บทที่ 54 ทำไมถึง,kแต่งงานกับผู้หญิงที่ผ่านแต่งงานมาแล้วอย่างฉันกันละคะ

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

สือมูเฉินเปิดก๊อกน้ำ ก่อนจะดึงข้อมือของหลานเสี่ยวถางไปรองเอาไว้ที่ทางด้านใต้ของก๊อก ใช้สบู่เหลวล้างทำความสะอาดอย่างพิถีพิถัน

หลานเสี่ยวถางเบิกตากว้าง นี่หรือว่าเขาจะล้างร่องรอยของหันจื่ออี้ออกไปหรือเปล่านะ?

ภายใต้แสง สือมูเฉินหลุบตาลงต่ำ เงาของคิ้วเรียวยาวทอดตัวผ่านทาบทับลงมาปิดใต้ดวงตาเล็กน้อย

ท่าทางของเขาดูจริงจังเป็นอย่างมาก ราวกับว่ากำลังทำเรื่องราวบางอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ๆ อยู่เลย ทันใดนั้นเองนัยน์ตาสุกสกาวก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง

จนกระทั่ง ข้อมือของหลานเสี่ยวถางถูกเขาล้างทำความสะอาดแล้วถึงสองรอบ เขาถึงจะหยิบผ้าขนหนูที่อยู่ทางด้านข้างมาเช็ดไม้เช็ดมือเธอให้สะอาด ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างพึงพอใจขึ้นมาว่า “ตอนนี้ก็ไม่มีกลิ่นที่ไม่รู้สึกดีแล้วล่ะนะ”

หลานเสี่ยวถางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เล็กน้อย “มูเฉิน เมื่อก่อนฉันไม่รู้หรอกนะคะ ว่าคุณจะเป็นบ้าความสะอาดหนักจนถึงขนาดนี้”

จะว่าไปแล้ว ในตอนที่เขาแต่งงานกับเธอ เขาก็ไม่ได้รู้นี่ว่าเธอมีอะไรเกิดขึ้นกับสือเพ่ยหลินหรือเปล่า ในตอนนั้น หรือว่าเขาจะไม่ถือสากันนะ?

“มารู้เอาตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะครับ” สือมูเฉินสบตามองเธอ “ทะเบียนสมรสก็จดกันแล้วนี่เนอะ”

หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมคุณถึงแต่งงานกับผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานอย่างฉันแล้วกันละคะ?”

“เมื่อก่อนก็ไม่ได้บอกไปแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าทำความดีน่ะ” สือมูเฉินพูดพลางดึงหลานเสี่ยวถางออกมาจากห้องน้ำพลาง เมื่อมาถึงที่โซฟานุ่มนิ่มที่ห้องรับแขกแล้ว หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องราวของเมื่อก่อนนั้นผมไม่สนใจ ในอนาคตนี้ต่อไป คุณเป็นของผมได้แค่คนเดียวเท่านั้น”

เธอสบตามองนัยน์ตาเคร่งขรึมของเขา ก่อนจะอดที่จะถามออกมาไม่ได้ว่า “เมื่อก่อนมองไม่ออก ตอนนี้ถึงพึ่งจะมารู้ ว่าคุณเนี่ยมีความคิดชายเป็นใหญ่เหมือนกันนะคะเนี่ย”

สือมูเฉินกดเธอให้นั่งลงบนโซฟา “รู้แล้วก็ดีครับ หลังจากนี้อยู่ให้ห่างจากนายหันจื่ออี้นั่นหน่อยแล้วกัน สามีของคุณค่อนข้างที่จะหึงง่ายมาก ๆ นะครับ”

การเต้นของหัวใจของหลานเสี่ยวถางเพิ่มขึ้นอยู่หลายส่วน เธอขบเม้มริมฝีปากไปมา “ฉันไม่ได้มีอะไรกับเขาจริง ๆ นะคะ เรื่องนั้นมันก็ผ่านมาตั้งหกปีแล้ว คุณไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกนะคะ”

“วันนี้คุณแสดงออกมาถือว่าดีมากนะครับ” สือมูเฉินพูดไปพลางก่อนจะก้มศีรษะลงไปประทับริมฝีปากเธอไปพลาง “ควรที่จะให้รางวัลได้แล้วล่ะ”

หลานเสี่ยวถางรู้อยู่แล้วถึงความหมายของคำว่ารางวัลของเขา แต่ทว่า ในเมื่อเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าพึ่งจะกินไปกันเมื่อชั่วโมงก่อนนี้เอง ยังคงปวดบวมอยู่เลย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะผลักเขาออกไปเล็กน้อย “รอให้ฉันพักสักประเดี๋ยวหนึ่งจะได้ไหมคะ?”

อีกอย่างในเมื่อรู้แล้วว่าตอนนี้เธอเข้ามาในถ้ำเสือแล้ว หากคิดจะหนีก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย จึงทำได้เพียงแค่ยืดเยื้อเวลาออกไปหน่อยเท่านั้น ให้นานกว่านี้อีกสักหน่อยค่อยถูกกิน

เป็นเพราะว่า ถ้าตอนนี้กินแล้ว ก็รับประกันไม่ได้ว่าตอนที่เขาจะนอนจะถูกกินอีกรอบหรือเปล่านะสิ……

สือมูเฉินเห็นหลานเสี่ยวถางดูเหนื่อยจริง ๆ เขาจึงทำได้เพียงแค่ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัยเล็กน้อยว่า “ทำไมเรี่ยวแรงถึงได้ยังน้อยนิดมากขนาดนี้ล่ะครับ ก็เห็นได้อย่างชัดเจนเลยนี่ว่าในทุกกระบวนการทั้งหมดผมเป็นคนขยับเอง ขอแค่คุณเพลินไปกันมันทั้งหมดก็เพียงพอแล้วล่ะครับ ยังจะเหนื่อยได้อย่างไรอีกเนี่ย? ดูท่าแล้วจำเป็นที่จะต้องสมัครสมาชิกฟิตเน็ตให้คุณสักใบเสียแล้วสิ……”

ภายในหัวใจของหลานเสี่ยวถางระเบิดแตกกระจายออกมาหมดแล้ว ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเรี่ยวแรงของเธอไม่ดีหรอก แต่เป็นเพราะว่าเรี่ยวแรงของเขาดีมากจนเกินไปต่างหากล่ะโอเคหรือยัง?

เมื่อก่อนเขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำมานานมากแล้ว ถ้าอย่างนั้น ในตอนที่เขาไม่ได้ทำเลยช่วงนั้น เขาผ่านมาได้อย่างไรกันนะ?

อีกอย่าง ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาเมื่อก่อนนั้น กันผู้หญิงคนอื่นล่ะ ยกตัวอย่างเช่นหลานเล่อซิน จะเคยทำด้วยกันหรือเปล่านะ?

หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าตอนนี้เธอคิดไปไกลเล็กน้อยแล้ว ก่อนจะตัดและสอดแทรกความคิดความอ่านของตนเองกลับคืนมา

เธอมองออกไปไกล ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “มูเฉิน ตอนกลางคืนคุณต้องทำงานอีกไหมคะ? ถ้าหากว่าไม่ต้องล่ะก็ เราพวกออกไปเดินดูทะเลข้างนอกกันดีไหมคะ?”

“วันนี้ไม่ต้องทำงานแล้วครับ” สือมูเฉินพยักหน้าหงึกหงัก “ไปกันครับ”

พูดไป เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือ เปิดเพลง ก่อนจะคว้าหลานเสี่ยวถางไปนั่งที่เก้าอี้ที่ระเบียงด้านนอก ฟังเพลงไปพลาง พร้อมทั้งชมเงาของพระจันทร์ที่แสนจะเลือนรางในทะเลกว้างไปพลาง

แต่ทว่าในคฤหาสน์หมายเลข 101 ที่อยู่ทางด้านข้างนั้นเอง สือเพ่ยหลินกับเฉินจื่อโร่วกำลังเดินเข้าไปด้วยกัน

วันนี้ถือว่าเฉินจื่อโร่วไม่ราบรื่นเลยทั้งวัน ตกน้ำสือมูเฉินก็ไม่ช่วยคว้าเธอเอาไว้ ตอนเต้นรำก็ถูกสือเพ่ยหลินปฏิเสธ สุดท้ายตามหาหันจื่ออี้ที่ดูท่าแล้วว่าจะมีเป้าหมายร่วมกัน แต่ทว่ากลับถูกทำให้อับอายมากขนาดนั้น

จากที่เห็นดูแล้ว ทั้งสามคนนี้เธอคนเดียวต่อกรด้วยไม่ได้เลย!

เฉินจื่อโร่วเดินไปถึงที่ประตูทางด้านข้างของสือเพ่ยหลิน ก่อนจะเคาะสองสามครั้ง ไม่นานนัก สือเพ่ยหลินก็มาหาแล้ว ที่ช่วงเอวมีผ้าขนหนูผืนหนึ่งพันรอบเอาไว้อยู่ เส้นผมบนศีรษะยังคงมีฟองอยู่เลย เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าพึ่งจะอาบน้ำได้ถึง แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น

“พี่เพ่ยหลินคะ พี่ยังอาบน้ำไม่เสร็จหรือคะ? ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วฉันช่วยพี่ดีไหมคะ?” เฉินจื่อโร่วเอ่ยขึ้นด้วยไมตรีจิต

“อืม” สือเพ่ยหลินค้นพบว่า นับวันเขายิ่งหมดความสนใจในตัวของเฉินจื่อโร่วอย่างเห็นได้ชัดเจนแล้ว ในทันนั้นเอง จึงเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ามีความรู้สึกที่ถดถอยต่อสิ่งต่างเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

เฉินจื่อโร่วเดินตามเขาเข้าไปในห้องน้ำ เดิมเธอก็สวมใส่เพียงแค่บิกินีตัวเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงทำเพียงแค่ถอดผ้าผืนบางออก หยิบฝักบัวขึ้นมา ก่อนจะช่วยสือเพ่ยหลินอาบน้ำอาบท่า

ในเมื่อ สือเพ่ยหลินก็เป็นชายทั้งแท่ง ถึงแม้ว่าความรู้สึกในตอนแรกจะลดลงไปแล้ว แต่ทว่ามือไม้ของเฉินจื่อโร่วกลับลูบไล้ไปด้วยความหมายแฝงบางอย่าง จากแต่ตำแหน่งบริเวณหน้าอกลูบไล้ลงไปจนถึงร่างกายส่วนล่างของเขา ไม่นานนักเขาก็มีปฏิกิริยาตอบกลับมาแล้ว

นัยน์ตาของเฉินจื่อโร่วเป็นประกายครั้งหนึ่ง แต่ทว่ากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ก่อนจะลงมือลูบไล้ต่อไปในเขตสงวนของสือเพ่ยหลินไม่หยุด

ในที่สุดลูกกระเดือกของเขาก็ขยับขึ้นลง หลังจากนั้น ก็ดึงเธอมาทางด้านหน้า หลังจากนั้น จึงประจบจูบลงไป

เฉินจื่อโร่วถูกสือเพ่ยหลินกดเข้ากับกำแพงห้องน้ำ เธอพึ่งจะส่งเสียงต่ำ ๆ ออกมาได้ครั้งหนึ่ง เขาก็คว้าจับเข้าที่ช่วงเอวของเธอ ก่อนจะสอดใส่มันเข้าไป

“พี่เพ่ยหลิน— “เฉินจื่อโร่วเรียกเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนครึ่งหนึ่ง ก่อนจะยกแขนขึ้นคล้องเข้าที่ลำคอของเขา ขยับร่างกายและส่งมอบมันให้กับเขาทั้งหมด

แต่ทว่าสือเพ่ยหลินที่หลังจากได้ยินเสียงเรียกออดอ้อนของเธอแบบนี้แล้วนั้น ทันใดนั้นเอง สีหน้าก็เย็นยะเยือกขึ้น

เขารู้สึกว่าตนเองโดนของเข้าให้แล้ว ตั้งแต่หลังจากที่คืนงานเลี้ยงวันนั้นได้เห็นรอยจูบบนร่างของหลานเสี่ยวถางแล้ว ทุกครั้งที่ขึ้นเตียงกับผู้หญิง ก็มักจะนึกถึงหลานเสี่ยวถาง

ก็เหมือนกับในคราวนี้เลย เมื่อได้ยินเฉินจื่อโร่วเอ่ยพูด เขาก็มีความรู้สึกหงุดหงิดพรั่งพรูออกมาแล้ว เพียงแต่ว่า ความหงุดหงิดงุ่นง่านไม่ได้ดับไฟราคะลงได้ อีกทั้งกลับยังคิดที่จะกระแทกเข้าใส่เธอมากขึ้นไปอีก

เมื่อก่อนหลังจากที่ค้นพบจินตนาการนี้แล้ว เขาก็ยังไปหาเด็กสาวมาด้วยอีกคน แต่ทว่า ในตอนที่กำลังทำกับเด็กสาวนั้น ก็ยังคงนึกถึงหลานเสี่ยวถางอยู่ดี

ความจริงอันนี้ทำให้หัวใจของเขายิ่งหงุดหงิด เขาขยับกายต่ออีกสองสามครั้ง ค้นพบว่าแต่เดิมตนเองไม่สามารถควบคุมผู้หญิงคนนั้นได้เลย ดังนั้นแล้ว ความหงุดหงิดมันออกมาจากร่างกายของเฉินจื่อโร่ว ก่อนจะลากดึงเธอ แล้วเดินไปทางระเบียง

ที่ระเบียงไม่ได้เปิดไฟไว้ ในตอนนี้ แสนจันทร์เลือนราง ขอเพียงแค่เขาไม่ตั้งใจมอง เดิมทีก็มองไม่เห็นรูปร่างของเฉินจื่อโร่วแล้ว แล้วก็จะไม่มีอะไรมาทำลายความรู้สึกของเขาได้อีกต่อไปแล้ว

อีกอย่างหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงเกลียวคลื่น เขาก็ยังคงลอบรู้สึก นางเงือกโฉมงามเดินขึ้นมาจากท้องทะเล แล้วเดินมาหยุดที่ตรงหน้าของเขา

ดังนั้นแล้ว สือเพ่ยหลินจึงกดเฉินจื่อโร่วเอาไว้ที่ระเบียงไม้ หลังจากนั้น จึงสอดใส่เข้าไปจากทางด้านหลังของเธอ

ความรู้สึกแบบนี้มันดีกว่ามากเลยจริง ๆ นัยน์ตาดำขลับของสือเพ่ยหลินแปรเปลี่ยนไปเป็นสีเข้มขึ้น

เป็นในตอนนั้นเอง มีเสียงเลือนรางไม่ชัดเจนดังลอยมา อีกทั้งยังมี เสียงพูดคุยของชายหญิง

เป็นเพราะว่าระยะทางนั้นมันไกลออกไปเล็กน้อย ดังนั้นแล้ว เดิมก็ได้ยินไม่ชัดเจนนัก รู้สึกอย่างบางเบาเพียงแค่ว่าเป็นชายหนึ่งคนหญิงหนึ่งคนเท่านั้น

การเคลื่อนไหวดุเดือดของสือเพ่ยหลินชะงักขึ้น นัยน์ตาดำขลับของเขาหดเกร็งตัวลง ก่อนจะเอ่ยถามเฉินจื่อโร่วในอ้อมกอดขึ้นว่า “เสียงจากที่ไหนน่ะ?”

เฉินจื่อโร่วถูกเขากระทำจนร่างชาไปทาบทั้งร่างแล้ว แทบจะไม่มีความคิดอะไรเลย เมื่อได้ยินคำถามจากสือเพ่ยหลิน เธอจึงตอบกลับมาอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นทางคฤหาสน์ทางด้านข้างนะคะ……”

คฤหาสน์ทางด้านข้าง ชายคนหนึ่งหญิงคนหนึ่ง……

หัวใจของสือเพ่ยหลินหดเกร็งลงอย่างรวดเร็ว หรือว่าจะเป็นหลานเสี่ยวถางกันนะ?

ถ้าอย่างนั้นแล้ว ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน?! หันจื่ออี้หรือว่าสือมูเฉิน?

เขาตั้งใจฟังและจับทางเสียงอย่างตั้งใจ แต่ทว่า บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มมีเสียงเกลียวคลื่นอีกครั้ง เขาฟังได้ไม่ชัดเจนนัก รู้สึกเพียงแค่ว่าเสียงและเสียงบทสนทนานั้นราวกับว่าถูกรบกวนอย่างจงใจ ดังสะท้อนไปมาอยู่ในใบหูของเขาไม่ยอมหยุด

มันคือการยั่วยุ

พวกเขากำลังยั่วยุเขา!

เมื่อสือเพ่ยหลินคิดมาได้จนถึงตอนนี้แล้ว สีหน้าบนใบหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายเล็กน้อยแล้ว นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ ก่อนที่การเคลื่อนไหวของเขาจะกระแทกเข้าใส่เฉินจื่อโร่วด้วยความรุนแรงมากขึ้น

แรกเริ่มเฉินจื่อโร่วที่อยู่ในห้วงของความเสียวซ่าน แต่ทว่าเมื่อดำเนินมาถึงช่วงหลัง รู้สึกเพียงแค่ว่าในทุก ๆ ครั้งของสือเพ่ยหลินราวกับว่ากำลังจะแทงทะลุตัวเธอเลย เธอจึงอดที่จะเริ่มร้องขอออกมาไม่ได้ว่า “พี่เพ่ยหลินคะ เบาหน่อยสิคะ ฉันเจ็บนะ……”

สือเพ่ยหลินไม่ได้ยินเสียงของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เขาสนใจเพียงแค่แท่งเนื้อที่กระแทกใส่เข้าไปของตนเองเพียงอย่างเดียว ภายในก้นบึ้งของหัวใจพรั่งพรูความหงุดหงิดงุ่นง่านออกมาไม่หยุด

ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ หลานเสี่ยวถางที่อยู่ในอ้อมกอดของสือเพ่ยหลินก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที “เหมือนจะมีเสียงบางอย่างเลยนะคะ”

สือมูเฉินได้ยินเธอเอ่ยขึ้นมาดังนั้น ดังนั้นแล้วจึงปิดเพลงในโทรศัพท์มือถือชั่วคราว หลังจากนั้น ก็ตั้งใจฟังเสียงที่ดังขึ้น

“อ๊ะ— “เสียงหวีดร้องเสียงแหลมของผู้หญิงดังลอยขึ้นมา “เจ็บจังค่ะ……”

เป็นเพราะว่าเสียงร้องของเฉินจื่อโร่วดังมากไปนิดหน่อย ดังนั้น สือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางจึงได้ยินเข้าให้แล้ว

หลานเสี่ยวถางเบิกตากว้าง ก่อนจะหันไปมองสือมูเฉิน “ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเรากลับข้างห้องกันดีไหมคะ?”

สือมูเฉินตั้งใจฟังเสียงที่ดังมาอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากจะยกยิ้มขึ้นมาบริเวณมุมปากอย่างมีเลศนัย “ดูท่าแล้วหลานรักของผมก็หาสถานที่โรแมนติกเหมือนกันสินะ”

หลานเสี่ยงถามก็ได้ยินว่ามันน่าจะเป็นเสียงมาจากทางฝั่งของสือเพ่ยหลิน เธอหัวเราะออกมาอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อครู่นี้คงจะเป็นเฉินจื่อโร่วสินะคะ”

ในตอนแรก สือเพ่ยหลินและเฉินจื่อโร่วเพื่อบีบเค้นให้เธอยอมหย่าแล้ว ก็เลยทำกันต่อหน้าเธอ ให้เธอได้ฟังเสียงไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ก็ถือว่าอ่อนโยนมากแล้วล่ะ

ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ เสียงก็ราวกับว่าจะหยุดไปอย่างกะทันหัน หลังจากนั้น ก็มีเสียงร้องแหลมของผู้หญิงดังขึ้นมาว่า “เลือด!”

ที่ระเบียง เฉินจื่อโร่วมองเห็นว่าที่พื้นระเบียงมีเลือดหยดลงมา ก่อนจะตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “พี่เพ่ยหลินคะ ฉันเลือดออกแล้ว……”

สือเพ่ยหลินที่ยังไม่ทันที่จะได้ระบายออกมาก็ถูกขัดจังหวะเสียแล้ว รู้สึกเพียงแค่ว่าร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยความหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เขาเห็นแล้วล่ะ ก่อนจะอดที่จะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ว่า “เธอไอ้นั่นมาหรือเปล่าน่ะ?”

“ฉันรู้สึกว่ามันไม่มานานแล้วนะคะ……” เฉินจื่อโร่วคิดอะไรขึ้นมาได้ จู่ ๆ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปในทันที “พี่เพ่ยหลินคะ หรือว่าฉันจะตั้งครรภ์แล้วคะ?!”

สือเพ่ยหลินถูกเธอทำให้ตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วจะเลือดไหลได้อย่างไรกันน่ะ?”

เฉินจื่อโร่วตกใจจนสีหน้ายิ่งซีดเผือดเข้าไปใหญ่ “แย่แล้วค่ะ ฉันเลือดออกแล้ว หรือว่าจะแท้งกันคะ?”

สือเพ่ยหลินเห็นเธอราวกับว่าท่าทางดูจริงจังเป็นอย่างมาก ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเพิ่มความจริงจังขึ้นออกมาว่า “จะรู้ได้อย่างไรว่าตั้งครรภ์แล้ว?”

เฉินจื่อโร่วคว้าจับเข้าที่ต้นแขนของเขาแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่เพ่ยหลินคะ ตอนที่ฉันออกมาฉันพกที่ตรวจครรภ์มาด้วยค่ะ แต่ว่ามันอยู่ในห้องของฉัน พี่ช่วยไปหยิบให้ฉันหน่อยสิคะ แล้วพวกเรามาตรวจกันดู ดีไหมคะ?”

จู่ ๆ สือเพ่ยหลินก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออกเล็กน้อย เมื่อก่อนเขาเคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าเธอตั้งครรภ์ก็จะแต่งงานกับเธอ แต่ทว่า ตอนนี้เขากลับไม่มีกะจิตกะใจที่จะแต่งกับเธอแล้ว

แต่ทว่า เรื่องตั้งครรภ์เรื่องใหญ่ เรื่องแบบนี้ รีบจัดการให้ชัดเจนจะดีกว่า

เมื่อคิดได้จนถึงตอนนี้แล้ว สือเพ่ยหลินลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยว่า “เอาคีย์การ์ดห้องของเธอมาให้ฉัน ที่ตรวจครรภ์วางเอาไว้ตรงไหนน่ะ ฉันจะไปหยิบมาให้เธอเดี๋ยวนี้เลย”

นัยน์ตาของเฉินจื่อโร่วเป็นประกาย ก่อนจะรีบเอ่ยบอกสถานที่ หลังจากนั้น ก็เดินกลับไปนั่งลงบนโซฟาด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก แล้วก็ไม่กล้าขยับตัวไปไหนอีกเลย

ไม่นานนัก สือเพ่ยหลินกลับมาพร้อมกับที่ตรวจครรภ์ ก่อนจะส่งมันให้กับเฉินจื่อโร่ว “เธอลองไปตรวจดูเถอะ”

เฉินจื่อโร่วเห็นท่าทีเย็นชาของเขา หัวใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา “พี่เพ่ยหลินคะ ถ้าหากว่าฉันตั้งครรภ์แล้ว พี่จะแต่งงานกันฉัน ใช่ไหมคะ?”

หัวใจของสือเพ่ยหลินสับสนงุนงงขึ้นมาในทันที เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างราบเรียบว่า “ไปลองตรวจดูก่อนค่อยว่ากัน”

“พี่เพ่ยหลินคะ— “หยาดน้ำตาของเฉินจื่อโร่วใกล้จะไหลออกมาเต็มทีแล้ว “ฉันมีเพียงแค่พี่คนเดียวนะคะ……”

สือเพ่ยหลินสบตามองท้องฟ้าทางด้านนอก จู่ ๆ ที่ใบหูก็นึกถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ได้ขึ้นมา อีกทั้งยังได้ยินเสียงราวกับว่าสนิทสนมกับของชายหญิงคู่หนึ่ง นัยน์ตาของเขาติดประกายเย็นยะเยือกขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่อดทนขึ้นมาว่า “รู้แล้วน่า ถ้าท้อง ฉันจะแต่งกับเธอเอง”