ตอนที่ 63 คำเชิญ
ก่อนที่สาวรับใช้จะเข้ามาปรนนิบัติ เจียงเชี่ยนพยายามฝืนอาการเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างนำเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เรียบร้อย และเดินไปเปิดหน้าต่างภายในห้อง
สายลมที่พัดโชยเข้ามานำไอควันอุ่นจากภายนอกเข้ามาผสมกับกลิ่นฉุนภายในห้อง ให้ความรู้สึกชวนสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
เจียงเชี่ยนคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้เสียตั้งนานแล้ว นางยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สายตาเหม่อมองไปยังต้นกล้วยน้ำว้าสีเขียวมรกตด้านนอก
ตั้งแต่เกิดเรื่องขายหน้าที่จวนปั๋ว ช่วงหลังมานี้นางจึงได้เห็นสายตาเย้ยหยันหลายคู่จากคนในจวนโหว นางตั้งใจจะรอให้เรื่องซาลงก่อนแล้วค่อยเชิญเจียงซื่อมาที่จวน แต่ดูเหมือนเฉาซิงอวี้จะรอไม่ได้
นางเองก็ไม่กล้าปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อออกไป เพราะนางรู้ดีกว่าใครว่าเฉาซิงอวี้เป็นคนอย่างไร คนเช่นนี้หากคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็คงถึงขั้นสติหลุดเลยทีเดียว
รีบสะสางให้เสร็จดีกว่าปล่อยไว้ให้ค้างคา หากปล่อยให้เฉาซิงอวี้ลากเจียงซื่อเข้ามาในวังวนแห่งความโชคร้ายนี้ด้วย สู้เชิญเจียงซื่อมาให้ดูจนพอใจตามความต้องการเขาเสียยังดีกว่า
เจียงซื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง ทั้งเป็นสตรีสูงศักดิ์ของจวนปั๋ว เฉาซิงอวี้คงไม่กล้าลงไม้ลงมือ คงอยากดูเป็นอาหารตาเท่านั้น
เสียงของสาวรับใช้ดังขึ้นจากด้านนอก เจียงเชี่ยนขานรับ นางไม่ได้หันไปดูสาวรับใช้ที่เดินเรียงแถวเข้ามา เพียงแต่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องหนังสือลำพัง
จากสถานการณ์ของนางตอนนี้ การจะเชิญเจียงซื่อมาที่จวนคงไม่ใช่เรื่องง่าย
ในสายตาท่านย่า ตัวนางเป็นตัวกาลกิณี ต่อให้เจียงซื่อยอมมา ก็เป็นไปได้ว่าท่านย่าจะไม่อนุญาต
เจียงเชี่ยนบรรจงเขียนทุกตัวอักษรลงในจดหมายทั้งสองฉบับ จากนั้นก็สั่งให้คนนำไปส่งที่จวนตงผิงปั๋ว
…………
เมื่อเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อได้จดหมายจากเจียงเชี่ยน น้ำตาของนางไหลอาบข้างแก้ม นางเดินไปที่ตำหนักฉือซินพร้อมกับดวงตาที่ยังบวมช้ำอยู่เล็กน้อย
มีเสียงร้องเพลงเอ็ดอึงดังออกมาจากตำหนักฉือซิน
หลังจากที่ดวงตาของเฝิงเหล่าฮูหยินดีขึ้น นางก็ชอบดูละครมากกว่าก่อน แต่จากสถานะการเงินของจวนปั๋วแล้ว การจ้างคณะละครมาเป็นประจำทุกปีคงเป็นเรื่องไม่เหมาะนัก ยังดีที่นายท่านรองเจียงเป็นคนกตัญญูจึงได้ซื้อเด็กผู้หญิงวัยสิบขวบต้นๆ สองคนมาจากคณะละคร เพื่อมาสร้างความสำราญใจให้แก่เหล่าฮูหยินโดยเฉพาะ
“เหล่าฮูหยิน เอ้อร์ไท่ไท่มาแล้วเจ้าค่ะ”
ในขณะนั้นยังไม่ถึงเวลาน้อมทักตามธรรมเนียมปฏิบัติ แม้เฝิงเหล่าฮูหยินจะได้ยินแต่ก็ไม่ได้กระดิกแม้แต่หางคิ้ว นางยังคงหลับตาพลางเคาะตามจังหวะเพลงที่เด็กสาวในชุดงิ้วทั้งสองกำลังขับร้อง
ท่าทีเฉยเมยของเฝิงเหล่าฮูหยินที่แสดงต่อเซียวซื่ออย่างโจ่งแจ้งก็มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ผู้คนในตำหนักฉือซินต่างรู้ดีว่าทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะเหล่าฮูหยินยังคงรู้สึกยังโกรธเคืองเซียวซื่อไม่หาย
เรื่องนี้จะโทษเฝิงเหล่าฮูหยินที่โกรธเคืองคงไม่ได้ เรื่องพิธีกรรมของหลิวเซียนกูที่กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในเมืองก็เรื่องหนึ่ง แล้วจู่ๆ นางกลับถูกฆ่าตาย แม้เจ้าหน้าที่ราชการในซุ่นเทียนวิ่งวุ่นอยู่หลายวัน แต่ก็ยังหาร่องรอยของฆาตกรไม่พบ
บนโลกใบนี้จะมีเรื่องอะไรที่คนถกเถียงกันได้อย่างออกรสที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต แต่เป็นเรื่องปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้อย่างไรล่ะ
หากยังไม่สามารถจับฆาตกรที่ฆ่าหลิวเซียนกูได้ในเร็ววัน ความสงสัยใคร่รู้ของผู้คนในเมืองก็คงไม่อาจยิ่งหย่อนได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน ซ้ำร้ายเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหลิวเซียนกูและจวนตงผิงปั๋วคงถูกคนนำไปพูดพร่ำกันอย่างสนุกปาก
แม้แต่ในขณะนี้ก็ยังมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าสาเหตุการตายเกิดจากการที่หลิวเซียนกูบอกว่าฮูหยินของฉังซิงโหวซื่อจื่อถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ทำให้จวนฉังซิงโหวได้รับความอับอาย นางจึงถูกสั่งฆ่า
จริงอยู่ที่ข่าวลือนี้เป็นเพียงข่าวโคมลอย บรรดาชนชั้นสูงได้ฟังก็คงพากันขบขัน แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไปที่ได้ยินเสียงลมก็ทึกทักว่าฝนจะตกคงเอาเรื่องนี้ไปพูดกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หนำซ้ำยิ่งพูดก็คงยิ่งเชื่อกันเป็นตุเป็นตะ
ยิ่งคิดเฝิงเหล่าฮูหยินก็ยิ่งโกรธจนรวดร้าวไปทั้งหัวใจ ครั้นจะให้รู้สึกดีต่อเซียวซื่อต่อไปก็คงพิลึกเต็มที
เซียวซื่อยืนรออยู่ด้านนอกนานเกือบสองก้านธูปกว่าจะถูกเชิญเข้าไป
“มีธุระงั้นหรือ”
เซียวซื่อนำกล่องใบเล็กออกมา ยิ้มแย้มพลางเอ่ย “นี่คือประคำจากไม้กฤษณาที่ชังเกอเอ๋อร์ได้มาโดยบังเอิญ ทราบดีว่าท่านโปรดปราน จึงสั่งคนให้รีบนำมามอบให้เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเซียวซื่อเอ่ยถึงหลานชายคนโต เฝิงเหล่าฮูหยินก็ดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ทำทีบุ้ยใบ้ให้อาฝูรับกล่องนั้นมาแล้วเอ่ยแผ่วเบาขึ้นว่า “ไฉนจึงไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เหตุใดจึงมัวเสียเวลาพิรี้พิไรทำเรื่องเช่นนี้”
เซียวซื่อรีบเอ่ยตอบ “การกตัญญูต่อเหล่าฮูหยินเป็นบัญชาจากสวรรค์ มิอาจเรียกว่าเป็นการเสียเวลาได้หรอกเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินปิดตาลงช้าๆ พลางลูบกล่องไม้สีชาดขนาดเท่าฝ่ามืออย่างทะนุถนอม
จริงอยู่ที่นางจะยังรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่ไม่ว่าจะรู้สึกขัดหูขัดตาสะใภ้รองมากเพียงใดก็ไม่อาจยกให้สะใภ้สามเป็นผู้ดูแลจัดการสิ่งต่างๆ ในบ้านได้
อย่างไรแล้วสุดท้ายก็ต้องไว้หน้าสะใภ้รองไว้บ้าง
เฝิงเหล่าฮูหยินลืมตาขึ้นพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเจ้ากตัญญู ข้ารู้ดี”
เซียวซื่อพลันโล่งใจ รอยยิ้มปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้า นางกล่าวเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “วันนี้เชี่ยนเอ๋อร์ส่งจดหมายมาให้เหล่าฮูหยินเจ้าค่ะ…”
พูดพลางนำจดหมายออกมา
ใบหน้าเฝิงเหล่าฮูหยินถอดสีทันควัน “ไม่ใช่ประเดี๋ยวก็หนีกลับมาบ้าน ประเดี๋ยวก็ส่งจดหมายกลับมา นางทนอยู่ที่จวนโหวต่อไปไม่ไหวแล้วงั้นหรือ”
เซียวซื่อฟังพลางใช้มือลูบบริเวณหางตาเอ่ยว่า “เหล่าฮูหยิน เชี่ยนเอ๋อร์ทนอยู่ที่จวนโหวต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ แม้ว่าตบแต่งออกไป แต่ตลอดสองปีที่ผ่านมาในท้องของนางกลับไม่มีสัญญาณใดๆ ทว่านางยังทนอดอยู่ได้ก็ด้วยความรักและเมตตาจากท่าน แต่เดี๋ยวนี้…”
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่ได้ขยับเขยื้อน
เซียวซื่อแอบกัดฟันพลางแสดงสีหน้าอ้อนวอน “เหล่าฮูหยิน ท่านเองก็รู้ดีว่าเชี่ยนเอ๋อร์เป็นเด็กรู้ความมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นางไม่มีวันทำให้ท่านต้องแปดเปื้อนด่างพร้อยเป็นแน่ นางเพียงอยากจะเชิญบรรดาน้องๆ ไปเที่ยวเล่นที่จวนโหวสักสองวันเท่านั้น เพื่อไม่ให้คนที่จวนโหวกดขี่ดูแคลนนางและจวนของเราได้เจ้าค่ะ…”
สิ่งที่เซียวซื่อกล่าวมาชัดเจนเพียงพอแล้วว่า เรื่องของหลิวเซียนกูทำให้จวนโหวคิดว่าจวนปั๋วไม่ดูดำดูดีคุณหนูคนนี้เลยแม้แต่น้อย หากบรรดาคุณหนูยอมไปเที่ยวที่จวนโหวสักสองวัน ความสงสัยแคลงใจนั้นก็จะหายไปโดยปริยาย นับว่าเป็นการช่วยปัดเป่าสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเจียงเชี่ยน
เฝิงเหล่าฮูหยินฟังเซียวซื่อพูดโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ สายตาของนายลดต่ำลงก้มมองจดหมายฉบับนั้น
อักขระงดงามบนกระดาษเขียนว่า ‘หลานสาวเชี่ยนเอ๋อร์ขอแสดงความนับถือท่านย่า’
เมื่อเห็นลายมือที่คุ้นเคย ใจของเฝิงเหล่าฮูหยินก็อ่อนยวบลงทันที
เดิมทีนางไม่ได้ชอบพอสะใภ้ใหญ่อยู่แล้ว ซ้ำร้ายทั้งหลานสาวหลายชายที่เกิดจากนางก็ไม่ค่อยพูดค่อยจาและยังโง่เง่า การจะรู้สึกไม่ชอบก็เป็นเรื่องธรรมดา ต่างจากหลานสาวของนางคนนี้ที่อายุไล่เลี่ยกับหลานสาวคนโต แต่กลับเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เล็ก นางจึงรักใคร่เอ็นดูหลานคนนี้มาก ที่นางได้ฝึกฝนเขียนหนังสือครั้งแรกก็เริ่มฝึกที่ในห้องมรกตในเรือนซือฉินนี้เอง
เฝิงเหล่าฮูหยินนั่งใคร่ครวญก่อนจดเปิดจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอ่าน
วาทศิลป์ของเจียงเชี่ยนปรากฏชัดผ่านข้อความในจดหมาย หลังจากเฝิงเหล่าฮูหยินอ่านจดหมายแล้ว สีหน้าของนางก็ดูผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เซียวซื่อรีบฉวยจังหวะนี้เอ่ยขอร้องว่า “เหล่าฮูหยิน ขอโปรดเมตตาเชี่ยนเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ หญิงเฒ่าที่นำจดหมายนี้มาส่งบอกว่าเชี่ยนเอ๋อร์ซูบผอมจนแทบเห็นกระดูกอยู่แล้วเจ้าค่ะ…”
“ได้ ดูไปแล้วนี่ก็เป็นยามดี ให้พวกนางออกไปสูดอากาศเสียบ้างก็ดี” เฝิงเหล่าฮูหยินเอ่ยออกมาในที่สุด
เซียวซื่อเผยสีหน้าเบิกบาน
เฝิงเหล่าฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พูดก็พูดเถอะ หากพวกนางไปแล้วเกิดเรื่องจนทำให้จวนโหวหัวเราะเยาะได้อีก เชี่ยนเอ๋อร์ที่เป็นพี่สาวจะต้องรับผิดชอบ!”
“เหล่าฮูหยินวางใจได้ เชี่ยนเอ๋อร์รักพี่รักน้องเป็นที่สุด นางจะดูแลน้องๆ อย่างดีเจ้าค่ะ”
ณ เรือนไห่ถัง เจียงซื่อถือเทียบเชิญจากเจียงเชี่ยนขึ้นมาดูครู่หนึ่งก่อนจะโยนลงไปที่โต๊ะหนังสือ หญิงสาวสั่งอาเฉี่ยวว่า “ไปสืบมาสิว่าในบรรดาคุณหนูคนอื่นมีใครได้รับเทียบเชิญนี้อีกบ้าง”
ผ่านไปไม่นานอาเฉี่ยวก็กลับมารายงาน “คนที่ได้เทียบเชิญนี้มีคุณหนูสาม คุณหนูห้าและคุณหนูหกเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้ไม่ได้เกินความคาดหมายของเจียงซื่อ แต่ก็ยังทำให้นางถอนหายใจออกมาได้
สองวันหลังจากนั้น คุณหนูทั้งสี่จากจวนปั๋วก็ขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางไปยังจวนฉังซิงโหว