อินกองเดินกลับมาที่ทางเข้าวัดต้นไม้ สมาชิกทั้งหมดรวมตัว

 

 เคทลิน เฟลิซี ซิลวาน เซร่า เดเลีย ดาฟเน่ และคารัค รวมทั้งหมดแปดตน

 

“ฉัตร… ฉันได้กลิ่นแปลกๆจากฉัตร”

 

 เมื่อทั้งหมดมารวมตัวกัน เคทลินก็เริ่มดมกลิ่นอย่างกระทันหัน นางหลับตาลงเพ่งสมาธิไปยังประสาทรับรู้ จมูกของนางเคลื่อนมาบริเวณไหล่ของอินกอง

 

 เฟลิซีที่อยู่ถัดจากอินกองไปทางด้านขวาหัวเราะให้กับท่าทางของเคทลิน

 

“เคทลิน จมูกไวเหมือนหมาเลย?”

 

 แม้จะฟังดูไร้มารยาท แต่เคทลินก็เป็นลูกครึ่งไลแคนโทรปหมาป่า

 

 ความจริงก็คือเผ่าไลแคนโทรปมีประสาทสัมผัสการดมกลิ่นเป็นเลิศ

 

 ระหว่างที่เคทลินยังคมดมกลิ่น เฟลิซีก็เริ่มสนใจขึ้นมา นางหลับตาและเริ่มเลียนแบบเคทลิน

 

“หืม? มีกลิ่นหอมบางอย่าง กลิ่นคล้ายผลไม้ หรือจะเป็นเอกลักษณ์ของคนธรรพ์?”

 

 คนธรรพ์เป็นเผ่าที่มีพรสวรรค์ในด้านการร้องรำทำเพลง ร่างกายส่งกลิ่นหอม ฉัตรมีสายเลือดของคนธรรพ์นั่นทำให้เขาแสดงเอกลักษณ์ประจำเผ่าออกมา ในลักษณะเช่นเดียวกับที่เคทลินเป็นลูกครึ่งไลแคนโทรป

 

 อินกองแสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาพยายามรักษาสมดุลร่างกายไม่ให้ล้มท่ามกลางการดมกลิ่นของสาวงามทั้งสอง

 

 ซิลวานที่มองดูอย่างอิจฉาสะกิดหลังของเฟลิซี

 

“ลิซซี่ อปป้าก็มีกลิ่นหอมเหมือนกันนะ?”

 

“มากเกินไป ใช้น้ำหอมน้อยลงเถอะ”

 

 เฟลิซีตอบสวนกลับโดยไม่เหลียวหลังทำให้ซิลวานทรุดลงกับพื้น นางยังคงดมกลิ่นต่อ

 

“จริงอย่างที่เคทลินบอก ฉันรู้สึกถึงกลิ่นบางอย่างผิดแปลกไปจากปกติ?”

 

 นางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ทำให้มีเสียงใหม่ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลังอินกองทันที

 

“ข้าลบมันไปแล้วนิ?”

 

 กรีนวินด์ปรากฏกายขึ้นเข้าถูไถอินกอง

 

“กรีนวินด์? ลบอะไรหรือ?”

 

 เฟลิซีถามนาง เคทลินหยุดดมกลิ่นแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัยเช่นกัน

 

 ระหว่างที่อินกองอยู่ในที่นั่งลำบาก คารัคก็พูดตัดบทขึ้น

 

“เลิกเล่นได้แล้วองค์ชาย”

 

 คารัคฉุดซิลวานที่ล้มลงขึ้นพลางหัวเราะ

 

“ข้าเป็นองค์รักษ์ขององค์ชาย ข้าทนเห็นแกอยู่ในสภาพนั้นไม่ไหวหรอกนะ”

 

 คารัคมองไปยังอินกองที่อยู่ท่ามกลางโฉมงามทั้งสองแล้วผงกศีรษะ

 

 เป็นสัญญาณกระตุ้นอินกอง เขาพูดขึ้นเสียงดังเริ่มหัวข้อสนทนา

 

“เอาละมาเตรียมตัวเดินทางไปทะเลสาบสุริยันกันเถอะ อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ จุดประสงค์แรกก็คือรวบรวมวัตถุดิบให้อมิตาภา ส่วนอีกประการก็อย่างที่รู้กันแล้ว?”

 

 กรีนวินด์ถอยกลับออกมาพร้อมกับเฟลิซีและเคทลิน

 

 แล้วเฟลิซีก็พูดเสริมอินกอง

 

“ใช่แล้ว คำใบ้ที่มีในห้องทะเบียนของปราสาทธันเดอร์ดูมชี้มายังที่นี่ แล้วในตอนแรกฉันก็แจ้งไปยังวังหลวงว่าจะเดินทางมาสำรวจทะเลสาบสุริยันด้วย”

 

 รายงานเท็จมีความผิดในระดับหนึ่ง การที่สามารถตัดปัญหาเรื่องนี้ไปได้ถือเป็นเรื่องที่ดี

 

“ซากโบราณใต้ทะเลสาบ… แค่พูดถึงก็น่าสนใจแล้ว”

 

 เคทลินแสดงสีหน้าคาดหวังออกมา

 

 คารัคถามกลับ

 

“แล้วจะเอายังไงกับกัมมะ? นางน่าจะกลับมาพร้อมกำลังเสริมในไม่กี่วัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่เจ้าแรคคูนจะดีหรือ?”

 

 ม้าเร็วทั้งสองถูกส่งไปขอกำลังเสริม พวกเขาส่งข้อความไปหาโรบินผ่านทางเครื่องมือสื่อสารบนเรือเหาะของซิลวานเรียบร้อย แต่กัมมะได้ออกเดินทางมาพร้อมกำลังเสริมชุดแรกก่อนหน้านั้นแล้วจึงเป็นปัญหา

 

 อินกองรู้ว่ากัมมะมีฝีเท้าที่เร็ว แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่านางทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจอย่างมาก

 

 คณะของอินกองจึงต้องทิ้งผู้ส่งสารเอาไว้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ หากหน้าที่นี้สามารถทิ้งให้เป็นภาระของอมิตาภาได้ก็จะดีไม่น้อย แต่ก็อาจมีข้อคลางแคลงได้อย่างที่คารัคบอก

 

“ช่วยไม่ได้สินะ”

 

 เฟลิซีได้ข้อสรุปแล้วหันไปมองซิลวาน

 

“ซิลวานช่วยอยู่คอยอธิบายได้ไหม? พวกเราต้องการคนที่รู้สถานการณ์และสามารถปกป้องป่าแมงมุมได้ในเวลาเดียวกัน”

 

“อืม สิ่งที่หน้ากลัวที่สุดก็คือการจู่โจมกระทันหันหลังจากที่ทุกอย่างจบลง ทิ้งซีพิร่าไว้พร้อมทหารหนึ่งกองน่าจะพอ”

 

 ซิลวานลูบคางใช้ความคิดพลางพูดอย่างวางท่า คารัคถามแทรกขึ้น

 

“ซีพิร่าใช่หัวหน้ากองคนนั้นสินะ? ที่เป็นสาวงามผมม่วง?”

 

“ใช่แล้วนางคือที่ปรึกษาของซิลวาน จะว่าไปแล้วเจ้าเห็นนางเพียงครั้งเดียวก็จำได้เชียวรึ?”

 

 คำถามของเฟลิซีเรียกสายตาอันเฉียบคมของเซร่า เดเลีย และดาฟเน่ไปยังคารัคทันที

 

 เจ้าออร์คตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

 

“การจำแนกบุคลากรถือว่าสำคัญ ยิ่งหน้าตาของทหาร ถ้ามีพวกสอดแนมเข้ามา การจำหน้าทหารไม่ได้ยิ่งอันตรายไม่ใช่หรือ? การจำหน้าดีเสียกว่าการจำชื่อ”

 

 นี่แสดงให้เห็นว่าคารัคจดจำใบหน้าและลักษณะของลูกเรือซิลวานทั้งหมดไว้เรียบร้อย

 

 ซิลวานมองคารัคอย่างเหลือเชื่อพลางกระซิบถามเฟลิซี

 

“ลิซซี่ ไอ้นั่นใช่ออร์คจริงๆหรือ?”

 

“ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน อยากจะลองชำแหละชี้ชัดซักครั้ง”

 

 คำพูดของเฟลิซียากจะบอกได้ว่านางพูดเล่นหรือพูดจริง เดเลียจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม

 

“คารัคสามารถมาก เขาสมเป็นองครักษ์ของเจ้าชาย”

 

“สุดยอดมากๆ”

 

 เซร่ากล่าวชื่นชมในลักษณะเคทลิน และแน่นอนว่าดาฟเน่ก็ไม่นิ่งเฉย

 

“เป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้ตลอดเวลา”

 

 ซิลวานจ้องมองคารัคอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง คารัคเกาหัวพลางหัวเราะ

 ไรจูววววว เอ็กซ์โปลดดดดดด

 

“ข้าก็แค่ทำตัวให้สมกับที่เป็นองครักษ์”

 

 ทั้งสามมองคารัคอย่างอบอุ่น อินกองหันไปมองเฟลิซีแล้วทั้งสองต่างหัวเราะ ก่อนเฟลิซีจะพูดสรุปขึ้นอีกครั้ง

 

“เอาละนั่นก็คือทั้งหมด พวกเราพร้อมเริ่มเดินทางกันหรือยัง? ซิลวานช่วยกรุณาด้วย”

 

 คำขอจากเฟลิซีทำให้ซิลวานพยักหน้าในทันที

 

“ไว้ใจอปป้าได้เลย”

 

 ซิลวานเดินออกจากวัดต้นไม้ไปรวมลูกเรือ เฟลิซีมองดูซิลวานพร้อมเหล่าลูกเรือเตรียมการเดินทาง

 

“อปป้านี่หลอกง่ายดีจริง”

 

 อินกองแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรพลางเดินออกจากวัดพร้อมคารัค เรือเหาะของซิลวานที่มีชื่อว่า ‘เพลิงมังกรทมิฬ’ กำลังถอนสมอเตรียมล่องสู่ท้องฟ้า

 

 หลังจากนั้นยี่สิบนาที…

 

“เพลิงมังกรทมิฬเชียร์! พร้อม!”

““““พร้อม!””””

“เริ่มได้!”

 

 ซิลวานชักดาบของเขาขึ้นพร้อมร้องตะโกน ตามมาด้วยเสียงตอบรับจากเหล่าลูกเรือ เครื่องยนต์เวทมนตร์เริ่มทำงานแล้วเรือใบก็เริ่มลอยตัว

 

“ลมโชย! ท่องนภา, เพลิงมังกรทมิฬ ฮ่าไฮ่!”

““““โบยบิน!””””

““““ล่องลอย!””””

 

 ลูกเรือทั้งหมดหน้าแดงก่ำ ซีพิร่าและหน่วยทหารที่อยู่ด้างล่างต่างแสดงสีหน้าว่าพวกตนโชคดี

 

“น่าขายหน้าที่สุดดดดดดดด”

 

 เฟลิซีพึมพำพลางก้มตัวลงราวกับต้องการหลบจากสายตาทั้งหมด นางแสดงท่าทางแทนบรรดาเหล่าลูกเรือ

 

&

 

 เพลิงมังกรทมิฬเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเผ่าเอลฟ์รัตติกาล

 

 ชื่อเดิมของมันคือ แบล็คอาร์ค

 

 ด้วยความที่เผ่าเอลฟ์รัตติกาลยึดถือในสตรีเพศ ตระกูลดูมเบลดจึงสืบทอดต่อโดยบุตรสาวที่ดีที่สุด ส่วนบุตรชายที่ดีที่สุดจะได้รับสืบทอดแบล็คอาร์คแทน นี่เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบเนื่องต่อกันมา

 

 ลูกจากบุตรชายจะไม่ถือว่าเป็นตระกูลดูมเบลด หรือก็คือตระกูลจะสืบผ่านทางสายเลือดฝั่งแม่เท่านั้น นั่นหมายความว่าแบล็คอาร์คก็จะกลับสู่ตระกูลดูมเบลดสายเลือดหลักเสมอ

 

 ซิลวานรับสืบทอดเรือแบล็คอาร์คมาจาก ลีโอนาโด้ ดูมเบลด ผู้เป็นพี่ชายของราชินีซิลเวีย

 

 และการที่ซิลวานเพิ่งบรรลุนิติภาวะมาเพียงหนึ่งปี จึงหมายความว่าซิลวานรับสืบทอดเรือแบล็คอาร์คมาเพียงหนึ่งปีเช่นกัน

 

 การขับขี่โดยมือสมัครเล่นย่อมเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเล็กน้อย แต่การเดินทางของคณะอินกองบน ‘เพลิงมังกรทมิฬ’ ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ระยะทางที่ต้องใช้เวลาหลายวันถูกร่นลงเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง

 

 อินกองใช้เชือกมัดข้อมือเขาเอาไว้ก่อนปืนขึ้นเสากระโดง เขาอยู่ที่ความสูงราวสองร้อยเมตรทำให้มีลมแรง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อการสังเกตการณ์

 

 ทะเลสาบสุริยัน…

 

 สถานที่ที่อินกองเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้งในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า

 

 อสูรโลหะที่อมิตาภากล่าวถึงมีชื่อเรียกว่า คาลโตส พวกมันมีผิวที่กันการเกาะตัวของน้ำโดยธรรมชาติ ทำให้พวกมันสามารถอาศัยอยู่ในทะเลสาบได้โดยไม่มีปัญหา

 

 แน่นอนว่าอุปกรณ์ที่สร้างโดยชิ้นส่วนจากคาลโตสจะได้รับคุณสมบัติป้องกันน้ำไปด้วย

 

‘ฟาร์มพวกมันจนเบื่อหน้าไปเลยช่วงนึง’

 

 ด้วยเหตุผลที่ว่าอินกองคุ้นเคยกับอสูรโลหะเหล่านี้ดี ทำให้เขาคุ้นเคยกับจุดอ่อนของพวกมันด้วย เขามั่นใจว่าสามารถรับมือกับพวกมันจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย

 

‘รัศมีเทพ’

 

 หนึ่งในพลังวิเศษทั้งสี่อันได้แก่ ลมปราณ พลังจิต เวทมนตร์ และรัศมีเทพ

 

 และในขณะเดียวกันมันก็เป็นจุดอ่อนของพวกคาลโตส

 

 พันธมิตรร่วมกับแสงสุดท้ายทำให้รัศมีเทพในตัวของเขาตื่นขึ้น

 

‘แต่เวทมนตร์กับรัศมีเทพใช้ร่วมกันลำบาก’

 

 พลังจากธรรมชาติกับพลังจากปาฏิหาริย์ย่อมไม่เข้ากัน

 

 และเช่นเดียวกับโลกมนุษย์ ที่โลกมารก็มีเทพอยู่หลายองค์

 

 อย่างฟลอร่าที่คอยดูแลคฤหาสน์ของอินกองก็เป็นสาวกของเทพีคาอีล่า เทพีแห่งความฝันและเงา

 

 สาเหตุที่แซเฟียร์ไม่ใช้รัศมีเทพก็เป็นเพราะมันต่อต้านกับเวทมนตร์ของเขา

 

‘แต่เราต่างออกไป’

 

 อินกองรวบรวมรัศมีเทพขึ้นที่มือขวาของเขาพลางครุ่นคิด ภายในนั้นมีประกายสีเขียวที่ย้ำเตือนเขาถึงแสงสุดท้าย

 

 อินกองลองเสริมพลังเวทเข้าไป พลังที่สองแตกชั้นกันก่อนจะทยอยรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว

 

 กายาชาตรี

 

 ทักษะเสริมจากพลังพระเอกที่สามารถรวมกระทั้งพลังของเอนคิดูและอันเคลที่ตรงข้ามกัน

 

 จะเกิดอะไรขึ้นหากเวทมนตร์และรัศมีเทพสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างกลมกลืน? และหากเขาเสริมลมปราณเข้าไปด้วยก็จะกลายเป็นสามพลังวิเศษ

 

 อินกองหายใจอย่างตื่นเต้นก่อนจะเบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น ทะเลสาบขนาดใหญ่เรืองแสงสีทองระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้าสีแสด

 

 ทะเลสาบแห่งนี้เรืองแสงสีทองทั้งในยามกลางวันและกลางคืน จึงเป็นที่มาของชื่อสุริยัน

 

 อสูรโลหะเป็นกลุ่มเดียวที่อาศัยบริเวณทะเลสาบนี้

 

 ทว่าก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า‘ผู้เฝ้าทะเลสาบ’ที่เปรียบเสมือนหัวหน้าของพวกมัน

 

‘น่าจะได้เวลาที่ไอ้นั่นโผล่มาละ’

 

 ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่อง มีบางอย่างผุดขึ้นจากกลางทะเลสาบ

 

 ฉายาตัวดูดปัญหาที่อินกองพยายามปฏิเสธมาตลอด

 

 ความพยายามปฏิเสธของเขาจะได้ผลหรือไม่?

 

“งูทะเลยักษ์? ในทะเลสาบ?”

 

 บรรดาลูกเรือที่เห็นต่างส่งเสียงร้องอย่างประหลาดใจ อินกองได้แต่กัดฟันกำหมัดแน่น

 

 เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น บรรดาลูกเรือต่างเข้าประจำตำแหน่งรบ

 

“งูทะเลยักษ์?”

 

 ซิลวานจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเคร่งเครียด อสรพิษตัวนั้นจ้องมองมายังเรือเหาะของพวกเขาเช่นกัน

 

 งูทะเล…

 

 สัตว์ชั้นต่ำในตระกูลมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเล

 

 ลำตัวของมันยาวราวห้าสิบเมตร มันถือเป็นสัตว์อสูรที่ดุร้าย

 

 ผู้เฝ้าทะเลสาบ สัตว์อสูรที่เรียกว่าแข็งแกร่งและต่อกรได้ยากเพราะมันอาศัยอยู่ในทะเลสาบ

 

 แต่ไม่ใช่วันนี้

 

“ปฐมเพลิง”

 

 อินกองเรียกใช้ทักษะที่ได้รับจากแสงสุดท้าย

 

 เปลวเพลิงสีเขียวลุกขึ้นชโลมเกราะเท้าเกล็ดมังกร อินกองสวมพสุธากัมปนาทกับไวท์อีเกิ้ล เขาปลดสายนิรภัยที่รัดเอวไว้

 

“ฉัตร?”

 

 ซิลวานจ้องมองอินกองอย่างสับสน เฟลิซีโบกพัดของนางอย่างผ่อนคลายพลางหันมาถามราวกับนางกำลังพักผ่อน

 

“เธอจะลุยสินะ?”

 

“ครับผม พวกเราต้องสำรวจใต้ทะเลสาบนิดหน่อย”

 

 อินกองหัวเราะตอบกลับ ซิลวานยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คารัคหันมาแสยะยิ้มให้อินกองก่อนมันจะหันกลับไปคุยกับเดเลีย

 

“อาซคาลัน”

 

 ผลงานชิ้นเอกในกลุ่มอาวุธพิฆาตมังกร

 

 อาวุธอันร้ายกาจที่ถูกใช้สังหารมังกรพาติซานในปราสาทธันเดอร์ดูม

 

 ไม่มีการต่อต้านระหว่างพสุธากัมปนาทและอาซคาลันอย่างคราวก่อน อินกองกำหอกสีขาวไว้ในมือพลางหันไปทักเคทลิน

 

“ขอโทษนะครับนูนะ”

 

 เคทลินเอียงคอสงสัยในท่าทางขอขมาของอินกอง

 

 แม้อินกองจะไม่อยากใช้วิธีนี้ แต่นี้เป็นหนทางที่รวดเร็วที่สุด เพื่อลดเวลาลงแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

 

 โลหิตมังกร…

 

 พลังแฝงของร่างมังกรจำแลง

 

 พสุธากัมปนาทส่งเสียมคำรามออกมา พร้อมกับการสั่นเทาต่อต้านจากอาซคาลัน

 

 สิ่งที่อินกองยากจะทานทนในปราสาทธันเดอร์ดูมเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เขาเตรียมวิธีรับมือเอาไว้แล้วในครั้งนี้

 

 ด้วยแก่นจันทราและแก่นบริวาร

 

 อินกองดึงพลังจากตัวเคทลินเช่นเดียวกับที่เขาทำยามต่อสู้กับภูติที่คลุ้มคลั่ง

 

 เคทลินตกใจที่พลังถูกดูดไปอย่างกระทันหันแต่ก็เพียงชั่วขณะ นางเบ้ปากแล้วพึมพำออกมา

 

“ฉัตรแย่มาก”

 

 ทำไมเสียงของนางดูน่ารักทั้งที่ถ้อยคำแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง? ยิ่งกว่านั้นท่าทางของนางกลับดู… ยินดี?

 

 อินกองรวมลมปราณไปยังหอกอาซคาลัน แน่นอนว่าทั้งพลังเวทและรัศมีเทพก็ถูกรวมไว้ที่หอกเช่นกัน

 

 อินกองไม่สนใจสายตาของซิลวานที่ยังตกตะลึง เขาเดินปีนขึ้นไปบนหัวเรือ

 

“ลุยละนะ”

 

“ลุยมันองค์ชาย”

 

 อินกองกระโดดพุ่งลงใส่ผู้เฝ้าทะเลสาบในทันทีที่เสียงตอบรับดังขึ้นจากคารัค

 

&

 

[คุณได้รับฉายา: พิชิตมังกรในคราเดียว]