหันคะ อย่างที่ก่อนหน้านี้ที่ฉันเคยพูดกับคุณไปเลยค่ะ ฉันแต่งงานแล้ว สือมูเฉินเป็นสามีของฉันค่ะ ตอนนี้พวกเราจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว ส่วนสือเพ่ยหลินนั้น ตอนนี้ฉันกับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว”
สือมูเฉินแทบจะรู้สึกพออกพอใจกับคำตอบของหลานเสี่ยวถางเป็นอย่างมาก นัยน์ตาสุขุมนุ่มลึกของเขาฉายประกายความอบอุ่นออกมาหลานส่วน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหันจื่ออี้ว่า “เอาล่ะครับ เราสองสามีภรรยาขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ ถ้าหากท่านประธานหันอยากที่จะพูดคุยแล้วละก็ สามารถนัดวันเวลาอื่นมาได้เลยนะครับ”
พูดจบ สือมูเฉินก็เดินควงแขนหลานเสี่ยวถาง แล้วสาวเท้ายาวก้าวเข้าไปในคฤหาสน์
หันจื่ออี้สบตามองแสงจันทร์ ร่างของทั้งสองคนค่อย ๆ เดินและหายไปอย่างเชื่องช้า เป็นเพราะว่าออกแรง บนผืนทรายจึงมีรอยเท้าของเขาที่กดลงอยู่ลึกปรากฏให้เห็น
ดังนั้น เมื่อครู่นี้ที่เขาต่อสายหาเธออยู่ครั้งสองครั้งนั้น เธอบอกมาโดยตลอดว่าไม่สะดวกคุย หรือจะเป็นเพราะว่ากำลังอยู่กับสือมูเฉินกันนะ? พวกเขาแต่งงานกันแล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
หันจื่ออี้นั่งลงบนผืนทรายอย่างคนหมดแรง เขาคว้าเม็ดทรายละเอียดขึ้นมากองหนึ่ง รู้สึกว่าเม็ดทรายมันเข้าไประหว่างนิ้วอย่างช้า ๆ จู่ ๆ หายในหัวใจก็ลืมเลือนเป้าหมายไปเลยในชั่วขณะ
หรือว่า เขาจะพลาดโอกาสไปอีกครั้งแล้วกันนะ?
เมื่อพลาดเด็กสายที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไป เขาในตอนนั้นถูกพ่อดุด่า และตบตีจนเลือดไหลไม่ยอมหยุด เด็กสาวที่ไม่ได้รู้จักกันเลยแม้แต่น้อยกลับช่วยเขารักษาและจัดการบาดแผลให้คนนั้นหรือ? แสงดวงเดียวที่เขาอยากที่จะพึ่งพิงในยามมืดมิดดวงนั้นน่ะหรือ?
เขาไม่รู้ว่านั่งอยู่ที่ตรงนั้นมานานมากแค่ไหนแล้ว ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความคิดความอ่านก็ค่อย ๆ เริ่มกลับมาชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ทำไมสือมูเฉินถึงต้องแต่งงานกับหลานเสี่ยวถางกันนะ?
ถึงแม้ว่าฐานะของสือมูเฉินจะสู้สือเพ่ยหลินในบริษัทไม่ได้ แต่ทว่า ไม่ว่าจะจากภายนอกหรือภายในก็ตาม แทบจะบอกว่าอยากได้ผู้หญิงแบบไหนก็จะได้ผู้หญิงแบบนั้น แต่ทำไมถึงอยากได้คนที่เคยหย่ามาแล้ว อีกทั้งยังเป็นภรรยาคนเก่าของหลานชายแท้ ๆ ของตนเองอีก ตนเองที่ยังไม่แต่งงานแล้วดันมาแต่งงานกับผู้หญิงที่ประหนึ่งน้องสาวของเขาเนี่ยนะ?
เมื่อคิดมาได้ถึงตรงนี้แล้ว หันจื่ออี้รู้สึกเพียงแค่ว่ามีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาทั่วร่าง
เขาแต่งงานกับหลานเสี่ยวถางต้องมีแผนอะไรแน่ ๆ! เขาจะต้องตามหามันให้จงได้!
ทางฝั่งนั้น สือมูเฉินพาหลานเสี่ยวถางเข้ามาในห้องพักแล้ว หลานเสี่ยวถางกำลังอยากที่จะเอ่ยถามเขาว่าทำไมถึงเอ่ยเรื่องที่พวกเขาแต่งงานกันออกมา แต่สือมูเฉินกลับลากเธอเข้าไปในห้องอาบน้ำเสียก่อนแล้ว