สุดท้ายกู้จิ่นอวี้ก็ไม่สามารเอาชนะกู้เหยี่ยนได้
แม้จะเรียกได้ว่านางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวในบ้าน แต่อย่างไรเสียกู้เหยี่ยนก็เด็กสุด และอย่างไรเสียกู้เหยี่ยนก็ร่างกายไม่แข็งแรงด้วย
มองกู้จิ่นอวี้ให้คนอุ้มกระต่ายน้อยตัวนั้นไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ กู้เหยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความลำพองใจ ส่วนความรู้สึกในใจของท่านโหวกู้นั้นซับซ้อนหลากหลายอารมณ์
กู้เหยี่ยนไม่เข้าพวกมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่เข้าใกล้ใคร รวมถึงแม่นางเถาด้วย ทว่าเขาอนุญาตให้แม่นางเถาเข้าใกล้เขาได้
เขาต่อต้านคนทุกคนที่ดีต่อกู้จิ่นอวี้ แต่ทุกคนในครอบครัวแทบจะไม่มีใครทำไม่ดีต่อกู้จิ่นอวี้เลย
ท่านโหวกู้คิดมาโดยตลอดว่าเป็นความผิดของลูกชาย คิดไม่ถึงว่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกชายหายไปแล้ว ลูกชายต่างหากที่เป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด
ทว่า ต่อให้เขาคิดว่าคนผิดคือลูกชาย ก็ไม่เคยตำหนิลูกชายเลยสักครั้ง ทำเพียงแอบชดเชยให้แก่จิ่นอวี้เพิ่มมากขึ้นที่ได้รับความไม่เป็นธรรมนั้น
หากแต่ความไม่เป็นธรรมที่จิ่นอวี้ได้รับสามารถชดเชยได้ แล้วสิ่งที่ลูกชายได้รับเล่า
สิ่งที่พวกเขาล้วนไม่อาจมอบให้ลูกชายได้ เด็กคนนั้นจะสามารถมอบให้ได้หรือไม่
ทางด้านกู้เจียวนั้น หลังจากลงเขามาก็ไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน หากแต่แบกหมาป่าตัวนั้นไปที่ตลาดก่อน ขายในราคาสิบแปดตำลึง
จากนั้นกู้เจียวก็ไปรับเซียวลิ่วหลังและกู้เสี่ยวซุ่นที่สำนักบัณฑิต ทั้งสามคนกลับหมู่บ้านด้วยกัน
หญิงชราที่ถูกเสี่ยวจิ้งคงรบกวนโวยวายทั้งวัน ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงแล้ว
นางนอนแผ่อยู่บนเก้าอี้หวายอย่างกับปลาเค็ม ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย นางคิดว่าหากพวกเขาสองคนยังไม่กลับมาอีก นางสามารถตายอยู่ตรงนี้ได้เลย!
วันทั้งวันเสี่ยวจิ้งคงเอาแต่เฝ้ารอกู้เจียว แต่พอกู้เจียวกลับมาจริงๆ เขากลับวิ่งตึงตังไปแล้ว
ปิดประตูนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กในมุมหนึ่งคนเดียว ใบหน้าดวงน้อยหันหน้าเข้ากำแพง ท่าทางนั้นน่าสงสารยิ่งนัก
กู้เจียวงงว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นเสี่ยวจิ้งคงนางจึงฉงน “เอ๋ จิ้งคงเล่า”
หญิงชราชี้ไปที่ห้องตะวันตกด้วยท่าทางกะปวกกะเปียก “โกรธแล้ว หลบเจ้าอยู่แหนะ”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อด้วยความฉงน “โกรธรึ ใครไปยั่วให้เขาโกรธเข้าล่ะ”
หญิงชรามองกู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังด้วยความไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าสองคนน่ะสิ! ดึกๆ ดื่นๆ ใครให้เจ้าอุ้มเขาไปล่ะ ใครให้เจ้าออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางกันล่ะ”
ประโยคแรกนั้นบ่นเซียวลิ่วหลัง ประโยคหลังนั้นบ่นให้กู้เจียว
“ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!” หญิงชราแสดงอย่างชัดเจนว่าไม่อยากสนใจพวกเจ้าสองคนแล้ว!
กู้เจียวเดิมทีไม่เข้าใจ แต่พอหญิงชราบอกมานางก็กระจ่างทันที
กู้เจียวเดินไปห้องตะวันตก
เสี่ยวจิ้งคงได้ยินเสียงคนเดินมาหูก็พลันตั้ง ทว่าไม่ได้หันหลังกลับไป
กู้เจียวมาถึงด้านหลังของเขา โน้มตัวลงมองไปยังใบหน้าด้านข้างของเขาพลางเอ่ยว่า “โกรธข้าแล้วหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงเบี่ยงตัวหนีอยู่บนเก้าอี้ หันหลังให้กู้เจียวต่อ
กู้เจียวเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากลัว”
เสี่ยวจิ้งคงทนไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าไม่ได้กลัว! ข้าไม่ได้ขี้ขลาดเพียงนั้น!”
กู้เจียวแสร้งทำทีตกใจ “อย่างนั้นรึ แล้วเจ้าโกรธเรื่องอะไรล่ะ”
“ข้า…ข้า…ข้า…ข้าน่ะ….” เสี่ยงจิ้งคงอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้เอ่ยคำว่า ‘คิดถึงเจ้า’ ออกไป
กู้เจียวเดินมาด้านหน้าเขาอีกครั้ง เขาหลุบตาลงไม่มอง กู้เจียวกลับจ้องเขานิ่ง “เอาล่ะ วันนี้ข้าผิดเอง ข้าขอโทษเจ้า ให้อภัยข้าได้หรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคงมองกู้เจียวแวบหนึ่งด้วยความรวดเร็ว ก้มหน้าลงโดยพลัน กำมุมเสื้อน้อยๆ ไว้ เอ่ยเสียงอ้อมแอ้มน่ารักว่า “ต้องหอมๆ ทีหนึ่งก่อนข้าถึงจะยกโทษให้เจ้า”
กู้เจียวใจแทบจะอ่อนยวบอยู่รอมร่อแล้ว นี่มันเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดูแห่งยุคอะไรเช่นนี้ อย่าว่าแต่หอมๆ ทีหนึ่งเลย ให้นางหอมสิบทีก็ยังได้!
กู้เจียวหอมใบหน้าดวงน้อยของเขาโดยไม่ลังเลไปฟอดหนึ่ง!
เสี่ยวจิ้งคงนิ่งอึ้งไปแล้ว!
เขาเบิกตาโตดำขลับทั้งสองข้าง กะพริบปริบๆ มองจ้องกู้เจียวอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ร้องออกมาว่า! “นี่!”
คนเขาแค่พูดไปตามใจปาก เจ้ายังมาหอมจริงๆ เสียได้!
มือน้อยๆ ของเสี่ยวจิ้งคงปิดใบหน้าไว้ เขินอายจนวิ่งหนีไปแล้ว!
คืนนั้นทั้งคืนเสี่ยวจิ้งคงที่โดนหอมนั้นใบหน้าดวงน้อยแดงเทือกไปทั้งดวงอย่างกับไปดื่มสุรามา
เมื่อถึงยามทานอาหาร เขานั่งลงข้างกู้เจียว เชื่อฟังราวกับผักกระเฉดน้อย
ตกค่ำมาเซียวลิ่วหลังก็อาบน้ำให้เขาเหมือนเคย เขานั่งอยู่ในกะละมังน้อย ยื่นหน้าข้างซ้ายของตัวเองไปให้ “ล้างแค่ข้างนี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องล้างอีกข้าง ข้างนั้นมีหอมๆ!”
เซียวลิ่วหลังคว้าผ้าในกะละมังด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาลูบใบหน้าด้านขวาของเขา
เสี่ยวจิ้งคง “…”
เสี่ยวจิ้งคง “!!!”
“แง แง แง แง”
เสียงร้องไห้ราวกับใจขาดปอดฉีกของเสี่ยวจิ้งคงดังมาจากห้องครัว หญิงชราที่แอบกินผลไม้เชื่อมในห้องใจพลันหายวาบ ครึ่งชีวิตที่เหลือเกือบจะตกใจตายไปเสียแล้ว!
หญิงชราตวาดด้วยความโมโหว่า “ลิ่วหลัง! เจ้าทำอะไรเขาอีกล่ะ!”
เซียวลิ่วหลังไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แค่ล้างหอมๆ บนใบหน้าเณรน้อยบางคนอย่างสะอาดหมดจดก็เท่านั้นเอง
เสี่ยวจิ้งคงร้องเสียจนน่าสงสารยิ่ง
สุดท้ายยังคงเป็นกู้เจียวที่เดินมาหอมๆ ให้เขาใหม่ เขาจึงพอจะหยุดร้องลงได้
ต่อมาเสี่ยวจิ้งคงก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ใช้มือน้อยๆ กุมแก้มตัวเองเอาไว้ตลอด ป้องกันพี่เขยนิสัยไม่ดีมาลอบโจมตี
เขาไม่มีผม พออาบน้ำสวมเสื้อผ้าเสร็จก็นอนหลับได้
เขากอดหมอนใบน้อยของตัวเองไว้ ไปบอกราตรีสวัสดิ์ที่ห้องหญิงชราก่อน แล้วจึงไปบอกราตรีสวัสดิ์ที่ห้องกู้เจียว “เจียวเจียว ข้าจะนอนแล้ว เจอกันพรุ่งนี้นะ”
กู้เจียวลูบหัวโล้นๆ ของเขา “ไปนอนเถิด พรุ่งนี้ข้าปลุกเอง”
“อื้อ!” เสี่ยวจิ้งคงกระโดดโลดเต้นกลับไปที่ห้องฝั่งตะวันตก
เขาถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียงไป
เซียวลิ่วหลังกำลังนั่งคัดตำราอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ
เสี่ยวจิ้งคงมองพี่เขยนิสัยไม่ดีด้วยความระแวดระวังแวบหนึ่ง แล้ววางหมอนใบน้อยไว้ด้านใน ห่างจากหมอนของพี่เขยนิสัยไม่ดีไกลลิ่ว!
เซียวลิ่วหลังไม่ได้เหลือบตาขึ้น ทำเพียงกระแอมออกมาเสียงนิ่งคำหนึ่ง
เสี่ยวจิ้งคงเท้าเอวเอ่ยว่า “เจ้าอย่าคิดจะมาแตะต้องหอมๆ ของข้าเชียว!”
เซียวลิ่วหลังเลิกคิ้วขึ้น “หอมๆ ของเจ้ารึ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยด้วยความลำพองใจว่า “เจียวเจียวเป็นคนให้ข้า! เจ้าไม่มี!”
เซียวลิ่วหลังค่อยๆ หันมามองเขาอย่างช้าๆ สายตาตกลงบนใบหน้าดวงน้อยรูปไข่เจ้าเนื้อของเขา เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ไม่ต้องให้ข้าแตะต้องหรอก พอเจ้าหลับไปแล้ว พวกมันก็จะบินหนีไปเอง”
เสี่ยวจิ้งคงสีหน้าพลันเปลี่ยน!
คล้ายว่าเขาเห็นภาพอันโหดร้ายอย่างหอมๆ สองอันอาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัวทิ้งเขาไป เขาพลันรู้สึกแย่ขึ้นมา!
กบฏน้อยสองตัวนี้นี่!
หลังจากตกใจไปชั่วครู่แล้ว เสี่ยวจิ้งคงก็กระโดดพรวดลงมาจากเตียง วิ่งตึงตังไปห้องของกู้เจียว ไปหากู้เจียวเพื่อเอาผ้าคลุมหน้าผืนหนึ่งมาพันรอบใบหน้าและศีรษะตัวเอง
เขาคลุมตัวเองไว้มิดชิดยิ่ง ราวกับชาวนาตัวน้อยๆ จะไปลงไร่ไถนา
จากนั้นก็ซุกมือไว้ด้วยท่ามาตรฐาน เดินกลับไปที่ห้องด้วยท่าทางองอาจ
เสี่ยวจิ้งคงเชิดหน้าขึ้น เอ่ยกับพี่เขยนิสัยไม่ดีว่า “ข้าคลุมเอาไว้แล้ว! พวกมันบินไปไม่ได้แล้ว!”
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กฉลาดเฉลียวยิ่ง อย่าเอาแต่มองว่าเขาเพิ่งจะสามขวบ แต่อักษรที่เขารู้มีมากกว่าบรรดาศิษย์พี่ในวัดเสียอีก ตอนที่เณรน้อยที่เหลือล้วนปวดหัวกันใหญ่ว่าจะอ่านคัมภีร์กันอย่างไร เขาก็สามารถท่องกลับหลังได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว
ดังนั้นประโยคอย่าง ‘ข้าสอบได้แต่ที่หนึ่ง ชินเสียแล้ว’ ที่เขาเคยบอกกับเซียวลิ่วหลังจึงไม่ได้คุยโว แค่บรรยายความจริงให้ฟังเท่านั้น
เขามีตรรกะที่ครบถ้วนสมบูรณ์ของตัวเอง ไม่โดนการก่อกวนจากใคร บรรดาศิษย์พี่ต่างเถียงสู้เขาไม่ได้ เจ้าอาวาสก็ทำอะไรเขาไม่ได้ อยู่ที่วัดเขาเป็นคนที่ทำให้คนอื่นปวดหัวยิ่งขนานแท้
และได้เจอกับเซียวลิ่วหลังนี่แหละ จึงโดนหลอกเข้าในบางครั้ง
แต่ว่าตรรกะของเขายังคงแข็งแกร่งไร้เทียมทานอยู่ ดังนั้นไม่ว่าเซียวลิ่วหลังจะก่อกวนเขาอย่างไร เขาก็จะหาวิธีของตัวเองมาแก้ไขจนได้
เซียวลิ่วหลังเอ่ยว่า “เจ้าคลุมไว้จะได้ประโยชน์อะไร พรุ่งนี้เจ้าเอาผ้าคลุมออก พวกมันก็ยังบินหนีไปอยู่ดี”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยว่า “ไม่มีทาง ข้าปลูกพวกมันแล้ว! พรุ่งนี้เช้าก็จะมีรากงอก! ต่อไปพวกมันก็จะหนีข้าไปไม่ได้อีก!”