บทที่ 51 สันดานพ่อค้า

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 51 : สันดานพ่อค้า

โดริสไม่อาจหยุดเพ่งมองสัญลักษณ์อันแปลกตาทว่างดงามนี้ได้เลย

ราวกับว่าสิ่งนี้ต้องมนตร์บางอย่างอันน่าเคารพบูชาและมหัศจรรย์อยู่

โดริสมองวิเคราะห์ด้วยข้อมูลเชิงลึกที่ตนมีในฐานะผู้หยั่งรู้และคลังความรู้อันมากล้น เธอจึงสามารถแยกแยะแก่นแท้ของความสำคัญของตรานี้ได้

‘ผนึก’ ‘ต่อต้าน’ ‘สัตว์มายา’ ‘ลี้ภัย’ ‘ถอยห่าง’…

ดูแล้วสัญลักษณ์นี้คงเล็งเป้าไปที่…สิ่งมีชีวิตในแดนนิมิตเป็นแน่

หลินเจี๋ยส่งยิ้มอบอุ่นพลางคิดถึงการบริการใหม่ “หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้พวกคุณเข้าใจว่าผมต้องทำอะไรบ้าง เรื่องจะง่ายขึ้นมากถ้าคุณจำได้หมด ผมจะได้ไม่ต้องลงแรงเกินพอดี”

หลินเจี๋ยจะตระเตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับพวกเขาก่อนเป็นอย่างแรก มันจะช่วยลดปัญหาในอนาคตลงไปเยอะเพราะเขาจะได้ไม่ต้องมานั่งอธิบายชี้แนะทุกขั้นตอน

แม้ว่าอาจารย์หลินจะเป็นมิตรและอบอุ่น แต่เขาก็ไม่สามารถมาเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ อย่างไรเสียทุกเวลาล้วนเป็นเงินเป็นทอง

ช่างน่ายินดีที่เขาเขียนหนังสือสำคัญแบบนี้มาก่อน

เทียบกับหนังสือวิชาการเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์ทั้งหลาย ตราสัญลักษณ์และโทเท็มของหลินเจี๋ยนั้นถือว่าเข้าใจง่ายและแตกต่างกว่ามากเพราะเนื้อหาแตะไปถึงเรื่องของศาสตร์โทเท็ม ตระกูล หรือแม้แต่ลัทธิ

อีกอย่าง เจ้านี่ถือว่าเหมาะกับทั้งมืออาชีพด้านนี้ไปจนถึงผู้เริ่มศึกษา เหมาะถึงขั้นเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในบรรดางานของหลินเจี๋ยทั้งหมดเลยทีเดียว

โดริสสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยก่อนวางหนังสือลงบนเคาน์เตอร์ให้ หลังจากที่เธอหายใจเข้าออกลึก ๆ อยู่สองสามครั้งก็ตัดสินใจคว้าหนังสือพร้อมพยักหน้า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะเรียนรู้หนังสือของท่านให้ละเอียดแน่นอนเจ้าค่ะ”

หญิงสาวปรับสีหน้าให้ใจเย็นลง แต่หัวใจของเธอกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

โดริสรู้ตัวดีว่าตนเพิ่งเกือบจะเข้าสถานะ ‘ทำนาย’ เมื่อครู่นี้เอง

นี่ถือว่าไม่สมเหตุสมผลสำหรับผู้หยั่งรู้เลย แถมยังเกินขอบเขตสามัญสำนึกด้วยซ้ำ

ผู้หยั่งรู้จะมีญาณหยั่งรู้สองรูปแบบคือ ‘การทำนาย’ และ ‘การรับรู้’

‘การรับรู้’ คือญาณระยะสั้นที่ส่งผลต่อการหยั่งรู้อันรวดเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือวินาที และยิ่งระยะเวลาสั้นเท่าไรก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ‘การทำนาย’ คือญาณหยั่งรู้ระยะยาวในอนาคต โดยปกติแล้ว ผู้หยั่งรู้จะต้องเริ่มเตรียมการเป็นเวลานาน และการทำนายจะยิ่งยากขึ้นเมื่อระยะเวลายิ่งห่างไกล

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะญาณแบบใดก็ยากเข็ญกันทั้งคู่

สาเหตุที่มีผู้หยั่งรู้น้อยคนนั้นมีที่มา มันเป็นเพราะเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องการสำหรับทักษะแรกเกิดมันสูงไปต่างหาก

หากไม่มีพรสวรรค์แรกเกิดแล้วพึ่งพาแต่ความพยายามนั้น ถือว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน หากไม่ใช่เหล่าอายุยืนอย่างเอลฟ์ พวกไม่มีพรสวรรค์อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการเรียนรู้ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเห็นตัวเองชะตาขาดจนตัวเองหมดลมในที่สุด

ก่อนหน้านี้เพื่อตามหาร่องรอยของท่านหญิงซิลเวอร์ โดริสใช้เวลามากกว่าสิบชั่วโมงก่อนจะได้รับคำทำนายสุดแสนจะเรียบง่ายและคลุมเครือ

เหตุผลส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะผู้เกี่ยวข้องคือสิ่งมีชีวิตระดับสูง จึงเป็นเรื่องปกติว่ากว่าจะได้คำทำนายมามันยากเย็นขนาดไหน

ทว่าตอนนี้โดริสกลับเกือบจะเข้าสู่สถานะ ‘ทำนาย’ ในเวลาอันสั้นโดยไม่ต้องเตรียมการอะไรเสียอย่างนั้น

โดริสมั่นใจว่าเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้ถูกยื่นมาให้เธอ…

มันถึงขั้นปลุกญาณหยั่งรู้ของโดริสได้ และนั่นหมายความว่าระดับความขลังของมันเหนือกว่าโดริสไปหลายขุม ผลคือเธอสามารถใช้ญาณหยั่งรู้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ด้วยเพียงการมองของเธอ

พลังที่บรรจุอยู่ในสัญลักษณ์เล็ก ๆ นี่ก็น่าหวั่นเกรงแล้ว ใครจะไปรู้ว่าภาพและเนื้อหาด้านในหนังสือนี่จะกว้างขวางและเป็นปริศนาเพียงใด

โดริสอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองชั้นที่เต็มไปด้วยหนังสือด้านหลังหลินเจี๋ย

ตอนแรกหญิงสาวไม่ได้สนใจเลยสักนิด แต่ตอนนี้เจ้าของร้านหนังสือกลับดึงหนังสือเล่มนี้ออกมาหน้าตาเฉย โดริสจึงมองพวกมันเป็นหนังสืออันลึกลับและทรงพลัง

หนังสือทุกเล่มในร้านนี้ดูท่าจะไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นเสียแล้ว

หลินเจี๋ยกระแอมเล็กน้อย ทำให้โดริสผู้เหม่อลอยกลับมารู้สึกตัวและหันไปมองเขาอีกครั้ง

หลินเจี๋ยเริ่มเอ่ยต่อด้วยท่าทีจริงจัง “ในเมื่อนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มตระกูลคุณทั้งกลุ่ม ผมแนะนำให้ทุกคนอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหามันนะครับ ผมจะได้ไม่ต้องมาเปลืองแรงตอน ‘ช่วยเหลือทุกคนจากอันตราย’ คุณควรรู้ไว้ว่าช่วงนี้ผมมีคนให้ช่วยเหลือเยอะพอสมควร และอาจไม่มีเวลาว่างพอน่ะครับ”

เขาจะกลายเป็นความหวังสุดท้ายในการกอบกู้ชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูลขุนนางที่กำลังตกอับ

ดังนั้นการบอกว่าเขาจะช่วยอีกฝ่ายจากอันตรายก็ถือว่าไม่เกินจริงเลย

อีกอย่าง…การใส่ความวิกฤติลงไปหน่อยจะช่วยให้ลูกค้าตรงหน้าเขาเข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญมากแค่ไหนด้วย

‘นี่ไม่ใช่เรื่องด่วนแค่สำหรับเธอนะ ฉันก็เหมือนกันแหละ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วด้วย!’

ไม่ต่างกับ ‘ลดล้างสต็อกประจำซีซัน’ ‘ราคานี้มีจำนวนจำกัด’ และ ‘สองชิ้นสุดท้ายในสต๊อก’ ที่เห็นได้ทั่วไปตามร้านขายปลีกต่าง ๆ สักเท่าไรนัก

ทำมาค้าขายทั้งทีก็ควรจะสร้างสตอรี่ให้เป็น

เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนถึงมาขอให้เขาช่วยเยอะจัง ทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าลูกค้าเขาน้อยขนาดไหน

โดริสย่อมตื่นตระหนกเป็นธรรมดา แต่เธอพยายามกดความหวาดหวั่นเอาไว้และตอบกลับอย่างใจเย็น “ในเมื่อมีป้ายราคาอยู่ แสดงว่าต้องมีก็อบปี้เล่มนี้ไว้เยอะใช่ไหมเจ้าคะ ข้าขอซื้อให้กลุ่มของข้าได้เรียนรู้เจ้าค่ะ โปรดอย่าห่วงไป พวกเราจะรีบจดจำเนื้อหาให้ไวที่สุดเจ้าค่ะ”

ส่วนเหตุผลว่าทำไมหนังสือนี้ถึงถูกตีพิมพ์เป็นชุดรวมถึงเรื่องมีป้ายราคาติดไว้นั้น เป็นสิ่งที่หญิงสาวไม่เก็บกลับมาคิดด้วยซ้ำ

ผู้ยิ่งใหญ่ย่อมมีความประสงค์ของผู้ยิ่งใหญ่เหมือนกัน…

จากตอนแรก สิ่งที่เธอต้องทำคือทุ่มสุดตัวเพื่อให้เจ้าของร้านหนังสือพึงพอใจ

หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นมาเพื่อได้รับการยอมรับจากท่านหญิงซิลเวอร์

หลินเจี๋ยชูนิ้วโป้งให้แขกผู้รอบรู้ แล้วจึงหยิบกล่องกระดาษแข็งออกมาจากใต้เคาน์เตอร์ ก่อนจะเริ่มใส่หนังสือตราสัญลักษณ์และโทเท็มลงไปครั้งละสี่ถึงห้าเล่ม

การจัดเรียงบนชั้นวางหนังสือเป็นไปตามที่หลินเจี๋ยคิดเตรียมเอาไว้แล้ว เช่นเดียวกับแสงสลัวภายในร้าน

ดังนั้นต่อให้อีกฝั่งเห็นอะไรแปลก ๆ เธอก็มีแววที่จะคิดว่าตนมองผิดไปเองเสียมากกว่า

ดวงตาของโดริสเบิกกว้างเมื่อเห็นทุกอย่าง ทว่ากลับไม่เอ่ยอะไรออกมาเลย ในใจบอกตัวเองว่าร้านหนังสือนี้น่าจะเป็นสื่อมนตราที่เกี่ยวข้องกับกลไกการทำงานของมิติกาลเวลาเป็นแน่

“ตอนนี้มีแค่สามสิบเล่มนะครับ เดี๋ยวผมแพ็กให้เลยก็แล้วกัน”

ปัง!

หลินเจี๋ยวางกล่องไว้บนเคาน์เตอร์เสียงดัง

ไม่ว่าแสงจะมืดมัวสักเท่าใด แต่แม้แต่คนโง่ยังดูออกว่าน่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลหากหนังสือร้อยเล่มถูกเอาออกมาจากชั้นวาง

นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลินเจี๋ยจึงเอาออกมาแค่สามสิบเล่มและใช้ลูกไม้เล่นกับความกระหายของลูกค้าแทน

โดริสผงกหัวด้วยความเคารพ “ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะของท่านต่อกลุ่มของเรา หากความรุ่งเรืองของเรากลับมาอีกครั้ง กลุ่มไอริสยินดีรับใช้ท่านด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเจ้าค่ะ”

ในขณะเดียวกัน ห่างจากร้านหนังสือไปหลายร้อยเมตรซึ่งยังคงหลงเหลือร่องรอยจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้…

ตอนนี้เหล่าคนจากหอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรม ต่างก็กำลังไล่สอบสืบสวนในระยะรัศมีหนึ่งกิโลเมตรของการทำลายล้างนี้ เพื่อตามหาร่องรอยและซากศพ

เจ้าหน้าที่บางคนถูกส่งออกไปดำเนินการจัดการพยานละแวกใกล้เคียงที่ไม่ได้รับผลกระทบแต่เห็นการต่อสู้นี้ด้วย

อย่างเช่นการลบความทรงจำออกไป

“หัวหน้าแผนกครับ คุณแอนดรูว์จากสมาคมแห่งสัจธรรมแจ้งมาว่ากำลังใช้เวทประเมินอยู่ ก็เลยมาขอให้คุณอย่าเดินวนไปวนมามากเพื่อป้องกันการทำลายร่องรอยอีเธอร์ที่หลงเหลืออยู่…”

โจเซฟโบกมือปัดรำคาญ “ประเมินตูดพ่อมึ-สิวะ!”

เขาชี้ไปทางซากหักปรักพังที่เยื้องตัวเขาไปแล้วเอ่ยต่อ “นี่ไง ผลของเครือข่ายการตรวจจับอีเธอร์ของพวกสมาคมแห่งโคตรสัจธรรมน่ะ แม่-ปล่อยให้ยัยนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัตินั่นทำตัวตามอำเภอใจได้หน้าตาเฉย น่าขำฉิ-หาย!”

แน่นอนว่าพนักงานสมาคมแห่งสัจธรรมได้ยินคำเย้ยหยันล้อเลียนนี้เต็มสองหู แต่อารมณ์ร้อนของอดีตอัศวินแห่งแสงคนนี้ก็เป็นที่เลื่องลือมากเช่นกัน พวกเขาจึงได้แต่อดกลั้นโทสะเอาไว้

“เอ่อ…” ลูกน้องหน่วยข่าวกรองปาดเหงื่อเม็ดเป้งออกจากหน้าผากก่อนรายงานต่อ “เป้าหมายของพวกนักเวทมนตร์ดำเป็นร้านหนังสือร้านนั้นครับ พวกเราควรไปตรวจสอบรึเปล่า”

โจเซฟหันไปมองทันควันและกดเสียงลงต่ำ “อย่าไปเชียว!”

“แต่ว่า สมาคมแห่งสัจธรรมเขา…”

“ก็ไปลากตัวพวกแม่-กลับมาสิว้อย!”