“นี่มันม้าข้า” ท่านโหวกู้เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
กู้เจียวมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย คล้ายกำลังพิจารณาอยู่ว่าประโยคนี้ของเขาจริงหรือเท็จ
ท่านโหวกู้ถูกสายตานางมองจนอกสั่นขวัญแขวน จู่ๆ ก็นึกเรื่องหมาป่าตัวนั้นขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “นั่นข้าไม่ได้โยนทิ้ง ข้าแค่ไม่ทันระวังเลยทำหายไปต่างหาก!”
แม้ของที่ทำหายจะสามารถเก็บได้ แต่หากเจ้าของที่ทำหายต้องการก็ต้องส่งคืนให้ มิฉะนั้นจะต้องโทษยึดครองสิ่งของของผู้อื่น
ตอนแรกแม่นางโจวและแม่นางหลิวเก็บเงินของบัณฑิตเสี่ยวฉินไปแล้วยืนกรานไม่ยอมคืนจึงต้องถูกลงโทษ สุดท้ายโดนโบยที่ศาลาว่าการไปยกหนึ่ง ซ้ำยังโดนปรับเงินไปจำนวนไม่น้อยด้วย
ท่านโหวกู้ย่อมไม่รู้ถึงความชั่วร้ายของคนตระกูลกู้แน่นอน ทว่าเขารู้สึกว่าเด็กสาวนางนี้ ตนน่าจะขู่ขวัญได้ “หากเจ้าไม่คืนให้ข้า จะโดนนายอำเภอจับไปโบย!”
คนชนบทไม่เคยได้ยินคำว่าท่านโหวมาก่อน แต่ต้องรู้จักนายอำเภอเป็นแน่
นายอำเภอเป็นเจ้าถิ่นขนานแท้ ไม่มีชาวบ้านคนใดไม่กลัว!
กู้เจียวฟังเขาพูดแล้วไม่ได้แย้งไปในทันที
ท่านโหวกู้รู้สึกว่าเรื่องนี้ชักสนุกขึ้นมาแล้ว!
สุดท้ายครู่ต่อมา เขาก็ได้ยินนางถามว่า “ท่านจะพิสูจน์อย่างไรว่าม้าตัวนี้เป็นของท่าน”
ท่านโหวกู้นิ่งอึ้งไป
นั่นน่ะสิ จะพิสูจน์อย่างไรดี
เพื่อออกเดินทางอย่างเรียบง่ายไม่เอิกเกริก เขาจึงไม่ได้นั่งรถม้าอันสูงส่งของตัวเองมา แต่เลือกม้าขององครักษ์ตัวหนึ่งมาแทน ขนาดสัญลักษณ์จวนโหวบนอานม้าก็ยังเช็ดทิ้ง
“เกือกม้าเหล็ก! นี่เป็นเครื่องทรงของม้าศึกในกองทัพ แตกต่างจากเกือกม้าเหล็กตามท้องตลาดทั่วไป” ในที่สุดท่านโหวกู้ก็นึกหลักฐานออก
ไม่คิดว่ากู้เจียวจะเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยเห็นเกือกม้าเหล็กอย่างอื่นมา จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่คำพูดของท่านฝ่ายเดียว”
ท่านโหวกู้สะอึก
นี่มันบัณฑิตเจอทหาร มีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้[1]ชัดๆ!
กู้เจียวเอ่ยอย่างเป็นธรรมว่า “เอาอย่างนี้ ท่านไปยื่นคำร้องที่ศาลาว่าการ หากนายอำเภอบอกว่าม้านี่เป็นของท่าน เช่นนั้นข้าก็จะคืนม้าให้แก่ท่าน”
ไปยื่นคำร้องอย่างนั้นรึ ไปอย่างไรล่ะ เดินไปรึ
ขาสองข้างของเขายังเดินไม่ไหวเลย
กู้เจียวมองเขาแวบหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากท่านต้องการจริงๆ ล่ะก็ ข้าขายให้ท่านก็ได้ เฮ้อ ข้าเก็บมันกลับมาก็ไม่ง่ายดายเลยแท้ๆ”
เจ้าลำบากอะไรกัน ตลอดทั้งทางมานี้เจ้าก็ขี่มันมาไม่ใช่หรือไร เจ้าไม่ได้แรงเดินเสียด้วยซ้ำ! หมาป่าก็ไม่ต้องแบกเอง!
ท่านโหวกู้ถูกกู้เจียวทำเอาเดือดดาลแทบจะตายอยู่รอมร่อแล้ว
ทว่าเขาก็เดินไปไม่ไหวจริงๆ
เขาต้องเข้าเมืองไปถึงจะจ้างรถม้าได้ จากตรงนี้ไปที่เมืองอย่างน้อยๆ ก็ยี่สิบสามสิบลี้ เขาเกรงว่าขาจะขาดจนเดินไม่ได้เสียก่อน
“ห้าสิบตำลึง” กู้เจียวบอก
ท่านโหวกู้เกรี้ยวกราดขึ้น “ม้าแก่ๆ ตัวหนึ่งเหตุใดจึงแพงกว่าหมาป่าอีกเล่า นี่เจ้ากำลังขึ้นราคาอย่างไร้เหตุผล!”
กู้เจียวเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “หมาป่าไม่ใช่สิ่งของที่ท่านต้องการเร่งด่วน แต่ม้านั้นใช่”
เพราะเป็นของเร่งด่วนจึงขึ้นราคาโดยไร้เหตุผล!
ท่านโหวกู้โมโหเสียจนปวดท้องไปหมดแล้ว!
สุดท้าย ท่านโหวกู้ใช้เงินห้าสิบตำลึงซื้อม้าของตัวเองกลับคืนมา
ม้าของตัวเอง สมเหตุสมผลตรงไหนกัน
…
เมื่อท่านโหวกู้กลับไปถึงหมู่บ้านในหุบเขาก็เย็นย่ำแล้ว อาทิตย์อัสดงทอแสงนวลลงบนชายคาหมู่บ้าน สะท้อนเป็นแสงจ้าสีทองอร่ามไปทั้งบริเวณ
ท่านโหวกู้ส่งม้าให้องครักษ์ในจวน ก่อนจะลากขาบวมเป่งเดินไปเรือนชั้นในซึ่งมีสี่คนพักอยู่
เพิ่งจะถึงหน้าประตู เขาก็ได้ยินเสียงทะเลาะอันดุเดือดลอยมาจากด้านใน เขาพลันขมวดคิ้ว ก้าวข้ามธรณีประตูไป เห็นคนรับใช้ในเรือนมาอยู่ที่นี่แทบจะทั้งหมด หลบอยู่หลังต้นไม้บ้าง หลังพุ่มไม้บ้าง ไม่กล้าขยับและไม่กล้าไป
ส่วนบนระเบียงนั้น ลูกชายเขาอย่างเสี่ยวกู้เหยี่ยนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟนอนอยู่บนเก้าอี้หวายซึ่งถูกบรรดาคนรับใช้จดจ้องอยู่
ข้างกายกู้เหยี่ยน มีกู้จิ่นอวี้ที่ใบหน้าดวงน้อยซีดเผือดยืนอยู่
ในอ้อมอกของกู้จิ่นอวี้กอดกระต่ายน้อยสีขาวไว้ตัวหนึ่ง
“เหตุใดจึงไม่อนุญาตให้ข้าเลี้ยงกระต่าย” กู้จิ่นอวี้ถามด้วยความไม่พอใจ
กู้เหยี่ยนแค่นเสียงเอ่ยออกมาอย่างเกียจคร้าน “ก็แค่ไม่อนุญาตให้เลี้ยง”
กู้จิ่นอวี้เอ่ยอย่างโมโหว่า “มีปัญญาเจ้าก็ว่าเหตุผลมาสักข้อสิ!”
กู้เหยี่ยนยกมือข้างหนึ่งรองท้ายทอย เอ่ยอย่างเอ้อระเหยว่า “นี่เป็นเรือนของข้า ข้าบอกว่าไม่ให้เจ้าเลี้ยง ก็คือไม่ให้เจ้าเลี้ยง!”
กู้เหยี่ยนกอดกระต่ายพลางกระทืบเท้า “นี่ก็เป็นเรือนของข้าเหมือนกัน!”
กู้เหยี่ยนแค่นเสียงเรียบว่า “เรือนของเจ้าอยู่เมืองหลวงโน่น!”
กู้จิ่นอวี้พักอยู่ที่เมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่ ไม่เหมือนกู้เหยี่ยนที่พักอยู่ที่นี่แรมเดือนแรมปี เป็นธรมดาที่กู้เหยี่ยนจะคิดว่าที่นี่ควรจะเป็นของเขามากกว่า
บรรดาคนรับใช้ไม่กล้าไกล่เกลี่ย และไม่กล้าสะบัดตูดหนีเช่นกัน เกิดพี่น้องสองคนทะเลาะกันจนเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเขารับผิดชอบไม่ไหว
ท่านโหวกู้พอจะฟังเรื่องราวออกแล้ว กู้จิ่นอวี้ชอบหมาชอบแมวมาตั้งแต่เด็ก กู้เหยี่ยนกลับรังเกียจยิ่ง พี่น้องสองคนทะเลาะกันเรื่องสัตว์เลี้ยงมาไม่น้อยแล้ว
เมื่อก่อนเขากลัดกลุ้มมาโดยตลอด พวกเขาเป็นฝาแฝดกัน เป็นคนที่สนิทสนมกันที่สุดในโลก ว่ากันตามหลักการแล้วความรู้สึกที่มีต่อกันควรจะดีมากจึงจะถูก แต่กู้เหยี่ยนกลับรังแกจิ่นอวี้ตั้งแต่พูดยังไม่ได้
กู้เหยี่ยนไม่ให้จิ่นอวี้กินนมของแม่นางเถา พอกินเขาก็จะร้องไห้ออกมายกใหญ่ และไม่ให้แม่นางเถาอุ้มจิ่นอวี้ กระทั่งขอแค่นอนลงในเปลไกวก็จะกำหมัดทุบยกขาถีบจิ่นอวี้
ตอนนั้นกู้เหยี่ยนเป็นเพียงก้อนนมน้อยๆ ที่พ่นฟองนมออกมา ไม่มีใครเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ คิดแค่ว่าเป็นความหวงของเด็กน้อย
ต่อมากู้เหยี่ยนโตแล้ว กลับไม่รังแกจิ่นอวี้เช่นนี้อีกแล้ว ทว่าก็ไม่ได้สนิทสนมกันกับจิ่นอวี้เท่าใดเช่นกัน
เรื่องที่เคยคิดไม่ตก หลังจากรู้ชาติกำเนิดของจิ่นอวี้แล้ว คล้ายว่าจะค่อยๆ กระจ่างขึ้นมา
กู้เหยี่ยนกับพี่สาวอยู่ด้วยกันมาในท้องแม่สิบเดือน พวกเขาต่างหากที่เป็นคนที่สนิทสนมกันที่สุดในโลก ดังนั้นหลังจากที่กู้เหยี่ยนเกิดมาก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าทารกเพศหญิงที่นอนอยู่ข้างๆ เขานั้นไม่ใช่พี่สาวเขา
เขาต้องการพี่สาว
มีเพียงพี่สาวเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เขาสงบเหมือนอยู่ในครรภ์แม่ได้ ทว่าข้างกายเขากลับเป็นทารกเพศหญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง
มิน่าเล่าเขาจึงเอาแต่ร้องห่มร้องไห้เสียงดังเพียงนั้น เขาต้องการพี่สาวนี่เอง
น่าเสียดายที่ไม่มีใครเข้าใจเขาสักคน
จนกระทั่งเขาเติบใหญ่ ตัวเองก็จำไม่ได้แล้ว ทว่าความต่อต้านที่มีต่อกู้จิ่นอวี้ยังคงฝังอยู่ในกระดูก
ท่านโหวกู้รู้สึกว่าการคาดเดานี้ไม่ไร้สาระอย่างยิ่ง ทว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็คิดคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้วเช่นกัน
การทะเลาะกันของพี่น้องยังคงดำเนินต่อไป
กู้จิ่นอวี้เอ่ยด้วยความน้อยใจว่า “กระต่ายน้อยไม่เสียงดังแล้วก็ไม่โวยวายด้วย เหตุใดกระทั่งตัวนี้ เจ้าก็ไม่ให้ข้าเลี้ยงเล่า เจ้ามีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่”
กู้เหยี่ยนดวงตาสองข้างผิดหวัง “ไม่!”
กู้จิ่นอวี้กัดริมฝีปาก “มีสิทธิอะไร”
กู้เหยี่ยนเลิกคิ้วด้วยความอวดดี “สิทธิตามใจข้า!”
“เจ้า…” กู้จิ่นอวี้หน้าแดงเทือกขึ้นมาแล้ว!
———————–
[1] บัณฑิตเจอทหาร มีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้ บัณฑิตใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา ทหารใช้กำลังในการแก้ปัญหา ว่ากันด้วยกำลังบัณฑิตย่อมสู้ทหารไม่ได้ อธิบายเหตุผลไปก็ไม่ฟังและไม่ได้ผล