ตอนที่ 76 ข้าเรียกท่านว่าแม่ได้หรือไม่?
จี้จือฮวนตบหลังอาฝูไม่หยุด ฟางจวิ่นเหมยที่มองดูอยู่ดวงตาก็แดงก่ำไปหมด
เฉินหลันหลันกับหยวนซื่อเมื่อรู้ข่าวก็รีบตามมาดูเรื่องสนุกด้วย เฉินฉือกำลังจะได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ครอบครัวของพวกเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานานแล้ว มาตอนนี้หลานของพวกเขาก็ตายแล้ว พวกนางแทบอยากจะจุดประทัดฉลองเสียด้วยซ้ำ
แต่ใครจะไปคิดว่าจี้จือฮวนจะกล้าเข้าไปช่วย เพราะหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ไม่แน่ว่าคนที่ต้องขึ้นศาลเป็นคนแรกก็คือนาง
เฉินหลันหลันคิดได้ดังนั้น ก็แสร้งเอ่ยด้วยความเป็นห่วงขึ้นมา “โอ๊ย อาฝูจะถูกนางตีจนตายไปเสียก่อนหรือไม่ เบามือหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร ไม่ใช่ลูกตัวเองก็เลยไม่สงสารสินะ”
ฟางจวิ่นเหมยกังวลจนอยากจะแย่งอาฝูกลับมา ขณะที่หยวนซื่อก็เอ่ยต่ออย่างได้ใจขึ้นมาอีกคน “คิดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดาจริง ๆ หรืออย่างไร หากอาฝูสามารถฟื้นขึ้นมาเพราะวิธีนี้ได้จริง ๆ ข้าจะยอมหอนเป็นสุนัขเลย”
สองแม่ลูกสบตากันด้วยความพึงพอใจ ความโมโหที่เกิดขึ้นจากครอบครับเผยในช่วงหลายวันมานี้ ก็ลดลงไปอย่างมากทันที
จี้จือฮวนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก่อนจะจับอาฝูคว่ำหน้าลงบนต้นขาที่ตั้งขึ้นมาของนาง ปล่อยให้ศีรษะและแขนขาของอาฝูทิ้งลงตามธรรมชาติ จากนั้นก็ใช้มือกดแผ่นหลังลงไปกับต้นขา
ทุกคนต่างก็ไม่เคยเห็นวิธีช่วยคนเช่นนี้มาก่อน พวกเขาล้วนคิดว่าจี้จือฮวนหาได้มีความสามารถไม่ คงจะแค่ทำส่งเดชไปก็เท่านั้น
ในขณะที่ฟางจวิ่นเหมยจะเข้าไปแย่งลูกคืนมานั้น
“แหวะ” ทันใดนั้นอาฝูก็ฟื้นขึ้นมา พร้อมกับสำลักเอาน้ำสกปรกออกมาจากปาก จากนั้นก็ร้องไห้เสียงดังทันที น้ำตาน้ำมูกไหลรวมกันไปหมด ทรมานราวกับจะตาย
“ฟื้นแล้ว ๆ!”
“ช่วยไว้ได้จริง ๆ สะใภ้ตระกูลเผยเป็นหมอเทวดาจริง ๆ ด้วย!”
“อาฝู!” คนในครอบครัวเหล่าเฉินไหนเลยจะยังสนใจหมอเทวดาอะไรอีก ลูกหลานไม่เป็นอะไรก็นับว่าดีที่สุดแล้ว ฟางจวิ่นเหมยรับตัวอาฝูมา พลางกอดลูกเอาไว้แนบอก จากนั้นก็โขกหัวคำนับให้จี้จือฮวนทันที
“ขอบคุณ ขอบคุณเจ้ามาก” เวลานี้ฟางจวิ่นเหมยเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ไม่มีอะไรเทียบได้กับการที่ลูกยังมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ภายภาคหน้าหากนางพูดจาว่าร้ายจี้จือฮวนอีกแม้แต่คำเดียว นางจะตีตัวเองให้ตายเลย
จี้จือฮวนเองก็เหนื่อยจนเหงื่อโชก โชคดีที่อาฝูไม่เป็นอะไร นางปัดดินบนตัวออก “เขาสูดดินโคลนเข้าไปมากเกินไป เดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ พี่ซิงก็เอาไปซื้อยาที่โรงยาฮุ่ยหมินในตำบลได้เลย อย่าให้เป็นหวัดเข้าล่ะ ไม่อย่างนั้นถึงเวลาจะลำบากเอา”
เฉินซิงพยักหน้ารับพร้อมกับขอบตาที่แดงก่ำ ภรรยากับลูกชายเกือบตาย เขาเป็นผู้ชายอกสามศอกยังไม่กล้าเข้าใกล้ แต่โชคดีที่จี้จือฮวนช่วยครอบครัวเขาเอาไว้ได้
ไม่ใช่แค่ชาวบ้านที่มามุงดูเท่านั้นที่มองจี้จือฮวนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แม้แต่สายตาของเด็กทั้งสามคนก็เต็มไปด้วยความเลื่อมใส
พวกชาวบ้านต่างก็ชมแม่เลี้ยงของพวกเขาว่าเก่งกันทั้งนั้น แต่คนพวกนั้นไหนเลยจะรู้ว่าแม่เลี้ยงของพวกเขาทำเป็นอีกตั้งหลายอย่าง เพียงแค่เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ก็สามารถทำให้พวกเขารู้สึกนับถือได้แล้ว
“สะใภ้ตระกูลเผย เจ้าใช้วิชาเซียนอะไรอย่างนั้นหรือ?” มีคนทนไม่ไหวจึงได้ถามออกมา
เผยจี้ฉือได้ยินคำถามนี้ก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที กลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าจี้จือฮวนเป็นปีศาจ เขากำลังคิดที่จะดึงจี้จือฮวนกลับบ้าน แต่นางกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่เป็นวิธีปฐมพยาบาลง่าย ๆ หากต่อไปมีสถานการณ์เช่นนี้อีก ทุกคนเพียงแค่ต้องทำให้คนคนนั้นสำลักน้ำออกมา”
พวกชาวบ้านต่างพยักหน้ารับ ในหมู่บ้านมีหมออยู่ด้วยมันดีอย่างนี้นี่เอง ต่อไปก็ไม่ต้องลำบากเข้าไปในตำบลแล้วใช่หรือไม่?
เผยจี้ฉือเห็นว่าพวกเขายอมเชื่อจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความลับที่แม่เลี้ยงเป็นปีศาจ เขาจะเก็บเอาไว้ตลอดชีวิต แม้แต่น้อง ๆ เขาก็จะไม่บอก
จี้จือฮวนสั่งยาให้กับเฉินซิง โดยให้เผยจี้ฉือเป็นคนเขียนให้ ครอบครัวท่านป้าหยางรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของนางเป็นอย่างมาก และในคืนนั้นพวกเขาก็พาฟางจวิ่นเหมยกับลูกเข้าไปตำบลทันที
จี้จือฮวนกลับไปท่ามกลางสายตาเลื่อมใสของพวกชาวบ้าน ส่วนหยวนซื่อและเฉินหลันหลันที่บอกว่าจะเห่าหอนเป็นสุนัข ทันทีที่อาฝูสำลักน้ำออกมาก็วิ่งหนีหายไปแล้ว
“อะไรนะ รักษาคนได้จริงหรือ?” เฉินไคชุนไม่อยากจะเชื่อ “สตรีผู้นั้นจะรักษาโรคอะไรได้”
ถ้ารักษาโรคเป็น เมื่อก่อนจะจนถึงเพียงนั้นหรือ เฉินไคชุนเป็นตายอย่างไรก็ไม่เชื่อ
“เป็นเรื่องจริง เจ้าดูสิ ก่อนหน้านี้ตอนเผยจี้ฉือถูกกุ้ยฟางใส่ความว่าขโมยของ ขานั่นพิการอยู่ใช่หรือไม่ แต่เป็นอยู่ไม่ถึงสองวันก็กลับมากระโดดโลดเต้นได้แล้ว ส่วนวันนี้อาฝูหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำไปแล้ว ทว่านางตบหลังแค่ไม่กี่ทีก็ฟื้นขึ้นมาจริง ๆ!” หยวนซื่อเอ่ย
เฉินไคชุนส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา จี้จือฮวนผู้นี้มาเพื่อขัดแข้งขัดขาเขาจริง ๆ
ตอนนี้ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านของเขาคงไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้แน่แล้ว เมื่อเฉินไคชุนคิดถึงเรื่องนี้ ตอนกลางคืนเขาจึงนอนไม่หลับ แค่คิดก็รู้สึกว่าตนเองสูญเสียไปมากทีเดียว
ในคืนนี้ คนที่ทุกคนในหมู่บ้านต่างพูดถึงก่อนนอนก็คือจี้จือฮวน พวกเขามีลางสังหรณ์บางอย่างว่า หมู่บ้านตระกูลเฉินเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น
…
วันต่อมา เหล่าเติ้งได้สร้างห้องทางทิศตะวันออกตามที่จี้จือฮวนต้องการเสร็จแล้ว โดยห้องของอาชิงและอาฉือทำเป็นเตียงสองชั้น อาศัยบันไดเล็ก ๆ ก็สามารถปีนขึ้นไปได้ ใต้เตียงมีลิ้นชักขนาดใหญ่สำหรับเก็บของสามช่อง
ตู้เสื้อผ้าก็ทำตามที่นางออกแบบเอาไว้ ห้องแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ตำแหน่งริมหน้าต่างมีแสงสว่างลอดเข้ามาเพียงพอ โดยอยู่ห่างจากห้องครัวและหันไปทางแปลงผักด้านนอกซึ่งเงียบสงบเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับใช้เป็นห้องหนังสือให้เผยจี้ฉือ
ตรงผนังห้องก็ทำเป็นชั้นหนังสือทั้งแถบและมีที่จับสำหรับหมุนด้วย เพื่อให้ชั้นหนังสือนั้นสามารถหมุนเลือกหนังสือได้ง่าย ๆ
ส่วนอาชิงตอนนี้ถึงวัยที่จะเริ่มเรียนได้แล้ว จี้จือฮวนจึงให้เจิ้งต้าเฉียงทำโต๊ะสำหรับเขาขึ้นมาตัวหนึ่ง เขากับอาอินจะได้สามารถมานั่งอ่านหนังสือที่ตรงนี้ได้
ตอนที่เจิ้งต้าเฉียงย้ายของแปลกใหม่เหล่านี้เข้ามาในบ้าน คนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยต่างก็อยากมาดูว่าบ้านของจี้จือฮวนสร้างไปถึงไหนแล้ว
เมื่อพบว่าเครื่องเรือนเหล่านั้นต่างก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ประหลาดใจกันเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะของเล่นของเด็กทั้งสามคนที่มีเยอะมาก จนทำให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านต่างก็อิจฉาไปตาม ๆ กัน
“อาชิง นี่คืออะไรหรือ?”
“รถสกูตเตอร์ ท่านแม่ข้าบอกว่า อันนี้สามารถใช้ฝึกการทรงตัวของข้าได้” อาชิงตบที่รถคันเล็กของตัวเองเบา ๆ นี่เป็นของที่พี่ต้าเฉียงเอามาให้เมื่อเช้านี้
ตอนนี้ในลานบ้านถูกปูด้วยอิฐสีน้ำเงิน ทั้งเรียบ ทั้งสว่าง และดูโล่งมาก อาชิงสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ บนโต๊ะมีผลไม้และยังมีของเล่นมากมาย ทำให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านล้วนแต่อิจฉาเขา
พวกเขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องมาอิจฉาลูก ๆ ของครอบครัวเผย
เมื่อก่อนพ่อแม่ของพวกเขาต่างบอกว่า ต่อไปครอบครัวเผยจะต้องหิวตาย หรือไม่ก็ต้องไปเป็นขอทาน จึงไม่ให้พวกเขามาเล่นด้วย แต่เมื่อมาเห็นบ้านของครอบครัวเผยในตอนนี้แล้ว พวกเขาจึงได้รู้ว่าบ้านของครอบครัวเผยนั้นดีมาก
ท่านป้าจี้มีของอร่อยมากมายให้พวกเขากิน พวกเขาไม่เคยกินของดี ๆ เช่นนี้มาก่อน อาชิงเองก็แบ่งของเล่นให้พวกเขาเล่นด้วย
พวกเขาไม่มีใครอยากกลับไปที่บ้านเลย
ทว่าความสนใจทั้งหมดของอาชิงตอนนี้อยู่ที่ห้องใหม่ของตัวเอง
ที่นอนหอม ๆ นุ่ม ๆ และยังกว้างขวางมากด้วย ไม่ใช่บ้านผุ ๆ พัง ๆ ที่มีน้ำฝนรั่วอีกต่อไปแล้ว
เผยจี้ฉือเองก็คิดไม่ถึงว่า เครื่องเรือนที่ทำจากแบบร่างเหล่านั้นของจี้จือฮวนจะพิเศษเพียงนี้ เขาชอบชั้นหนังสือที่หมุนได้มากที่สุดจนไม่อาจละสายตาได้ ทั้งยังมีที่ตั้งที่ทำให้เขาอ่านหนังสือได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย
“ชอบหรือไม่?” จี้จือฮวนติดกระดาษที่หน้าต่างเสร็จก็เอ่ยถามขึ้นมา
เผยจี้ฉือพยักหน้ารับหงึก ๆ “ชอบ”
“ตั้งใจเรียน เรื่องในบ้านต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลอีก” จี้จือฮวนตบไหล่ของเขาเบา ๆ และกำลังจะออกจากห้อง เผยจี้ฉือก็ดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้เสียก่อน
“มีอะไรหรือ?”
เผยจี้ฉือคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา “ข้า…ข้าเรียกท่านว่าแม่ได้หรือไม่?”
“ได้อยู่แล้ว” แม้จี้จือฮวนจะรู้สึกว่าจู่ ๆ ก็มีลูกโตเท่านี้ดูจะแปลกไปสักหน่อย แต่ว่าเผยจี้ฉือก็เพิ่งจะแปดขวบ นางจะหักหน้าของเด็กที่บอบบางเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
.
.
.