คำเตือน บทสนทนาตอนนี้ค่อนข้างอ่านงงเล็กน้อย(ถึงมาก) พยายามหาคำเพื่อแสดงให้เห็นถึงบุคลิกของตัวละคร อาจไม่สมบูรณ์นัก

 

 

“เอ่อ แสงสุดท้ายเป็นชื่อคนงั้นหรือ?”

 

 คารัคกระซิบถามขึ้น ก่อนเซร่าจะกระซิบถามกลับมา

 

“ก็น่าจะคล้ายๆกับกรีนวินด์?”

 

 ทฤษฎีที่เป็นไปได้ ในเมื่อกรีนวินด์เป็นเทพารักษ์ที่มีพลังเกี่ยวกับลม แสงสุดท้ายก็คงเป็นเทพารักษ์ที่มีพลังเกี่ยวกับไฟ

 

“จะแบบไหนก็น่าสนใจทั้งนั้น”

 

 เฟลิซีพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม การพบปะกับสิ่งลี้ลับกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของนาง

 

“สุดยอด”

 

 เคทลินพึมพำออกมา เซร่าผงกศีรษะเห็นด้วย อมิตาภาที่เดินนำทางพวกเขาหยุดเดินแล้วใช้หางทุบพื้นตะโกนถามอย่างหงุดหงิด

 

“อมิตาภาเรียกแค่องค์ชายนะฮะ ทำไมถึงตามมากันเยอะจังฮะ?”

 

 ไม่แปลกที่เจ้าแรคคูนจะไม่ชอบใจ นั่นก็เพราะพวกเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากขบวนแห่ตามเทศกาล

 

 เฟลิซีกับเคทลินอยู่ข้างอินกอง ซิลวานตามประกบเฟลิซี ทิ้งท้ายด้วยดาฟเน่พร้อมเหล่าองครักษ์อย่าง คารัค เซร่า และเดเลีย

 

 อมิตาภาโกรธ แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นแรคคูนตัวน้อยจึงดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้นในคณะของอินกองก็มีผู้ที่สามารถจัดการกับอมิตาภาได้อย่างเรียบง่าย

 

“อมิตาภา ฉันขออุ้มเธอเอง”

 

 ดาฟเน่กางแขนของนางออก อมิตาภาหันไปพยักหน้าตอบในทันที

 

“ไม่ปฏิเสธฮะ”

 

 ดาฟเน่กอดอมิตาภาไว้ด้วยรอยยิ้ม ท่ามกลางเสียงกระแอมอย่างเขินอาย

 

 ขบวนแห่อินกองเดินทางมายังวัดที่ห่างออกมาไม่ไกล ตัววัดมีขนาดใหญ่กว่าวัดศิลาในที่ราบอินคาเล็กน้อย ทั้งวัดทำขึ้นจากต้นไม้โดยรอบที่แตกกิ่งก้านออกมาสานกันอย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นบ้านต้นไม้อย่างแท้จริง

 

 เมื่อขบวนลอดผ่านประตูที่เป็นต้นไม้ใหญ่สองต้นเอียงมาบรรจบกัน พวกเขาก็พบกับหญิงสาวตัวน้อยไว้ผมสั้นในชุดขาว

 

“นี่คือผู้พิทักษ์ของป่าแมงมุมฮะ”

 

 สิ้นเสียงของอมิตาภา อินกองมองเด็กหญิงอย่างฉงน เพราะโรบินได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแมงมุมยักษ์อินกองจึงไม่คิดว่ารูปร่างที่ปรากฎจะเป็นเด็กสาวตัวน้อย

 

‘นี่ไม่ใช่ร่างของนาง เรียกว่าส่วนหนึ่งของนางจะเหมาะกว่า บางทีแมงมุมยักษ์ที่ว่าอาจจะเคยเป็นผู้พิทักษ์เมื่อนานมาแล้ว พอเห็นนางข้าก็เข้าใจสาเหตุของเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น ข้ารู้สึกว่านางยังเด็กและอ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อต้านพวกนั้น’

 

 คำพูดของกรีนวินด์ที่ว่า ‘แมงมุมยักษ์เคยเป็นผู้พิทักษ์? นางยังเด็ก?’ ทำให้เขาประหลาดใจ หรือว่าผู้พิทักษ์จะสามารถให้กำเนิดทายาทได้?

 

 มีคำถามที่ต้องการคำตอบเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่เหมาะสำหรับตอนนี้

 

 ผู้พิทักษ์สาวน้อยจับชายกระโปรงของนางขึ้นเล็กน้อยพลางโค้งคำนับ

 

“ผู้พิทักษ์แห่งป่าแมงมุม คาฟร่า ขอขอบคุณสำหรับทุกความช่วยเหลือ”

 

 อินกองสงสัยว่านางเรียนรู้ธรรมเนียมการทักทายมาจากที่ไหน ภาพอมิตาภากำลังสอนนางผุดขึ้นมา

 

 นั่นทำให้เขาหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนหันไปเรียกกรีนวินด์

 

“กรีนวินด์”

 

 กรีนวินด์ปรากฏกายเนื้อขึ้นข้างอินกอง สมาชิกเดินทางของเขาต่างคุ้นเคยกับนางแล้วจึงไม่มีท่าทางตกใจ ต่างไปจากคาฟร่า

 

 อินกองบอกกรีนวินด์

 

“แลกเปลี่ยนเรื่องราวกับนางสิ เป็นโอกาสที่นานๆจะมีซักครั้ง?”

 

 โอกาสที่ผู้พิทักษ์จากต่างสถานที่ได้พบปะพูดคุย

 

 นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งนัก เป็นข้อเสนอที่ทำให้ทั้งคาฟร่าและกรีนวินด์ต่างตื่นเต้น แต่ก็เพียงชั่วครู่ก่อนกรีนวินด์จะแสดงทีท่าลังเล

 

“แต่ข้าต้องติดตามนายท่าน… ”

 

“ไม่มีปัญหา ยังไงเสียผู้ที่พบกับแสงสุดท้ายได้ก็มีแค่องค์ชาย”

 

 อมิตาภาพูดแทรกขึ้นอย่างขึงขังทำให้คาฟร่าดีใจ

 

 อินกองลูบหัวกรีนวินด์เบาเบา

 

“เดี๋ยวผมกลับมา”

 

“เข้าใจแล้ว ขอให้นายท่านกลับมาอย่างปลอดภัย จะดีมากถ้ามีของมาฝากข้าด้วย”

 

 กรีนวินด์หัวเราะคิกคัก อินกองชะงักกับคำว่า ‘ของฝาก’

 

“ใครสอนคำพูดแบบนั้นเนี่ย?”

 

“คารัคสอนข้าเอง”

 

 สายตาจำนวนมากเปลี่ยนเป้าไปยังเจ้าออร์คผู้ไม่สะทกสะท้าน

 

 ก่อนอมิตาภาจะพูดตัดบทขึ้น

 

“คิดว่ามาเที่ยวเล่นหรือไงฮะ? ไปได้แล้วฮะ!”

 

 กรีนวินด์เหาะไปพูดคุยกับคาฟร่า เฟลิซีกับเคทลินสนใจในหัวข้อสนทนาของทั้งสอง ซิลวาน เดเลีย เซร่าหยุดพักผ่อน คารัคเดินตามอินกองไปพร้อมกับดาฟเน่ที่ยังอุ้มเจ้าแรคคูนอยู่

 

 ทั้งสี่เดินเข้ามาจนถึงบานประตูสีดำ อมิตาภากระโดดลงจากอ้อมกอดของดาฟเน่

 

“ถึงแล้วฮะ จากนี้มีเพียงองค์ชายที่ผ่านไปได้ฮะ”

 

 ดาฟเน่ที่อยากพบกับแสงสุดท้ายก้มหน้าผิดหวัง แต่อมิตาภาก็ทำหน้าที่อย่างมืออาชีพไม่ยอมให้นางผ่าน

 

 คารัคถอยกลับไปพร้อมดาฟเน่พลางส่งยิ้มอย่างท้าทาย

 

“ขอให้สนุกนะ”

 

“อืม”

 

 อีกฟากของบานประตูมีแสงสว่างเรืองไปทั่วห้อง จุดสีน้ำเงินส่องระยิบระยับราวกับหิ่งห้อยในรัศมีสองเมตร

 

 กลางห้องเป็นที่ตั้งของแท่นบูชา บนแท่นนี้มีเปลวไฟสีเขียวขนาดเทียบเท่าอมิตาภาลุกโชนราวกับคบเพลิง อินกองรับรู้ถึงพลังงานบางอย่างแผ่ขยายออกมาจากเปลวไฟนี้

 

 อมิตาภากระโดดไปยังด้านข้างแท่นบูชาพลางชี้ไปที่เปลวไฟ

 

“นี่คือแสงสุดท้ายฮะ ทีนี้ก็สอดมือเข้าไปฮะ”

 

“… หา?”

 

 ยื่นมือเข้าไปในเปลวไฟ?

 

“ไม่มีปัญหาฮะ นี่ไม่ใช่เปลวไฟทั่วไปฮะ ต้องให้อมิตาภาอธิบายทุกรายละเอียดเลยหรือไงฮะ?”

 

“เข้าใจแล้วครับ”

 

 อินกองตอบกลับเจ้าแรคคูนที่หยิบกล้องยาสูบขึ้นมา เขาเดินไปด้านหน้าแสงสุดท้าย สูดหายใจเตรียมพร้อม แล้วยื่มมือออกไปข้างหน้า

 

 แทนที่จะเรียกว่าร้อน อบอุ่นดูจะเหมาะสมกว่า มือของเขาไม่มีแผลผุพองใดใด

 

 อินกองยื่นมือเข้าไปลึกขึ้น เปลวไฟนั้นก็ลุกโชนมากขึ้น จนกระทั่งห่อหุ้มทั้งตัวของอินกองเอาไว้

 

 อินกองพยายามไม่ตื่นตกใจ เขาหลับตาลงแล้วก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่บางแห่ง

 

 โลกแห่งเปลวเพลิง รอบตัวเขามีแต่เปลวไฟสีเขียว

 

 อินกองรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเตือนสติเขา หากเปรียบเปรยเป็นคำพูด แทนที่จะอธิบายในแง่ร้ายอย่างนรกโลกันต์ เรียกสถานที่นี้ว่าอาณาจักรแห่งไฟจะเหาะสมกว่า

 

 เปลวไฟจำนวนมากลุกโชนลอยล่องราวกับกลีบดอกไม้ อินกองรู้สึกอบอุ่นขึ้นในจิตใจของเขา

 

 เปลวไฟตรงหน้าอินกองแยกตัวออก เผยให้เห็นตัวตนบางอย่าง

 

 สตรีที่ก่อกำเนิดจากเปลวไฟ รูปร่างของนางเปลี่ยนแปลงไปตามเปลวไฟแปลบปลาบ ทั้งเยาว์วัยและชรา

 

 แสงสุดท้าย

 

 หากเป็นดั่งที่ตำนานเล่าขาน นี่เป็นปฐมเพลิงของโลกเช่นกัน

 

 นางนั่งอยู่บนบัลลังค์เปลวไฟมองลงมายังอินกอง เส้มผมเปลวเพลิงพริ้วไหวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนบัลลังค์จะผุดขึ้นภายใต้อินกองอย่างฉับพลันให้เขานั่ง แล้วบัลลังค์ทั้งสองก็ขยับเข้ากระชั้นชิด

 

“ดีงามยิ่งนัก อาชาอาณัติ”

 

 คำพูดดังก้องขึ้นสร้างความประหลาดใจให้อินกอง เขาจ้องมองนางที่กำลังหัวเราะ

 

“อาชาอาณัติ ผู้สืบพลังอาณัติ สำแดงพลังหน้าร่างอวตาร กูจักมิรู้ได้เยี่ยงไร”

 

“อวตาร… ”

 

“ถูกต้อง อมิตาภาเป็นอวตารของกู ช่างดูน่ารักน่าชังเสียยิ่งกระไรนัก”

 

 อินกองหัวเราะขบขัน นั่นเพราะรูปร่างของอมิตาภาเป็นแรคคูนตัวน้อยน่าเอ็นดู

 

 แสงสุดท้ายพอใจกับท่าทางของอินกอง นางยกขานั่งไขว่ห้าง แขนทั้งสองวางเท้าขอบเก้าอี้บัลลังค์ เอียงศีรษะเท้าลงบนแขนข้างหนึ่ง

 

“มึงมีแววตาฉงนยิ่งนัก มึงมิรู้ดอกฤๅ? ว่าอาชาอาณัติคือกระไร?”

 

 อินกองผงกหัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับตัวตนของอาชาแห่งอาณัติ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องอับอายกับความไม่รู้ของตนเอง

 

“ขอรับ ผู้น้อยไม่รู้ ทว่าผู้น้อยมีความต้องการจะรู้”

 

 อินกองพยายามตอบกลับให้ใกล้เคียง คำพูดของนางทำให้ความต้องการรับรู้ของเขาพุ่งทวีคูณขึ้น

 

“ช่างน่าขบขัน”

 

 แสงสุดท้ายเป็นดั่งราชินี นางวางเท้าลงพลางจ้องมองไปในความว่างเปล่า เอ่ยคำพูดที่เหมือนกับคำทำนายออกมา

 

“อาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย อาสัญ สี่เภทภัยวินาศฉิบหาย”

 

 เปลวไฟพวยพุ่งรอบเก้าอี้บัลลังค์ ก่อตัวเป็นรูปสิ่งของสี่อย่าง มงกุฎแทนถึงอาณัติ ดาบแทนถึงรณการ ถ้วยข้าวร้าวแตกแทนถึงทุพภิกขภัย และเคียวแทนถึงอาสัญ

 

“พวกโง่งม ลุ่มหลงใคร่ในหายนะ”

 

 สัญลักษณ์ทั้งสี่ถูกแผดเผาจนมลายหายไป เหมือนสัญลักษณ์เหล่านี้เผาทำลายตัวมันด้วยตนเอง

 

‘ลุ่มหลงในหายนะ’

 

‘หรือก็คือชื่นชอบการทำลายล้าง’

 

 เมื่อคิดพิเคราะห์จากชื่อแล้วก็เดาได้ไม่ยาก การแก่งแย่งยึดครองนำมาซึ่งสงคราม สงครามนำมาซึ่งความแร้นแค้น ความแร้นแค้นนำมาซึ่งความตาย ถัดจากความตายก็ไม่พ้นจุดจบ ทั้งหมดล้วนเป็นคำนิยามในแง่ลบ

 

 แสงสุดท้ายเอนตัวตัวพิงลงบนเก้าอี้บัลลังค์ของนางจ้องมองสำรวจอินกอง

 

“ทว่ามึงเป็นเอกเทศ มึงสืบอาชาอาณัติด้วยเหตุประการใด?”

 

 แสงสุดท้ายหยุดจ้องราวกับมองลึกไปในจิตใจของอินกอง ก่อนจะกล่าวต่อ

 

“หาใช่พวกมันสืบอาชาจึงใคร่หายนะไม่ พวกมันใคร่หายนะจึงสืบอาชา”

 

 สี่ทูตที่อินกองปะทะด้วยมีเพียงจีราด อาชาแห่งทุพภิกขภัย

 

 เรียกได้ว่าบ้าคลั่ง

 

 จีราดชื่นชอบการฆ่าและทำลายล้าง ถึงกระทั่งพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตนเอง

“มึงหาได้ใคร่หายนะฤๅลุ่มหลงฆ่าฟันไม่ จิตใจมึงหาได้ริดรอนไม่”

 

“ริดรอน?”

 

 อินกองถามแทรกขึ้นอย่างกระทันหัน แสงสุดท้ายหัวเราะพลางเสกลูกไฟขึ้นสองดวง ทั้งสองถูกเชื่อมด้วยเส้นไฟเบาบาง

 

“พวกมันผู้สืบอาชาจักสืบพลังเภทภัย จิตใจพวกมันจักถูกริดรอน พวกมันจักมีกำลังวังชามหาศาล สิ้นสูญตัวตน มิรู้จักยั้งคิด เป็นเพียงหมากเบี้ยฆ่าฟัน มึงมิได้พิกลพิการเฉกเช่นพวกมัน อาณัติหาได้ยุยงมึงไม่ ฤๅจักเป็น… ”

 

 แสงสุดท้ายลดเสียงลงอย่างไม่มั่นใจ นางหรี่ตา ยิ้มเล็กน้อย และพึมพำอย่างแผ่วเบา

 

“กลับตาลปัตร อาณัติจักศิโรราบ”

 

 สตรีชุดขาวใต้มงกุฎทองผู้มีนัยน์ตาสีแดงและน้ำเงิน…

 

 นางไม่เคยพยายามควบคุมอินกอง นางปรากฏกายให้เขาเห็นเพียงเพื่อให้คำแนะนำบางอย่างในยามวิกฤตเท่านั้น

 

“กูเพียงพูดเดาส่งเดช อาชาครบบริบูรณ์หาได้ยากยิ่ง”

 

 แสงสุดท้ายหัวเราะก่อนจะยกเท้าขึ้นไขว่ห้างอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยท่าทางไม่พอใจในลักษณะเดียวกับเฟลิซี

 

“พวกโง่งมจักเตรียมการนานับ มึงจักกระทำเยี่ยงไร? มึงประสงค์สิ่งใดจากแผ่นดินฤๅ?”

 

 เป็นคำถามทั่วไป

 

 เขาต้องการจะทำอย่างไรต่อไป?

 

 หาวิธีกลับสู่โลกเดิม?

 

 แน่นอนว่านั่นย่อมเป็นจุดประสงค์หลัก แต่ในตอนนี้อินกองมีความมุ่งหมายอย่างอื่นเพิ่ม

 

 เขาใช้เวลาคิดกับมันบ่อยครั้ง

 

 เขาต้องการยับยั้งเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าไลแคนโทรป…

 

 และหยุดยั้งวันล้างบาง

 

 เขาต้องการเปลี่ยนชะตากรรมให้เหล่าบุตรธิดาจอมมารเล็ดรอดจากเงื้อมมือของแซเฟียร์ เขาต้องการปกป้องทั้งหมดเอาไว้ โดยเฉพาะเคทลินและเฟลิซี

 

 ทั้งหมดนี้สามารถรวบรัดได้ด้วยคำสรุป

 

 เขาต้องการเปลี่ยนตอนจบ… ตอนจบอันโหดร้ายของเกมบทกวีแห่งผู้กล้า

 

 เขาต้องการตอนจบแบบอื่น และนั่นก็คือสิ่งที่เขาจะทำ

 

 นี่อาจไม่ใช่สาเหตุที่อินกองหลุดมายังโลกแห่งนี้ เขายังไม่รู้ถึงจุดมุ่งหมายของอาณัติ ทว่าตัวเขาในตอนนี้พบจุดมุ่งหมายของตนเอง

 

 จัดการกับแซเฟียร์และเหล่าฑูตโลกาวินาศที่นำพาจุดจบของโลก

 

 แม้จุดมุ่งหมายของเขาอาจจะขัดกับอาณัติ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ

 

 ‘เปลี่ยนแปลงตอนจบ’ นี่คือจุดมุ่งหมายของอินกอง

 

“มึงหาใช่อาชาอาณัติไม่ ทว่ามึงจักสืบอาชาอาณัติ”

 

 แสงสุดท้ายยกมือของนางขึ้นกำมืออย่างเชื่องช้า

 

“อาชาอาณัติจักเป็นราชากำราบทุกสิ่งอัน มึงครอบครองดวงชะตาราชัน”

 

 ลงทัณฑ์ ศิโรราบ ปกครอง…

 

 เคล็ดวิชา เวทมนตร์ ผู้พิทักษ์ แก่นมังกร…

 

 เส้นทางยังไม่จบเพียงเท่านี้

 

“ให้รวบรัดความประสงค์ทั้งหมดครบถ้วน มึงจักต้องขึ้นครองราชย์”

 

 สิ่งที่ราชินีเอเลนเคยกล่าวถามทิ้งท้ายไว้กับอินกอง

 

 คริสต์ผู้เป็นบุตรของเอเลนและสหายของอินกองก็กล่าวไว้เช่นเดียวกัน

 

 และ ณ ที่นี้ แม้แต่แสงสุดท้าย

 

“เด็กน้อย มึงจักเป็นจอมมารได้ดอกฤๅ?”

 

“เราจะเป็นจอมมาร”

 

 อินกองพูดประกาศให้คำสัตย์

 

 เขาพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติทำให้แสงสุดท้ายพึงพอใจ นางลุกขึ้นเคลื่อนตัวเข้าหาอินกอง

 

“อาชาอาณัติผู้ใคร่ชีพิตหาใช่หายนะไม่ ราชาอาณัติ… ”

 

 นางจุมพิตบนหน้าผากของอินกอง พรแห่งเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์

 

“กูจักเฝ้ามองความสำเร็จ”

 

[คุณได้เรียนรู้ รัศมีเทพ ขั้น1]
[คุณได้เรียนรู้ ปฐมเพลิง ขั้น1]
[ก่อตั้งพันธมิตรกับ แสงสุดท้าย เสร็จสิ้น]
[สถานะพันธมิตร: พันธมิตรผูกพันธ์]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]

 

 อินกองยิ้มให้กับเสียงรายงานที่ดังขึ้น อินกองคุกเข่าลงจุมพิตที่หลังมือของแสงสุดท้าย เช่นเดียวกับในการแสดงละครเวทีที่เขาเคยเห็น

 

 ส่วนปฏิกิริยาตอบสนองจากการกระทำของอินกอง?

 

 แสงสุดท้ายหัวเราะก่อนจะย่อตัวลงจูบที่ริมฝีปากของอินกอง

 

[คุณได้รับคุณสมบัติ ธาตุไฟ]

 

 อินกองตาเบิกโพลงกับจูบที่ได้รับอย่างกระทันหัน แสงสุดท้ายยังคงหัวเราะให้กับท่าทางของอินกอง

 

 ท่ามกลางโลกทั้งใบที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง

 

&

 

 อินกองลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าไม่ใช่อาณาจักรแห่งไฟแต่เป็นห้องที่ส่องสว่างด้วยแสงระยิบระยับสีน้ำเงิน

 

 เวลาได้ผ่านไปไม่มากและไม่น้อย

 

 แน่นอนว่าเขาได้รับประโยชน์จากการพบแสงสุดท้าย ที่สำคัญที่สุดก็คือข้อมูลเกี่ยวกับอาชาแห่งอาณัติและตั้งเป้าจุดมุ่งหมายของตนเอง

 

 และดูเหมือนจะมีอีกหนึ่งสิ่ง

 

 อมิตาภาที่จ้องมองแสงสุดท้ายใช้หางตีพื้นอย่างกระทันหัน เจ้าแรคคูนกระโดดโวยวายใส่อินกอง ไม่สนใจกล้องยาสูบที่หล่นตกพื้น

 

“อะไรกันฮะ? ทำไมแสงสุดท้ายบอกให้อมิตาภาสร้างของวิเศษครบชุดฮะ?”

 

 แทนคำตอบ อินกองเอื้อมมือไปแตะริมฝีปากของเขา ยังคงเหลือไออุ่นให้สัมผัสได้

 

“องค์ชายฉัตร! ตอบมาเดี๋ยวนี้เลยฮะ!”

 

 อินกองหันไปมองยังแสงสุดท้าย เขารู้สึกราวกับเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นในเปลวไฟI

 

“ครบชุด… ขอบพระคุณมากขอรับ”

 

 อินกองพูดออกมา โดยมีเสียงตีพื้นโวยวายของอมิตาภาเป็นฉากหลัง

 

 

จบบทที่ 14 – แสงสุดท้าย เริ่มบทที่ 15 – สัญญาณ