[ชื่อ: ฉัตร อิกษณา][อายุ: 14][เผ่าพันธุ์: คนธรรพ์]
[อาชีพ: พระเอก][อาชีพรอง: อาชาแห่งอาณัติ/ มังกรจำแลง]
[เอกลักษณ์: เจ้าชาย/ อาชาแห่งอาณัติ/ มังกรจำแลง]
[ธาตุ: ชีวิต/ ลม/ ไฟ][เลเวล: 27]
พละกำลัง: 86
สติปัญญา: 65
ความคล่องแคล่ว: 65
ความสามารถ: 65
ความทนทาน: 65
ความแข็งแกร่ง: 65
พลังจิต: 65
พลังเวท: 65
สเน่ห์: 45
ค่าสถานะเพิ่มเติม: 38
ป่าแมงมุมมีกลางวันที่สั้น แม้อินกองจะรับรู้ถึงฤดูกาลในโลกมารได้เพียงเล็กน้อย ณ ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาย่างเข้าฤดูหนาว
อินกองสำรวจร่างกายของเขาภายในวัดหลังจากที่ห่างเหินมานาน
‘เหมือนเราเริ่มจะมีแต้มค้างอยู่เยอะ สงสัยได้เวลาใช้แล้วสินะ?’
การเพิ่มค่าสถานะพละกำลังทำให้อินกองสามารถประมือกับเคทลินได้อย่างง่ายดาย เรื่องราวจะเป็นอย่างไรหากเขาไม่ได้เพิ่มค่าสถานะนี้? อินกองนึกภาพตนเองที่พยายามฝึกฝนให้ก้าวทันเคทลิน ช่างเป็นภาพที่ชวนคิดถึง
อินกองมีเหตุผลอยู่สองประการที่ทำให้เขาเก็บแต้มค่าสถานะเอาไว้
ประการแรกเพื่อใช้ในยามคับขันที่เขาต้องการสถานะบางอย่าง
ตัวอย่างในกรณีนี้คือสถานการณ์ที่อินกองใช้กำลังจับกุมเคทลินที่คลุ้มคลั่ง แม้การเพิ่มค่าสถานะทั้งหมดจะเป็นผลดี แต่การเก็บแต้มเหล่านี้ไว้ใช้ในยามจำเป็นก็มีประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน
ประการที่สองก็คือ ตัวเขายังไม่มั่นใจว่าค่าสถานะใดจะส่งผลดีกับตัวเขามากที่สุด
หรือก็คือสิ่งที่เรียกว่าประสิทธิภาพสูงสุด
อินกองเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุร ทำให้เขาสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ได้มากขึ้นเช่นกัน หากเพิ่มค่าสถานะที่ขัดกับทักษะที่เขาอาจเรียนรู้เพิ่ม นี่ย่อมทำให้เสียใจในภายหลัง
‘แต่ว่าจะดองแต้มไว้แบบนี้ก็อาจเสียใจทีหลังเหมือนกัน’
การเพิ่มค่าสถานะให้ส่งผลออกมาใช้เวลาโดยคร่าวสิบวินาทีเป็นอย่างน้อย
ผิวเผินดูเป็นเวลาอันสั้น แต่ก็เพียงพอทำให้เสียชีวิตในสนามรบได้
หากอินกองตายทุกอย่างก็สูญเปล่า และการเพิ่มศักยภาพเป็นสิ่งจำเป็นในการเผชิญหน้ากับศัตรูที่เก่งกาจอย่างเช่นจีราดหรือผู้พิทักษ์
‘ใช้แค่นิดหน่อยแล้วดองที่เหลือไว้เหมือนเดิมละกัน’
อินกองตัดสินใจได้ในที่สุด เขาเพิ่มค่าสถานะความคล่องแคล่ว ความสามารถ ความทนทาน และความแข็งแกร่งขึ้นอย่างละเจ็ดหน่วย
ความคล่องแคล่วและความสามารถส่งผลให้เคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรทรงพลังมากขึ้น ส่วนความทนทานและความแข็งแกร่งส่งผลให้อินกองสามารถใช้เคล็ดวิชานี้ได้บ่อยครั้งมากขึ้น
เขาใช้แต้มเพิ่มเติมไปทั้งสิ้นยี่สิบแปดหน่วย หลงเหลือแต้มอยู่สิบหน่วย
อินกองหลับตาตั้งสมาธิไปทั่วร่างกาย ค่าสถานะเจ็ดหน่วยทำให้ค่าสถานะของเขาเพิ่มขึ้นเกินร้อยละสิบ หากสังเกตจดจ่อย่อมเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง
‘ไม่รู้สึกว่าอึดหรือถึกขึ้นซักนิด หรือจะชำนาญอะไรก็ไม่มี’
แต่อย่างน้อยอินกองก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากความคล่องแคล่ว เขาสามารถเหวี่ยงหมัดได้รวดเร็วและแม่นยำมากกว่าเดิม
‘บางทีเราน่าจะเพิ่มค่าสเน่ห์ไปด้วย’
อินกองใช้มือแตะริมฝีปากของเขาและยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เขาลบจินตนาการฟุ้งซ่านออกไปจากความคิดแล้วตรวจดูทักษะ
[มหาดเล็กราชวัลลภ ขั้น2]
เลเวลยี่สิบห้าเป็นระดับขั้นพิเศษ หลายทักษะต่างเพิ่มระดับขึ้นอย่างอัตโนมัติ
หนึ่งในบรรดาทักษะที่เห็นได้ชัดเจนก็คือมหาดเล็กราชวัลลภ
ทักษะขั้นสองเพิ่มจำนวนองครักษ์จากสองเป็นสี่ และเพิ่มประสิทธิภาพของรับสั่งอีกด้วย
[รับสั่ง: เรียกอัญเชิญองครักษ์ให้ปรากฏตัวตรงหน้า(ในสามวันสามารถใช้ได้หนึ่งครั้ง)]
เงื่อนไขที่ว่าต้องเป็นหัวหน้าองครักษ์เท่านั้นได้หายไป ในตอนนี้อินกองสามารถเรียกองครักษ์ตนใดก็ได้ไม่จำกัดเพียงคารัค
‘แต่ตอนนี้ก็มีแค่กัมมะละนะ’
อินกองอยากลองเรียกกัมมะแต่ก็เฉลียวใจขึ้นได้ เขาไม่รู้ว่ากัมมะกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ และเงื่อนไขที่ว่าเขาสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวในสามวันก็ดูเกินกว่าจะมองข้าม วันพรุ่งนี้อาจเกิดเหตุจำเป็นให้เขาต้องใช้รับสั่งก็เป็นได้
‘ตอนนี้ที่ต้องคิดก็คือจะเอาใครมาเป็นองครักษ์เพิ่มดี’
ชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือดาฟเน่
ถึงแม้จะบอกได้ยากว่านางสังกัดกับอินกองหรือเฟลิซี แต่นางก็ได้ช่วยเหลืออินกองในการรบมาแล้วหลายครั้ง และเมื่อรวมถึงความสามารถในด้านดรูอิดและวิญญาณ ดาฟเน่ถือเป็นบุคลากรที่หาตัวได้ยากยิ่ง
‘อาจจะยากอยู่บ้าง… แต่เราก็อยากได้เคทลินกับเฟลิซี’
นั่นจะทำให้เขาสามารถใช้ทักษะรับสั่งกับทั้งสองได้
ที่ผ่านมาอินกองใช้รับสั่งเรียกคารัคเพื่อหลบหนีจากสถานการณ์วิกฤต หากเขาสามารถใช้ทักษะเรียกเคทลินหรือเฟลิซีได้ ก็ย่อมสามารถช่วยให้ทั้งสองหลุดจากสถานการณ์คับขันได้
‘ไว้ค่อยหาโอกาสคุยกับทั้งสองอีกทีแล้วกัน’
ยิ่งเมื่ออินกองต้องการจะขึ้นเป็นจอมมารด้วยแล้ว ทั้งสองเป็นบุคลากรที่จำเป็น
‘กลับมาดูปัจจุบันก่อนดีกว่า’
เมื่อทักษะมหาดเล็กราชวัลลภเพิ่มระดับขึ้น แน่นอนว่าความสามารถเพิ่มเติมขององครักษ์ย่อมเพิ่มขึ้นไปด้วย บางทีอินกองอาจใช้สิ่งนี้ต่อรองได้
ต่อมาอินกองก็ตรวจดูทักษะเกี่ยวกับการต่อสู้ รวมถึงเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุร
ในครั้งนี้อินกองตัดสินใจเพิ่มระดับขั้นทักษะได้อย่างไม่ลังเล
ลมปราณ กับ อิเนีย
ลมปราณย่อมทำให้เขาสามารถใช้ทุกอย่างเกี่ยวกับลมปราณได้ดีขึ้น ส่วนอิเนียก็เป็นทักษะพิเศษเพียงหนึ่งเดียวที่เขาใช้แต้มเพิ่มขั้นได้ตอนนี้
ถึงกระนั้นอิเนียเป็นถึงวิชาลับของเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ ย่อมทำให้ทักษะนี้ต้องการแต้มทักษะจำนวนมากในการเพิ่มระดับ หลังจากที่อินกองเพิ่มระดับลมปราณ แต้มทักษะก็เหลืออยู่ไม่มาก เขาจึงตัดสินใจที่จะเก็บแต้มที่เหลือไว้แทน
‘บางทีเราน่าจะฝึกพวกทักษะยิบย่อย’
การเพิ่มระดับทักษะในกลุ่มนี้ย่อมส่งผลไม่มาก
หลังจากที่อินกองจัดการทักษะของเขาเรียบร้อย เขาก็ล้มตัวลงนอน
เขานึกถึงสิ่งที่แสงสุดท้ายพูดทิ้งท้ายเอาไว้
สี่เภทภัยวินาศฉิบหาย…
‘อาณัติ’
สตรีชุดขาวประดับมงกุฎทองพร้อมนัยน์ตาสองสี…
นางมิเคยเรียกร้องอะไรจากอินกอง แสงสุดท้ายยังกล่าวไว้ว่าบางทีนางอาจยอมจำนนต่ออินกองเสียด้วยซ้ำ
อินกองพยายามระลึกภาพของนาง ดวงตาคู่นั้นพร้อมด้วยถ้อยคำอันเศร้าสร้อย ถ้อยคำที่ว่าเขาเป็นความหวังเพียงหนึ่งของนาง
พวกโง่งม ลุ่มหลงใคร่ในหายนะ…
อินกองรู้สึกว่ามันช่างเหลือเชื่อ
นางกำลังหลอกเขา? หรือนางต้องการให้เขามีชะตาที่แตกต่างไปจากอาชาที่เหลือ?
อาชาแห่งอาสัญ
ผู้อยู่เบื้องหลังการจู่โจมกรีนวินด์ ผู้พิทักษ์แห่งที่ราบอินคา และยังการจู่โจมคาฟร่า ผู้พิทักษ์แห่งป่าแมงมุม
จุดประสงค์คืออะไร? การจู่โจมผู้พิทักษ์เชื่อมโยงอะไรกับจุดจบของโลก?
พวกนั้นจะนำโลกไปสู่จุดจบอย่างไร?
หากจุดจบไม่ใช่เป้าหมายของอาชาแห่งอาสัญ แล้วเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร?
‘นายท่าน’
เสียงของกรีนวินด์ดังแทรกขึ้นท่ามกลางความสับสน อินกองลืมตามองเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนาง
“คุยกับคาฟร่าสนุกมั้ย?”
นับตั้งแต่พวกเขาเข้ามายังวัดต้นไม้ กรีนวินด์ก็ใช้เวลาอยู่กับคาฟร่า
กรีนวินด์ผงกศีรษะ
“สนุกมากเลย คาฟร่าเป็นเด็กดีที่น่ารักมาก แต่เรื่องนั้นไว้ก่อน ทำไมข้าถึงได้กลิ่นอะไรบางอย่างจากนายท่าน”
“หา?”
กรีนวินด์ไม่พูดตอบอะไรก่อนจะลอยตัวเข้ามาใกล้แล้วเริ่มดมตามตัวอินกอง
“หรือจะเป็นกลิ่นของผู้พิทักษ์? ไม่สิ ไม่ใช่กลิ่นของคาฟร่า… หรือจะเป็นแสงสุดท้าย?”
นางเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะโผเข้ากอดอินกอง ต่างจากการกอดทั่วไป นางพยายามใช้ตัวนางถูไถอินกองและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ประทานโทษเถอะ กีวี่?”
“ข้าใช้กลิ่นของข้ากลบตัวนายท่านอีกครั้ง ข้าไม่ชอบเวลานายท่านมีกลิ่นแปลกปลอมติดตัว”
กรีนวินด์ใช้แก้มของนางคลอเคลียไปตามไหล่ของอินกอง แต่แทนที่จะรู้สึกเขินอาย อินกองกลับรู้สึกจักจี้ขบขัน
“จะบอกว่าหึงสินะ?”
“ก็บางที”
หากเป็นเฟลิซี นางจะพยายามพูดแก้ต่างด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่กรีนวินด์ก็คือกรีนวินด์ นางเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อินกอง นิ้วอันเรียวยาวของนางสัมผัสกับริมฝีปากของเขา
“เอ่อ ขอโทษครับ?”
“ตรงนี้มีกลิ่นติดอยู่มากที่สุด ข้าจะลบมันออกซะ”
ปัญหาก็คือนางจะใช้วิธีอะไร ‘ลบ’ มันออก?
ใบหน้าของกรีนวินด์เคลื่อนใกล้เข้ามา ลมหายใจของนางสัมผัสริมฝีปากของอินกอง ต่างไปจากความรุ่มร้อนของแสงสุดท้าย อินกองสัมผัสถึงสายลมเย็นโชย
ทันใดนั้นเอง…
“องค์ชาย!”
เสียงดังจากประตูที่เปิดอย่างกระทันหันทำให้อินกองสะดุ้งรีบถอยห่างจากกรีนวินด์ เขารีบลุกขึ้นหันไปถามเจ้าออร์คตัวการ
“เฮ้อ… มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
อินกองถอนหายใจพลางถามคารัค อย่างที่เขาคอยย้ำคิด พระเอกตัวจริงคือคารัคหรือบางทีก็เป็นเพียงแค่จังหวะเวลา
‘ไม่สิ ต้องเรียกว่านี่เป็นเพราะพลังพระเอกมากกว่า’
“องค์ชาย?”
“ไม่มีอะไร ผมก็แค่รู้สึกทั้งขัดใจและดีใจ”
อินกองนั่งลงอีกครั้ง คารัคหัวเราะพลางเดินเข้ามา
“แกก็พูดเกินไป”
“แล้วตกลงมีเรื่องอะไรกัน?”
อินกองถามกลบเกลื่อนถึงจุดประสงค์ขององครักษ์หลัก
“เจ้าแรคคูนหาตัวองค์ชายอยู่”
&
“วัตถุดิบไม่พอฮะ!”
อมิตาภาร้องโวยวายหลังจากขอดูชิ้นส่วนมังกรดำ
“หนังมังกรดำรวมถึงกระดูก… นี่ยังไม่ดีพออีกหรือ?”
“นั่นมันก็แค่วัตถุดิบหลักฮะ อมิตาภาต้องการส่วนประกอบอื่นๆอีกฮะ! จะบอกให้อมิตาภาใช้แค่หนังทำร้องเท้าหรือไงฮะ?”
ในการสร้างเกราะเท้า จำเป็นต้องใช้ส่วนประกอบหลายอย่างในการยึดติดชิ้นส่วนหนังให้เข้ารูป
เกราะเท้าเกล็ดมังกรของอินกองก็มิได้ใช้เพียงเกล็ดมังกรเช่นกัน แต่ยังรวมไปถึงโลหะเบาและอัญมณีหลากหลาย
คารัคที่อยู่ถัดจากอินกองพูดโพล่งขึ้น
“หืม? แรคคูนเป็นช่างฝีมืออันดับหนึ่งไม่ใช่รึ? จะบอกว่าแกไม่มีชิ้นส่วนอื่นๆเลยรึไง?”
คารัคยกเรื่องชื่อเสียงขึ้นท้าทายอมิตาภา ก่อนเจ้าแรคคูนจะชูหลังมือตอบกลับ
“ก็เล่นสั่งกันเข้ามาเยอะแยะนี่ฮะ! อมิตาภาต้องทำอุปกรณ์ใหม่เป็นสิบชิ้นเลยนะฮะ! ครั้งแรกในชีวิตที่อมิตาภาถูกใช้แรงงานทาสขนาดนี้เลยฮะ! ในฐานะช่างอันดับหนึ่งอมิตาภาต้องเก็บรายละเอียดทุกอย่างทุกชิ้นด้วยฮะ! นี่ไม่ใช่โรงเหล็กฮะ โรงงานนรกชัดๆเลยฮะ! แล้วไหนจะเกราะครบชุดอีกฮะ! อ๊ากกกกก ครบชุด!”
ภาพอมิตาภาเย็บหนังอย่างเหงื่อแตกแข่งกับเวลาผุดขึ้นมาในหัวอินกอง เขาพยายามกลั้นหัวเราะพูดตอบออกไป
“ขอบคุณครับ”
อมิตาภาใช้มือทั้งสองกุมหน้าเอาไว้ ก่อนจะถอนหายใจตอบกลับอย่างยอมจำนน
“ขอบคุณฮะ เอาเป็นว่าถ้าอยากได้ของที่คุณสมบัติครบถ้วนก็ช่วยไปหาส่วนประกอบมาเพิ่มฮะ วัตถุดิบหลักๆมีครบหมดแล้วเพราะงั้นก็ไม่ต้องใช้อะไรมากฮะ”
“ต้องใช้วัตถุดิบอะไรไหนบ้าง? ต้องให้ข้าไปเอาอะไรเพิ่มจากวังจอมมารไหม?”
อมิตาภาส่ายหน้าให้กับคำถามของคารัค
“ถ้าเดินทางขึ้นเหนือจากที่นี้ไปเล็กน้อยก็จะเจอทะเลสาบสุริยันฮะ… มองแบบนั้นหมายความว่าอะไรฮะ?”
“อ่า ไม่มีอะไรครับ อธิบายต่อเลย”
ทะเลสาบสุริยันใกล้เคียงรังของหนึ่งในหกมังกรบรรพกาล พญามังกรหัวรุนแรงไคทีน หรือก็คือจุดหมายเดินทางสุดท้ายของคณะอินกองก่อนพวกเขาจะกลับวังจอมมาร ทำให้สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง
อมิตาภาหรี่ตามองอินกอง ก่อนจะหยิบกล้องยาสูบออกมาแล้วอธิบายต่อ
“มีอสูรโลหะป้วนเปี้ยนอยู่แถวทะเลสาบสุริยันฮะ พวกมันแข็งแกร่งพอสมควรแต่ก็ไม่น่าจะคณนามือหรอกฮะ เก็บมาซักหน่อยฮะ แล้วอมิตาภาจะเขียนรายชื่อส่วนผสมอื่นให้เก็บมาด้วยฮะ”
อมิตาภาจดบางอย่างลงในม้วนกระดาษแล้วส่งให้คารัค เจ้าออร์คคลี่ออกหรี่ตาอ่าน
“ตัวหนังสือแกเล็กอ่านยากมาก”
“อมิตาภามือเล็กนี่ฮะ”
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ”
คำตอบของคารัคทำให้อมิตาภาใช้หางตบพื้นอย่างไม่พอใจ
“อ๊าก จะบ้าตายแล้วฮะ อมิตาภาขอตัวไปเตรียมการก่อนฮะ”
“เข้าใจแล้ว งั้นพวกเราก็เตรียมออกเดินทางกันเถอะ”
อินกองพูดพลางเดินออกจากห้องของอมิตาภา