อินกองลืมตาขึ้น

 

 ภาพที่สลัวเริ่มชัดเจนจนเห็นเป็นเพดาน

 

‘เหมือนเราจะชินกับอาการแบบนี้แล้วสินะ’

 

 อินกองบ่นพึมพำพลางกะพริบตา

 

 เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขาหมดสติทันทีหลังจากต่อสู้ แม้เขาจะหมดสติในทุกครั้งที่ผ่านมา แต่นั่นก็เป็นหลังจากที่เขาจัดการกับรายละเอียดปลีกย่อยจากการต่อสู้เรียบร้อย หรือก็คือหลังจากการสู้รบจบลงอย่างสมบูรณ์

 

‘เราน่าจะสนใจความอึดถึกทนให้มากกว่านี้… ไม่สิปัญหาเกิดจากค่าพลังของเราน้อยไป เราต้องพุ่งไปที่พวกวิชาลมปราณ… ’

 

 สติของอินกองเริ่มกลับมา จนพอทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นข้างร่างกาย

 

 อินกองหันหน้าไปด้านข้าง และก็พบกับเคทลินที่นอนสลบอยู่ตามความคาดหมาย

 

 ทั้งเฟลิซีและคารัคต่างรับรู้ถึงประสิทธิภาพของแก่นจันทราและแก่นบริวาร จึงทำให้อินกองและเคทลินนอนกุมมือกันอยู่ในลักษณะเดียวกับที่คฤหาสน์ไลแคนโทรป

 

 มีแสงสว่างส่องอยู่เล็กน้อยพอให้อินกองเห็นใบหน้าของเคทลิน สีหน้าอันผ่อนคลายของนางทำให้อินกองรู้สึกอบอุ่น

 

‘ฉัตรแย่มาก’

 

 คำพูดที่เคทลินเอ่ยไว้

 

 แม้อินกองจะรู้สึกผิดกับการกระทำของเขา แต่ใบหน้าน่าเอ็นดูของเคทลินก็เริ่มทำให้อินกองฟุ้งซ่าน

 

‘ใจเย็นไว้ไอ้เสือ ใจเย็น’

 

 อินกองสูดหายใจตั้งสติพยายามลุกขึ้น เขารู้สึกถึงบางอย่างกดทับร่างกายท่อนบนของเขาไว้

 

‘นายท่านตื่นแล้ว!’

 

 กรีนวินด์กอดอินกองเอาไว้อย่างแน่นหนา ด้วยร่างกายโปร่งแสงทำให้นางมีน้ำหนักไม่มาก อินกองใช้มือข้างซ้ายลูบหัวนาง

 

“อื้ม อื้ม เยี่ยม ดีจัง”

 

 ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเวลาที่อินกองเล่นกับเมว่า กรีนวินด์บ่นอุบอิบเล็กน้อย

 

“นายท่านทำอะไรแปลกไปเรื่อย แต่ข้ารู้สึกดีมากฉะนั้นต่อเลย”

 

 กรีนวินด์ซุกเข้ามาที่คอของอินกองทำให้เขาไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก

 

 อินกองหัวเราะพลางเปลี่ยนไปลูบหลังนาง

 

“เก่งมาก เก่งมาก ใช้แสงสีเขียวหลอกภูติที่คลุ้มคลั่ง ทำได้ดีมากกีวี่”

 

 อินกองกระซิบชมเชยกรีนวินด์ นางเงยหน้าขึ้นมองอินกองก่อนจะพูดตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

 

“นายท่านเพิ่งจะรู้หรอ? ถึงข้าจะไม่ชอบชื่อเล่นนั่น แต่ก็ชมข้าเยอะๆ”

 

 แล้วนางก็มุดตัวเข้าหาแขนของอินกองอีกครั้ง

 

 การอยู่อย่างโดดเดี่ยวร่วมพันปีช่างน่ากลัวยิ่งนัก หรือบางทีนี่จะเป็นบุคลิกที่แท้จริงของนาง?

 

 สุดท้ายอินกองก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เขายังคงลูบหลังนางต่อไป สัมผัสจากเส้นผมของนางทำให้เขารู้สึกดี

 

“ใช่แล้ว แบบนั้นแหละ ดีมาก ดีสุดๆเลย”

 

‘ดีนะที่เมว่าอยู่ที่วังจอมมาร’

 

 อินกองคิดหยอกล้อมองไปรอบตัวระหว่างที่ยังคงลูบหลังสาวงาม

 

 แม้ขนาดห้องจะดูเล็กอยู่บ้าง แต่ผนัง เพดาน เครื่องตกแต่งต่างดูหรูหรา ทั้งอินกองและเคทลินต่างนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ออกแบบสำหรับสองคน

 

“หรือว่าจะเป็นห้องพักบนเรือเหาะของซิลวาน?”

 

 กรีนวินด์เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

 

“นายท่านเก่งมาก นายท่านรู้ได้ยังไง?”

 

“ถ้าไม่รู้สิถึงแปลก”

 

 อินกองชี้ไปยังผนังฝั่งตรงข้าม กรีนวินด์หันหน้าไปมองก็พบกับรูปวาดแขวนอยู่

 

 เส้นผมเงินวาว ผิวสีน้ำตาลเป็นธรรมชาติ บุคลิกงดงามให้บรรยากาศของเหล่าขุนนาง… ปัจจัยสำคัญก็คือผ้าปิดตาข้างขวาและหมวกกัปตันบนศีรษะ ต้นแบบของรูปภาพนี้วางตัวในท่าทางที่ดูน่าเกรงขาม

 

‘เห็นแล้วนึกถึงนโปเลียนชิบ’

 

 นายแบบของภาพวาดนี้ก็คือซิลวานที่อยู่ในชุดกางเกงไหม

 

 อินกองหันกลับมาที่กรีนวินด์อีกครั้ง

 

“ที่เหลือละ?”

 

“ทุกคนกำลังหลับอยู่ นี่ก็เพิ่งหลังการต่อสู้ไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้ก็ยังเช้ามืด ตอนแรกเฟลิซีอยากจะเฝ้าสุดยอดนายท่านแต่นางดูเพลียมาก ข้าก็เลยแนะนำให้นางไปหลับก่อน”

 

 เรื่องเล่าก็ดูปกติเว้นเสียแต่

 

“สุดยอด?”

 

 อินกองคิดว่าหมายถึงตัวเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูแปลกอยู่ดี

 

 กรีนวินด์ตอบกลับมาด้วยท่าทางไม่ยี่หระ

 

“การพบกับนายท่านเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก แล้วก็ดูนายท่านจะชอบใจเวลามีคนพูดว่าสุดยอด”

 

 เป็นตรรกะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ยิ่งเมื่อกรีนวินด์ชำเลืองมองไปยังเคทลินด้วยแล้ว ก่อนนางจะหันมามองอินกองด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

“นายท่านสุดยอด”

 

 แม้จะเป็นการพูดเลียนแบบแต่ก็ให้ผลที่เยี่ยม อินกองกระแอมกลบอาการตื้นตันใจ

 

“เอ่อ ผมไม่ว่าอะไร แต่อย่าแย่งบทเคทลินเลย”

 

“ข้าไม่เข้าใจว่านายท่านพูดเรื่องอะไร?”

 

 กรีนวินด์เงยหน้าหัวเราะชอบใจ นางแตะไหล่อินกองแล้วร่างของนางก็เลือนลาง

 

“พักผ่อนต่อเถิดนายท่าน ยังอีกนานกว่าจะรุ่งสาง”

 

“อืม”

 

 เวลาที่แสดงบนแผนที่ย่อของเขาบอกสองนาฬิกา อย่างที่กรีนวินด์บอก อีกนานกว่าจะรุ่งสาง

 

 อินกองทิ้งตัวลงนอนพลางหลับตา ไออุ่นจากเคทลินส่งผ่านมือขวาส่งเขาเข้าสู่นิทรา

 

&

 

“เราจะแนะนำตัวอีกครั้ง เราคือเจ้าเวหาผู้เดินทางไปทั่วท้องนภา เจ้าชายลำดับที่ห้า ซิลวาน ดูมแบลด!”

เบนิ เบนิ เบนิอาส เน เม มอริ ฟาเคียส… ซี!ลี!วาน!

 

“เป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก… แต่ก็อย่างที่รู้กัน นี่คือพี่ชายฝาแฝดของฉัน”

 

 เช้าวันรุ่งขึ้น

 

 คารัคนำถังน้ำมาให้อินกองและเคทลินล้างหน้า ก่อนเฟลิซีและซิลวานจะเข้ามาเยี่ยมทั้งสอง

 

 ซิลวานกระดกลิ้นหันไปมองเฟลิซีที่กำลังพยายามแทรกแผ่นดินหนี

 

“ไม่ใช่เรื่องน่าอดสูอะไรเลย ในฐานะเฟลิซี น้องสาวของเราผู้สง่าและงดงาม จงยืนอย่างสง่าผ่าเผย”

 

 เขาไม่รู้ว่ากระทั้งสาเหตุที่นางรู้สึกอับอาย อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพวกไม่สนโลกอย่างแท้จริง

 

“ฉันขอตายซะดีกว่า”

 

 เฟลิซีใช้พัดปกปิดใบหน้าที่แดงก่ำของนาง ดูเหมือนการกระทำของซิลวานจะคอยสร้างความอับอายให้กับเฟลิซีเรื่อยมา โชคร้ายที่นางไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาต่อหน้าพี่ชายของนางได้

 

 อินกองพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ ส่วนเคทลินก็มองสลับไปมาระหว่างซิลวานและเฟลิซีอย่างอยากรู้

 

 หลังจากเฟลิซีพยายามดึงมาดของนางกลับมา นางก็ชี้ไปยังอินกองและเคทลิน

 

“นี่เคทลิน แล้วก็ฉัตร รู้จักทั้งสองไหมซิลวาน?”

 

“หืม ก็พอนิดหน่อย แต่ก็นานมาแล้วที่เห็นทั้งสองใกล้ขนาดนี้”

 

 ซิลวานมองไปที่อินกองและเคทลิน เป็นสายตาที่เรียกได้ว่าไม่พึงพอใจสักเท่าไร

 

 ถึงกระนั้นเคทลินก็กล่าวทักทายซิลวานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

“ยินดีที่ได้พบคะ ซิลวานอปป้า”

 

“เป็นเกียรติที่พบเช่นกัน”

 

 คำพูดของซิลวานดูเป็นทางการมากกว่าเวลาที่เขาพูดคุยกับเฟลิซี เมื่อเทียบกับเฟลิซีแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะให้ซิลวานพูดคุยกับทั้งสองอย่างสนิทสนม

 

 หลังจากแลกเปลี่ยนการทักทาย ซิลวานก็หรี่ตาถามเคทลิน

 

“คริสต์เป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 เรียกได้ว่าน้ำเสียงดีกว่าเมื่อตอนที่คริสต์กล่าวถึงซิลวาน แต่ก็ยังดูห่างเหิน

 

 แต่เคทลินก็ยังคงยิ้มรับ

 

“คริสต์อปป้าสบายดีคะ เรียกได้ว่าทำอะไรราบรื่นทีเดียว”

 

“ย อย่างนั้นหรือ”

 

 ซิลวานดูมีอาการสับสนกับท่าทางของเคทลิน เฟลิซีหัวเราะก่อนจะตบไหล่ซิลวาน

 

“ที่จู่ๆซิลวานโผล่มาก็เพราะฉันใช้เครื่องส่งสัญญาณติดต่อไปตอนพักที่คฤหาสน์รับรอง”

 

“นูนะ?”

 

“จริงอยู่ที่ซิลวานบอกว่าจะมาหาฉัน แต่จากระยะทางแล้ว ฉันไม่คิดว่าเขาจะมาถึงเร็วขนาดนี้”

 

 นี่เป็นเหตุผลที่เฟลิซีไม่ได้เอ่ยถึงซิลวานเมื่อพวกเขาหารือเกี่ยวกับกำลังเสริมในป่าแมงมุม นางคิดว่ากว่าซิลวานจะเดินทางมาถึงก็น่าจะใช้เวลาราวสองสัปดาห์

 

 ซิลวานดึงตัวเฟลิซีเข้ามาใกล้แล้วลูบหัวนาง

 

“น้ำเสียงของลิซซี่ดูเหนื่อยมาก เรารีบบึ่งมาอย่างรวดเร็วเพื่อพบกับน้องสาวสุดที่รัก”

 

 คำพูดเยินยอของซิลวานกลับไม่ทำให้เฟลิซีรู้สึกดีขึ้นสักนิด คริสต์เอ็นดูเคทลินมาก ทว่าดูเหมือนซิลวานจะเอ็นดูเฟลิซีมากไปกว่านั้นเสียอีก เฟลิซีถอนหายใจก่อนจะพูดตอบเคทลิน

 

“ฉันขอโทษแทนซิลวานด้วย ถึงเขาจะไม่ค่อยเต็ม แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ออกจะแนวตลกๆ”

 

 เคทลินพยักหน้า อินกองพูดแทรกขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

 

“ขอบคุณครับฮยอง เมื่อคืนช่วยได้มากเลยทีเดียวครับ”

 

 การพุ่งเข้าชนในครั้งแรกอาจจะเรียกได้ว่าสิ้นคิด แต่หลังจากนั้นการสนับสนุนจากซิลวานช่วยจัดการปัญหาทั้งหมดได้มาก ไหนจะเรื่องเก็บกวาดเหล่าสัตว์ที่หลบหนีไปอีก

 

 ซิลวานยักคิ้ว ก่อนจะตอบกลับ

 

“เราพยายามช่วยเต็มที่… แต่ดูเหมือนนายจะจัดการปัญหาหลักๆไปหมด ก็ได้ข่าวมาอยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้ ยอดเยี่ยมจริงๆ”

 

“ใช่ไหมละ? เหมือนที่บอกไหม? ฉัตรของพวกเราเจ๋งไปเลยใช่ไหม?”

 

 เฟลิซีเชิดคางของนางพลางพูดโอ้อวด เคทลินพยักหน้าเห็นดีงาม

 

“ฉัตรสุดยอด”

 

 หากคริสต์อยู่ด้วย ณ ที่นี้ เขาก็คงจะถามเกี่ยวกับสาเหตุที่ทั้งสองกล่าวเยินยอสรรพคุณ ทว่าผู้ที่อยู่ตรงนี้คือซิลวาน

 

 ซิลวานยักไหล่ก่อนจะพูดออกมาอย่างเศร้าสร้อย

 

“ลิซซี่ ฮยองผู้นี้ก็เจ๋งไม่แพ้กันหรอกนะ ถ้าถอดผ้าปิดตานี่ออกละก็… ”

 

“ฉันขอโทษแทนซิลวานด้วย”

 

 เฟลิซีกล่าวขอโทษตัดบทซิลวาน แต่เคทลินก็พูดกลับเข้าประเด็นด้วยความสงสัย

 

“ถ้าซิลวานอปป้าถอดผ้าปิดตาออกจะเกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”

 

“อย่า… ”

 

 เฟลิซีพยายามจะเตือนแต่ก็ไม่ทันการ ซิลวานหัวเราะออกมาอย่างผู้ชนะ

 

“ถามมาก็ดีแล้ว ผ้าปิดตานี่เป็นของวิเศษที่ผนึกพลังของผู้ใช้เอาไว้ ถ้าเราถอดมันออกละก็ พลังที่แท้จริงของเราก็จะเป็นที่ประจักษ์ แต่พลังนี้มันอันตรายเกินไป ฉะนั้นเราจึงต้องผนึกมันไว้ในเวลาปกติ”

 

“ว้าววว!”

 

 เคทลินอุทานออกมาอย่างชื่นชม เฟลิซีส่ายหน้าอย่างเขินอาย

 

“ไม่ต้องฝืนก็ได้นะเคทลิน”

 

“เอ๋? แต่มันดูสุดยอดไปเลยนี่คะ ซิลวานอปป้าเท่สุดๆ”

 

 การชื่นชมจากใจจริงของเคทลินกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม ซิลวานรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด ก่อนหันไปถามอินกองเปลี่ยนประเด็น

 

“จะว่าไปแล้ว วิชานั่นของฉัตร… คริสต์ก็ใช้วิชาที่คล้ายกัน หรือว่านายเรียนเคล็ดไอศวรรย์สัตว์อสูรจากพวกไลแคนโทรป?”

 

“ครับ ผมเรียนท่าร่างพื้นฐานจากคริสต์ฮยองกับเคทลินนูนะ”

 

“ฉัตรของพวกเราเจ๋งสุด”

 

 เฟลิซีพูดโอ้อวดอีกครั้ง และเคทลินก็พยักหน้ารับเช่นเคย

 

“แม้แต่ปราชญ์ดาบก็ยังอดชื่นชมไม่ได้เลย”

 

“เดี๋ยวนะ ปราชญ์ดาบ?”

 

 สีหน้าของซิลวานเปลี่ยนไปในทันที เขามองไปยังเฟลิซีอย่างติดขัด

 

“หมายความว่ายังไงลิซซี่?”

 

“เอ่อ เรื่องนั้น… คือว่า… ”

 

 เฟลิซีพยายามหลบสายตาพี่ชายของนาง นางคาดการณ์เอาไว้ว่าซิลวานต้องแสดงท่าทางลักษณะนี้ออกมาเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปราชญ์ดาบ

 

 ซิลวานจ้องมองเฟลิซีอยู่สักพักก่อนจะหันกลับไปยังเคทลิน เวลานั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

“จะให้รอถึงเมื่อไรกันฮะ?”

 

 อมิตาภารอคอยอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของประตูอย่างอารมณ์ไม่ดี เฟลิซีรีบไปเปิดประตู

 

“อมิตาภา!”

 

“ใช่แล้วฮะ มีปัญหาอะไรหรือฮะ?”

 

“ไม่มีอะไรครับ”

 

 ซิลวานรู้ว่าอมิตาภาเป็นสหายของปราชญ์ดาบ นั่นทำให้เขาหลีกทางให้อย่างนอบน้อม อมิตาภามองสำรวจซิลวานอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินเข้าไปหาอินกอง

 

“ทั้งสองเป็นอย่างไรกันบ้างฮะ?”

 

“ขอบคุณสำหรับความห่วงใย เราปกติดี”

 

“ฉันก็เหมือนกัน”

 

 อินกองและเคทลินพูดตอบ

 

 อมิตาภาใช้หางตบพื้นอย่างโล่งใจ

 

“ต้องขอบคุณทุกท่านมากที่ช่วยปกป้องแสงสุดท้ายเอาไว้ฮะ เดี๋ยวอมิตาภาจะสร้างของวิเศษให้ตามสัญญาฮะ แต่ก่อนหน้านั้นมีเรื่องอะไรนิดหน่อยฮะ”

 

 หรือบางทีพวกเขาอาจจะต้องเตรียมอุปกรณ์พิธีบางอย่าง?

 

 ระหว่างที่ทั้งหมดมีสีหน้างุนงง อมิตาภาจ้องมองไปที่อินกอง

 

“แสงสุดท้ายต้องการพบองค์ชายเก้าฮะ”

 

“หา?”

 

“เอาเป็นว่าตามอมิตาภามาฮะ”

 

 แสงสุดท้าย…

 

 เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์…

 

 นี่ทำให้ใบหน้าของทั้งหมดตกตะลึงยิ่งขึ้น