บทที่ 52 หน้าประตูนายท่านของข้า

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 52 : หน้าประตูนายท่านของข้า

จอร์จ ไบรอน อายุยี่สิบนักวิชาการวัยหนุ่มประจำสมาคมแห่งสัจธรรม เชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุผู้มาพร้อมกับฝีมือในการประเมินเวทมนตร์และจับร่องรอยพลังอีเธอร์ระดับสูง

ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสองของสมาคมฯ เขาสามารถสร้างเครื่องมือปกป้องพลังระดับภัยพิบัติ หรือแม้แต่จะฆ่าคนพวกนั้นทิ้งก็ยังได้

แม้ว่าชายหนุ่มจะมีความสามารถในการสอบสวนอันดีเยี่ยม แต่ปกติแล้วเขาถูกจ้างให้สังกัดหน่วยขนส่ง คอยรับผิดชอบเรื่องการส่งมอบเครื่องมืออันเหมาะสมแก่พนักงานฝ่ายลงสนามเสียมากกว่า

ทว่าเนื่องจากเหตุการณ์การต่อสู้ที่เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง สมาคมแห่งสัจธรรมเองก็ตกอยู่ในภาวะลำบาก

สมาคมแห่งสัจธรรมไม่เคยขาดแคลนหน่วยขนส่งหรอก แต่พวกเขาขาดพนักงานสืบสวนผู้เป็นงานเป็นการในสนามรบต่างหาก อีกทั้งสมาชิกส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่อยากไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้สักเท่าไรนัก

ดังนั้น ไบรอนจึงถูกส่งตัวมาอย่างเร่งด่วนเพื่อรับผิดชอบการสืบสวน ณ ที่เกิดเหตุหลังจากเหตุการณ์จบลง

ถึงจะเรียกว่าเหตุการณ์ แต่ทั้งหมดนี่ถือเป็นการก่อการร้ายชัด ๆ

“เจ้าพวกนักเวทมนตร์ดำนั่นเป็นไอ้กลุ่มคนบ้าที่มาร่ายเวทระดับภัยพิบัติที่นี่เลยนะ! เครือข่ายการตรวจจับอีเธอร์ดันไม่ตอบสนองอะไรซะงั้น…” ไบรอนบ่นพึมพำพลางเบิกตากว้างมองยอดของเศษซาก

เขากวาดตามองซากหักปรักพังด้วยสีหน้าบึ้งตึง

สถานการณ์อันย่ำแย่นี้ไม่ได้จบแค่การทำลายล้าง ความตาย และการบาดเจ็บ สิ่งที่น่ากังวลจริง ๆ คือความล้มเหลวในระบบการเฝ้าดูและการพยากรณ์ต่างหาก

นี่แปลว่า ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนักเวทมนตร์ดำค้นพบวิธีหลีกเลี่ยงเครือข่ายการตรวจจับอีเธอร์ได้ ก็ต้องเป็นเพราะสมาคมแห่งสัจธรรมมีหนอนบ่อนไส้อยู่

ไบรอนจดการคาดเดาของตนลงในสมุดโน้ต

‘ผู้ตายคือหัวหน้าลัทธิสีชาด ‘สาธุคุณ’ มอร์เฟย์และเหล่านักเวทมนตร์ดำอีกหลายคน การโจมตีที่ทั้งสองฝ่ายใช้มีดังนี้…’

‘ทุกการโจมตีดูจะเพ่งเล็งไปยังร้านหนังสือที่ซอย 23 ลัทธิสีชาดเองก็ค่อนขอดกับหอพิธีกรรมต้องห้ามและเหล่านักล่ามาแต่ไหนแต่ไร ทำไมจู่ ๆ พวกเขาถึงมาที่นี่…ใครอยู่ในร้านหนังสือนั่นกันแน่?’

ไบรอนเดินย่ำไปบนเศษซาก สายตาจดจ้องไปยังร้านหนังสือ

เขตแดนที่พวกเขากางเอาไว้ครอบคลุมไปทั่วบริเวณและกำลังปลอมแปลงความทรงจำของทุกคนในพื้นที่ มีเพียงร้านหนังสือแห่งนี้เท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไร

เทียบกับซากหักปรักพังรอบด้านแล้ว ตรงกลางดูจะกลายเป็นช่องว่างขนาดยักษ์เพื่อแบ่งฝั่ง

ฝั่งหนึ่งกลายเป็นเศษซากหักปรักพัง ในขณะที่อีกฝั่งดูสงบสุขไม่เป็นอะไรเลยสักนิด

การโจมตีของนักเวทมนตร์ดำแห่งลัทธิสีชาดถูกใครบางคนปัดป้องเอาไว้ แถมคนคนนั้นยังโจมตีกลับจนถอนรากถอนโคนพวกเขาได้สำเร็จอีกต่างหาก

ฝั่งตรงข้ามเองก็มีใครบางคนที่มีความสามารถระดับภัยพิบัติหรือสูงกว่าเช่นกัน

สมาคมแห่งสัจธรรมไม่รู้ว่าเจ้าของร้านหนังสือคือใคร และมันเป็นลางว่าเขาอาจจะเป็นตัวตนที่ไม่อาจควบคุมได้

“ผมไปเช็กที่ร้านหนังสือแป๊บหนึ่งนะ” ไบรอนแจ้งเพื่อนร่วมงานข้าง ๆ ก่อนจะโดดลงจากซากหักปรักพังแล้วเดินไปยังร้านหนังสือแห่งนั้น ซึ่งอยู่ตรงข้ามถนนนี้เอง ผ่านสายหมอกหนา ไบรอนรับรู้ได้จากแสงสลัวค่อนไปทางมืดที่แลบออกมาจากหน้าต่าง

“หยุดเลยแกน่ะ” เสียงหยาบกระด้างทว่าเคร่งขรึมดังขึ้นมา

ไบรอนหันไปมองแล้วจึงพบชายสูงวัย ทว่าตัวสูงบวกกับมีกล้ามแน่น เขาหน้าตึงไปก่อนจะถาม “คุณโจเซฟ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

อดีตอัศวินตอบกลับไปด้วยประโยคคำถาม “นั่นแกคิดจะทำอะไร”

ไบรอนตอบด้วยข้อเท็จจริง “ตรวจสอบร้านหนังสือน่าสงสัยครับ”

ชายหนุ่มชูสมุดโน้ตขึ้นมาแล้วเอ่ยต่อ “ความรับผิดชอบของผมคือการขุดคุ้ยเรื่องนี้ให้ลึก และร้านหนังสือนั่นก็เป็นผู้เกี่ยวข้องอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ผมต้องไปหาความจริงเพื่อสมาคมแห่งสัจธรรมครับ”

โจเซฟออกปากขู่ “เพื่อเหตุผลอันดีงามของแกแล้ว อย่าแม้แต่จะคิด”

“ความรู้ทำให้ผมใจเย็นลง และความเป็นเหตุเป็นผลคือคุณสมบัติที่นักวิชาการทุกคนต้องมีครับ” ไบรอนตอบกลับไป “ผมไม่ไขว้เขวแน่ และสิ่งที่คุณทำอยู่คือการดูถูกศักดิ์ศรีของผมนะ”

“ต่อให้คุณเป็นอัศวินระดับภัยพิบัติและเป็นรุ่นพี่ที่ผู้คนเคารพ คุณก็ไม่มีสิทธิจะมาล้อเลียนความเป็นเหตุเป็นผลของผมนะครับ”

“อีกอย่าง นี่เป็นความรับผิดชอบของผมด้วย”

โจเซฟมักจะรู้สึกรำคาญในการรับมือกับพวกท่อนไม้จากสมาคมแห่งสัจธรรมอยู่บ่อยครั้ง เขาเข้าใจดีว่าถ้าไม่มีหลักฐานอะไรก็โน้มน้าวพวกท่อนไม้นี้ไม่ได้ หากพวกเขาฟันธงแล้วว่าสิ่งนั้นเป็นคดี

ทว่าคนตรงหน้าเขาไม่ใช่คนธรรมดาเลย เจ้าหนุ่มนี่สามารถสร้างเครื่องมือระดับภัยพิบัติได้ และอยู่ในระดับที่จะโดนเรียกว่า ‘มาสเตอร์’ ได้แล้วด้วย

เครื่องมืออันประณีตหลายชิ้นที่หอพิธีกรรมต้องห้ามใช้ก็ถูกสั่งซื้อแล้วส่งตรงมาจากสมาคมแห่งสัจธรรมนี่แหละ

เผลอ ๆ เครื่องมือพวกนี้ส่วนใหญ่ไบรอนเป็นคนสร้างด้วยซ้ำ

“หอพิธีกรรมต้องห้ามได้จัดแจงให้ร้านหนังสือนี่อยู่ในระดับ S แล้ว แค่ข้อมูลนี้ยังไม่ถูกส่งต่อในดาต้าเบสของสมาคมแห่งสัจธรรมเฉย ๆ น่ะ เจ้าของร้านหนังสือช่วยพวกเราไว้ เพราะงั้นพวกแกแยกดีเลวไม่ออกหรอก”

โจเซฟจ้องตรงไปยังร้านหนังสือและสมทบ “ฉันว่าเจ้าของร้านคงไม่ชอบให้พวกแกไปสอบปากคำเขาเท่าไหร่ว่ะ”

สถานะของไบรอนในสมาคมแห่งสัจธรรมถือว่าเพียงพอในการเปิดเผยข้อมูลลับแล้ว

ชายหนุ่มหรี่ตาลง “ระดับ S? ในนอร์ซินเนี่ยนะครับ?” เขาอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่เชื่อ สมาคมแห่งสัจธรรมเรียกได้ว่ามีอำนาจแพร่หลายกระจายไปทั่วพื้นที่ในนอร์ซิน แล้วจะมีพื้นที่ระดับ S ใต้จมูกพวกเขาได้อย่างไรกัน

แม้ว่าระดับ S จะแข็งแกร่งมาก แต่เครือข่ายอีเธอร์ของสมาคมฯ ถูกตั้งขึ้นมาโดยสิ่งมีชีวิตระดับเหนือนภาเชียวนะ หากว่ากันตามทฤษฎีแล้ว ไม่ควรจะมีสิ่งใดเล็ดลอดผ่านเครือข่ายนั้นได้สิ

“อะไร คิดว่าของปลอมรึไง?” มุมปากโจเซฟกระตุกกึก “ตะกี้นี้ นักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติปล่อยมนตราระดับภัยพิบัติ แต่เครือข่ายอะไรนั่นของพวกแกดันจับอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเชียวนะเว้ย สุดท้ายเจ้าของร้านหนังสือก็ดันหยุดมันได้ไวกว่าที่สมาคมแห่งสัจธรรมอย่างพวกแกจะตอบสนองซะอีก”

“ก็นั่นมัน…นั่นน่ะ…” ไบรอนอึกอักไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

โจเซฟแค่นเสียง “พวกแกไปตรวจสอบตัวเองก่อนเหอะว่ะ”

ตอนนั้นเอง เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นพร้อมกับประตูหน้าร้านหนังสือที่เปิดออก

สองหนุ่มต่างหันขวับไปมองทันควัน และพบว่าผู้ออกมาจากร้านหนังสือเป็นเอลฟ์แสนสวยในชุดขาวพิสุทธิ์

ทั้งคู่ต่างชะงักงันไป ไบรอนตกตะลึงเพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีเอลฟ์ออกมาจากร้านหนังสือ ส่วนโจเซฟนั้นก็หัวขาวโพลนลืมอย่างอื่นไปจนสิ้น เพราะมีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาทำให้เขาเข้าใจ

ตอนที่เขาหยิบยืมเมล็ดพันธุ์แห่งขุมนรกมา โจเซฟเดาไว้แล้วว่าเจ้าของร้านหนังสือเป็นสิ่งมีชีวิตอายุยืนยาว และมีโอกาสสูงที่เขาจะเป็นเอลฟ์ด้วย

ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าความคาดเดานี้ถูกต้องลงล็อกไปหมด

เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ซึ่งเต็มไปด้วยความถือตัวและไม่ปฏิสัมพันธ์กับชาติอื่นเลย การเห็นพวกเขาอยู่กับมนุษย์นั้นเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้

จะเรียกว่าพวกเขาขี้เหยียดแต่กำเนิดก็ยังได้

เรื่องราวความรักระหว่างมนุษย์กับเอลฟ์นั้นเป็นได้แค่นิทานเท่านั้นแหละ

นอกจากมีสายเลือดบริสุทธิ์แล้ว เอลฟ์ตนนั้นยังหันไปมองร้านหนังสือด้วยสายตาเคารพยิ่งหลังออกมาอีก!

โจเซฟได้รับคำตอบสุดท้ายที่มีอยู่ในใจเรียบร้อย นี่ก็ใกล้ถึงเวลาคืนหนังสือเต็มทน…และดูท่าทางดาบปีศาจอาจได้พบนายใหม่แล้วก็เป็นได้

เอลฟ์ตนนั้นหันกลับมามองที่พวกเขาทั้งคู่ ก่อนจะแย้มยิ้มแจ่มใส “มนุษย์เอ๋ย เหตุใดจึงมาออกันอยู่หน้าประตูร้านนายท่านของข้าหรือ?”