ตอนที่ 64 ท้าพนันบนรถม้า

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 64 ท้าพนันบนรถม้า

หลายวันมานี้ที่จวนตงผิงปั๋วเกิดเรื่องไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ช่วงที่เจียงซื่อล้มป่วยระยะหนึ่งทำให้บรรดาสี่พี่น้องไม่ค่อยมีโอกาสใช้เวลาอยู่ร่วมกันเช่นนี้

แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากเกี้ยวบนหลังรถม้ามีขนาดไม่ใหญ่นัก หนำซ้ำบรรยากาศภายในก็ไม่น่าพิสัย

“บางคนนี่ก็หน้าหนาเสียจริง เพิ่งจะมีปัญหากระด้างกระเดื่องกับผู้ใหญ่อยู่หลัดๆ ยังมีหน้าออกมาเที่ยวเล่นไปทั่ว” คุณหนูหกเจียงเพ่ยซึ่งนั่งติดประตูเอ่ยขึ้นขณะยกกระจกขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาส่อง

แน่นอนว่านางกำลังพูดเสียดสีเจียงซื่อ

คุณหนูเล็กกำลังคิดว่า เจียงซื่อเพิ่งจะมีปากเสียงกับเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อยังมีหน้าจะไปเที่ยวเล่นที่จวนฉังซิงโหวอยู่ได้แสดงว่าหน้าของนางคงหนาเสียยิ่งกว่ากำแพงเมือง

เจียงซื่อมองเจียงเพ่ยด้วยใบหน้ายิ้มเย้ย

สายตานั้นของเจียงซื่อทำให้เจียงเพ่ยเริ่มทำตัวไม่ถูก จึงทำทีลากคุณหนูห้าเจียงลี่เข้ามาร่วมวงด้วย “พี่ห้า พี่ว่าจริงไหม”

นางมองว่าพี่น้องท้องเดียวกัน ต่อให้ปกติจะไม่ค่อยสามัคคีกันนัก แต่ยามต้องอยู่ต่อหน้าคนนอกก็ควรจะร่วมมือกัน

คุณหนูห้าเจียงลี่ที่ไม่นิยมมีปากเสียงกับใครเผยยิ้มออกมาโดยไม่ได้ส่งเสียงใด

เจียงเพ่ยเบะปากอย่างไม่แยแส และหันไปเอ่ยกับคุณหนูสามอย่างอารมณ์ดีว่า “พี่สาม พี่ยังจำครั้งที่พวกเราไปเล่นที่จวนโหวเมื่อปีก่อนได้หรือไม่ ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นช่วงก่อนหน้าหากเทียบกับปีนี้ ตอนนั้นกลีบดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ในสวนของจวนโหวบานสะพรั่งงดงามยิ่งนักนะเจ้าคะ”

“ข้าไม่ได้สนใจนักหรอก” เจียงเชี่ยวเล่นจี้หยกบนเชือกเงื่อนมงคลแก้เบื่อ

นางไม่ได้สนใจจะชมดอกไม้หรือวิวทิวทัศน์เลยแม้แต่น้อย การออกจากเรือนคราวนี้ก็เพราะไม่ต้องการสร้างความลำบากให้มารดา นางเพียงแค่ต้องการทำเรื่องนี้ให้เสร็จๆ ไปเท่านั้น

หากพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง นางและเจียงซื่อต่างเป็นคู่ปรับลับๆ กันตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่กับเจียงเพ่ยแล้ว นางกลับรู้สึกดูแคลนเสียมากกว่า

ไม่เคยเห็นใครปากไม่มีหูรูดเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ

เจียงเชี่ยวคิดในใจพลางเหลือบมองไปที่ใบหน้าเรียบเฉยของเจียงซื่ออย่างอดไม่ได้ นี่ก็เป็นภาพเขียนรูปเสือ หากเป็นนาง นางคงจะฟาดเจียงเพ่ยไปหลายครั้งแล้ว

เมื่อคนสี่คนเข้าไปนั่งรถม้านี้ก็ดูแคบลงถนัดตา บวกกับเสียงล้อหมุนเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญทำให้เจียงเพ่ยที่สงบปากสงบคำได้ไม่นานก็เริ่มทนไม่ไหว นางจึงพุ่งเป้าไปที่เจียงซื่ออีกครั้ง “พี่สี่ พี่ไม่กลัวว่าพอไปถึงจวนโหวแล้วจะขายหน้าบ้างหรือ”

เจียงซื่อเอนศีรษะไปพิงกับผนังรถม้า หลับตาลงราวกับไม่ได้ยินเสียงของเจียงเพ่ย

ท่าทีไม่รู้ไม่เห็นของเจียงซื่อทำให้เจียงเพ่ยเหิมเกริมหนักกว่าเก่า มือของนางค่อยๆ พับเก็บกระจกบานเล็กพลางกล่าวเย้ยขึ้นว่า “ก็จริงอยู่ ถ้ากลัวจะขายหน้าคงไม่มาแต่แรก หนังหน้านี่มัน อย่างที่เขาว่ากันว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว…”

เจียงซื่อลืมตาขึ้นและตวัดสายตาเย็นชาไปที่เจียงเพ่ย

การที่เจียงเพ่ยใช้คำว่า ‘เชื้อไม่ทิ้งแถว’ มาโจมตีเจียงซื่อก็มีเหตุผลอยู่พอตัว

มารดาของเจียงซื่อคือซูซื่อซึ่งมาจากจวนอี๋หนิงโหว นางเป็นสาวงามที่รู้จักกันดีในเมืองหลวงในขณะนั้น เพียงแต่สาวงามนางนี้มีคู่หมั้นคู่หมายเสียตั้งแต่ยังเล็ก

ทั้งซูซื่อและคู่หมั้นต่างก็ชอบพอกันตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งสองมีความรู้สึกให้กันอย่างลึกซึ้ง เดิมทีซูซื่อไม่มีทีท่าจะแต่งงานกับเจียงอันเฉิงเลยแม้แต่น้อย แต่จู่ๆ เมื่อถึงปีที่ทั้งสองตกลงจะแต่งงานกัน คู่หมั้นของซูซื่อกลับเป็นที่ต้องตาขององค์หญิงหรงหยางเสียได้

หลังจากเหตุการณ์พลิกผัน ชุยซวี่ซึ่งเป็นคู่หมั้นของซูซื่อก็ได้กลายมาเป็นราชบุตรเขยในองค์หญิงหรงหยาง

งานสมรสระหว่างตระกูลชุยและตระกูลซูก็เป็นอันพังลง แต่เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้กระทบซูซื่อเท่าไหร่นัก

แต่ในเวลานั้นตระกูลชุยมีตำแหน่งเป็นนายพล คนที่ตาดีก็พอจะมองออกว่าการที่ได้เป็นราชบุตรเขยนั้นเพราะมีคนคอยผสมโรงอยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้มีเพียงซูซื่อที่โชคร้ายเท่านั้น

ในขณะนั้นจวนอี๋หนิงโหวจึงวางแผนไว้ว่า รอให้เรื่องนี้ซาลงสักปีครึ่งค่อยหารือเรื่องการแต่งงานของซูซื่ออีกครั้ง แต่ใครจะคาดคิดว่าจู่ๆ จะมีข่าวลือออกมาว่า ซูซื่อและชุยซวี่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมทำให้นางสูญเสียความบริสุทธิ์ไปเสียตั้งนานแล้ว

ข่าวลือนี้ทำลายชื่อเสียงของซูซื่อจนไม่มีชิ้นดี

แม้ว่าพ่อแม่ของซูซื่อจะรักลูกสาวคนนี้มากเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครในตระกูลฉังซิงโหวซึ่งอยู่ในตระกูลระดับเดียวกันยอมแต่งงานกับนางและรับมาเป็นภรรยา

ซูซื่อเฝ้ารออยู่ในเรือนหอนานกว่าสองปี จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งได้บังเอิญพบกับเจียงอันเฉิงขณะที่ออกมาเที่ยวนอกจวน เจียงอันเฉิงเห็นหน้าของนางครั้งแรกก็ถึงกับตะลึงงัน ยืนกรานว่าจะไปสู่ขอจากจวนอี๋หนิงโหวให้ได้โดยไม่สนใจว่าเฝิงเหล่าฮูหยินจะโกรธเคืองเพียงใด

ในขณะนั้นฮูหยินแห่งจวนอี๋หนิงโหวที่ถอดใจเรื่องการออกเรือนของซูซื่อไปเรียบร้อยแล้ว ครั้นเห็นแม่สื่อที่จวนตงผิงปั๋วส่งมาก็รีบให้คนไปสืบข้อมูลของฝ่ายชายทันที ผลสรุปว่าทั้งคุณสมบัติและหน้าตาของเจียงอันเฉิงถือว่าผ่านเกณฑ์ จะติดก็ตรงที่มีตำแหน่งเป็นเพียงทายาทรุ่นที่สามของจวนตงผิงปั๋วเท่านั้น แต่เพราะชื่อเสียงของลูกสาวด่างพร้อยไปแล้ว ในจวนโหวจึงไม่เหลือที่ว่างสำหรับนางอีกต่อไป

ฮูหยินแห่งจวนอี๋หนิงโหวกลัวว่าลูกสาวจะถูกผู้คนดูแคลนจึงจัดเตรียมสินเดิมของฝ่ายหญิงอย่างสมน้ำสมเนื้อ

สินเดิมสุดอลังการของฝ่ายหญิงทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินถึงกับพูดไม่ออก ในใจยิ่งสงสัยว่าข่าวลือนั้นอาจเป็นความจริง จวนอี๋หนิงโหวที่รู้สึกผิดจึงได้จัดเตรียมสินเดิมยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เฝิงเหล่าฮูหยินก็ไม่อาจมีความรู้สึกดีๆ ต่อซูซื่อได้อีก

แม้ว่าหลังจากนั้นเจียงอันเฉิงจะพร่ำบอกมารดาว่าซูซื่อเป็นสตรีที่เพียบพร้อมเพียงใด แต่เฝิงเหล่าฮูหยินก็ค้านหัวชนฝา นางเชื่ออย่างสนิทใจว่าซูซื่อใช้มารยาร้อยเล่มเกวียนมาหลอกล่อลูกชายของตนให้หลงใหล

ไม้เรียวระหงกลางป่าย่อมถูกลมโค่น แม้ว่าขณะนั้นซูซื่อจะเป็นสตรีที่วิเศษเพียงใด แต่ภายหลังคนที่นำเรื่องนี้ไปพูดอย่างสนุกปากกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เจียงเพ่ยรู้เรื่องราวความเป็นไปของคนรุ่นก่อนได้ แน่นอนว่าไม่ได้คิดขึ้นมาได้เอง

เดิมทีเจียงซื่อไม่ต้องการต่อล้อต่อเถียงกับเด็กปากเปราะพูดไม่คิดนางนี้ แต่ครั้นนางเอ่ยวาจาว่าร้ายถึงมารดา เจียงซื่อก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป

“ทำไมหรือ มีคนสำนึกผิดแล้วงั้นหรือ” เจียงเพ่ยแอบหัวเราะ

อย่าบอกนะว่าต่อหน้าคนมากมายเจียงซื่อจะกล้าลงไม้ลงมือกับนาง หรือต่อให้มีปากเสียงกัน นางก็ไม่ใช่คนแพ้แน่นอน

เจียงเพ่ยคิดพลางหมุนกำไลหยกบนข้อมือ

กำไลหยกนี้นางได้เป็นรางวัลจากท่านแม่ใหญ่ครั้งเมื่อนางมีเรื่องขัดแย้งกับเจียงซื่อ ซึ่งเป็นเหมือนการอนุญาตให้นางลงมือทำเรื่องเช่นนี้ได้

เจียงซื่อมองเจียงเพ่ยด้วยสายตาเย็นเยือก แต่นางไม่ได้วางแผนว่าจะตบคนสักฉาดอยู่แล้ว

คนบางคนก็ชอบทำผิดซ้ำซาก ลงแรงกับคนประเภทนี้มีแต่จะเสียแรงเปล่า

เจียงเชี่ยวกลอกตามองบนเมื่อเห็นว่าเจียงซื่อไม่ตอบโต้

ปกติเห็นออกจะเก่งกาจ ทำไมหนนี้กลับกลายเป็นกระต่ายตัวน้อยเสียอย่างนั้น สู้สิ ตบสักที!

เจียงเชี่ยวไม่ได้เข้าข้างเจียงซื่อ เพียงแต่ทนความปากเปราะของเจียงเพ่ยไม่ไหว

ต่อให้พี่น้องจะทะเลาะกันอย่างไร แต่การลบหลู่ถึงบุพการีฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้

นี่ถือว่าคุณธรรมของมนุษย์ ต่อให้ออกไปข้างนอกก็ควรจะปฏิบัติเช่นนี้

คุณหนูห้าเจียงลี่เริ่มรับรู้ได้ถึงพลังของคลื่นใต้น้ำ นางจึงค่อยๆ เขยิบเข้าไปที่มุมเงียบๆ

“ขายหน้า? สำนึกผิด?” เจียงซื่อไม่ได้แสดงท่าทีโมโหแต่กลับหัวเราะขึ้นมา “น้องหกรู้หรือไม่ว่า คนที่ควรสำนึกผิดตอนนี้คือพี่รอง และหากข้าไม่ไป คนที่ขายหน้าก็คือพี่รอง”

“พี่พูดมั่วอะไรน่ะ”

เจียงซื่อยื่นมือออกไป นิ้วมือเรียวยาวแตะเข้าที่แก้มของเจียงเพ่ย “เจ้าเชื่อไหมว่าหากข้าลงจากรถและกลับจวนไปเดี๋ยวนี้ อาสะใภ้รองจะถอดกำไลใหม่ออกจากข้อมือของเจ้า?”

เจียงเพ่ยจำยอมต้องล่าถอย

แน่นอนว่านางไม่ใช่คนโง่ นางรู้ว่าการไปเยือนจวนฉังซิงโหวคราวนี้ก็เพื่อเป็นการสนับสนุนพี่รอง หากเจียงซื่อดึงดันจะลงจากรถ ท่านแม่ใหญ่คงจับนางถลกหนังเป็นแน่

“เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ให้รอดูว่าหากตอนพบพี่รองแล้วข้าเอะอะโวยวายให้เจ้ากลับจวนปั๋ว พี่รองจะพูดว่า ‘ไม่ได้’ หรือเปล่า”

“ข้าไม่เชื่อ!” เรื่องนี้เจียงเพ่ยมั่นใจเต็มร้อย

ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่

ในบรรดาพวกนางทั้งสี่คนที่พี่รองส่งเทียบเชิญนี้มาให้ นางและพี่รองเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน ตั้งแต่เล็กนางจงรักภักดีต่อพี่รองเสมอมา พี่รองจะมาไล่นางกลับจวนเพียงเพราะเจียงซื่อต้องการให้นางกลับได้อย่างไร

“ถ้าเช่นนั้นมาเราพนันกัน”

“พนันอะไร”

“ก็พนันว่าพี่รองจะทำเช่นนั้นหรือไม่ หากพี่รองไม่ทำตามที่ข้าขอ เจ้าก็ชนะ แต่หากนางทำตาม เจ้าก็แพ้”

“แพ้ชนะแล้วอย่างไรต่อ”

เจียงซื่อหัวเราะอย่างไม่แยแสพลางตอบ “หากเจ้าเป็นผู้ชนะ เจ้าปรารถนาสิ่งใดก็บอกมาได้ แต่หากเจ้าแพ้…ก็ง่ายหน่อย เจ้าก็แค่ตบหน้าตัวเองสิบครั้งต่อหน้าพวกข้าสามคน บอกว่าเจ้ากินขี้เข้าไปจำนวนมาก ปากก็เลยเหม็นเน่าเช่นนี้ ยังไงล่ะ เจ้ากล้าพนันหรือไม่”