บทที่ 91 – Setting World

 

อาจจะเพราะเห็นมิวแสดงสีหน้าประหลาดเรย์น่าจึงอาจจะเข้าใจผิดเป็นอีกอย่างหนึ่งเธอจึงรีบอธิบายทันทีว่า

“เอ่อ.. ข้าไม่ได้อยากให้ท่านมิวมาเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้นะคะ ข้าเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน”

“ฉันไม่ได้บอกแบบนั้นสักหน่อย”

พอเห็นท่าทางร้อนรนของอีกฝ่ายเหมือนกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด ทำให้มิวต้องตอบออกมาทันทีเช่นเดียวกัน

เมื่อได้ยินมิวพูดแบบนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะสูดลมหายใจเล็กน้อย

“แต่ก็เพราะแบบที่พูดไปก่อนหน้านี้นั่นแหละค่ะ ท่านมิว.. พวกศาสนจักรคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ถ้าเรื่องที่ท่านเสียความทรงจำถูกรับรู้เข้า”

“เพราะงั้นแหละค่ะ ความจริงแล้วฉันเองก็มีเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้บอกพวกนั้นเหมือนกันค่ะ”

“ก็คือฉันใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ได้ อาจจะไม่เท่าท่านมิวแต่ฉันก็ศึกษามาแล้วหลายสิบปีค่ะ เพราะงั้นฉันก็ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงได้อยู่บ้าง แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่รู้เรื่องนี้”

“เพื่อที่จะไม่ให้พวกนั้นรู้ตัว ท่านมิวแค่แกล้งทำเป็นสอนฉันก็พอค่ะ ส่วนฉันจะแสร้งทำเป็นค่อยๆ ฝึกเอาก็ได้ค่ะ”

“แบบนี้พวกนั้นจะได้ไม่สงสัย อีกอย่างก็ยืดเวลารอให้ความทรงจำท่านกลับมาด้วย ออกไปนอกเมืองตอนนี้มีแค่อันตรายเปล่าๆ”

เรย์น่าเสนอความเห็นของตัวเอง มิวเองก็พิจารณาสิ่งที่เธอกล่าวทุกอย่าง แม้จะมีเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง

อย่างเช่น ถ้าสาวน้อยคนนี้สามารถใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงได้ จะเป็นคนขอให้เธอมาช่วยทำไม ในเมื่อถ้าปีศาจจิตมรณะบุกเข้ามายังไงก็สามารถจัดการได้

หรือเป็นเรื่องที่ว่าทำไมสาวน้อยคนนี้ถึงเสนอความคิดนี้ขึ้นมาเหมือนต้องการจะปกป้องมิวเสียเอง เพราะทุกข้อเสนอของนางคือมีแค่มิวที่ได้รับผลประโยชน์

แต่ทว่าทุกเรื่องที่ว่ามาจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ถ้าเทียบกับความยากที่เควสมิวต้องทำ ทำให้เธอสามารถที่จะมองข้ามพล็อตโฮลเล็กๆ น้อยๆ ที่เทพธิดาทำได้ ยังไงซะตัวตนของเธอก็ถูกแทรกแซงให้ปรากฏตัวในโลกนี้โดยพลการ

เพราะตามปกติแล้ว ชั้นนี้จะไม่มีใครสื่อสารกับคนในชั้นได้นั่นแหละ แม้จะอยู่โลกเดียวกันแต่กลับเหมือนอยู่ในกระจกกับนอกกระจก

ถึงมิวจะไม่เคยขึ้นมาก่อน แต่เธอก็อ่านข้อมูลของหอคอยมาพอสมควรว่าชั้นสี่เป็นชั้นแบบไหนละนะ

ทว่ามิวที่ถูกจับแทรกแซงเข้ามาในเหตุการณ์ของโลกนี้เพราะเควส ก็เลยอาจจะเกิดความไม่สมเหตุสมผลได้บ้าง

ทว่าสำหรับความยากของเควสที่กล่าวถึงไปในคราแรกก็คือการที่ มิวต้องสอนสาวน้อยที่ชื่อเรย์น่าตรงหน้านี้

ถึงเรย์น่าจะบอกว่าอีกเดี๋ยวมิวก็ความทรงจำกลับมาเองก็เถอะ แต่มิวรู้ดีว่าเธอไม่ได้มีวิชาหรือพลังศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งสิ้น

แต่เควสมิวกลับบอกว่าต้อง ‘สอน’ สาวน้อยตรงหน้านี้ แต่สาวน้อยนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญวิชานั้นแต่แรกอยู่แล้วไง

มิวที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งมือใหม่ต้องสอนให้กับคนที่เชี่ยวชาญ ยังไงซะก็ไม่มีทางสำเร็จอยู่แล้วล่ะ ถึงเจ้าตัวบอกว่าจะไม่ต้องสอนก็เถอะ

แต่ถ้าให้มิวเดาเนื้อเรื่องตอนต่อไป.. คงประมาณว่าสาวน้อยคนนี้เรียนด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่อาจไปถึงจุดสูงสุดได้ ไม่สามารถจัดการกับต้นตอของจิตมรณะได้

ดังนั้นมิวต้องสอนวิชาสุดท้ายนั่นเอง…

“ถ้าไม่มีบทลงโทษเควสอาจจะง่ายกว่านี้งั้นสินะ”

มิวพึมพำกับตัวเอง ในระหว่างที่มิวใช้ความคิด เรย์น่าแอบมองมิวเป็นระยะๆ เหมือนกับว่าเธอลังเลบางอย่างอยู่

“งั้นสินะ เข้าใจแล้ว”

พอเห็นมิวไม่ถามอะไรอีก สาวน้อยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากนั้นทั้งสองคนก็คุยเกี่ยวกับเรื่องราวในโลกนี้ต่ออีกพักหนึ่ง

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาที่มิวต้องรู้ในการเสแสร้งแกล้งว่าตัวเองกำลังสอนเรย์น่า และทุกอย่างที่ว่ามาก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อมิว

จนทำให้มิรู้สึกว่าเควสนี้มันง่ายขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ.. เพราะมีเรย์น่าคอยบอกทุกอย่างให้เหมือนไกด์จริงๆ

ก่อนอื่นเลย โลกใบนี้ไม่ได้ถูกปกครองโดยแค่ประเทศเท่านั้น.. แต่ว่าแต่ละประเทศจะแบ่งเป็นขุมอำนาจที่อยู่เหนือประเทศอีกทีหนึ่ง

นั่นก็คือศาสนจักร..หรือก็คือกลุ่มผู้คนที่นับถือศาสนานั่นแหละนะ เพราะพลังในโลกนี้มีอยู่ด้วยกันสามแบบ

เวทมนตร์ วิชายุทธ์และวิชาศักดิ์สิทธิ์

แน่นอนว่าเวทมนตร์คือพลังของศาสนจักรมนตรา นับถือเทพแห่งเวทมนตร์ มีประเทศที่นับถืออยู่ใต้อาชาประมาณสิบกว่าประเทศ

เวทมนตร์คือพลังในการสร้างสิ่งของจากพลังงานเวท ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือสิ่งของล้วนสามารถสร้างได้หมด แต่อ่อนแอทางด้านการต่อสู้

วิชายุทธ์ก็คือศาสนจักรปราชัย นับถือเทพแห่งสงครามใช้วิชาการต่อสู้เพื่อกำจัดศัตรู มีประเทศที่นับถือและอยู่ใต้อาชามากกว่าสิบห้าประเทศ

และแน่นอนว่าตามชื่อเลยวิชายุทธ์คือวิชาที่ใช้ในการต่อสู้ ทั้งแบบระยะประชิดและระยะไกล ในด้านการต่อสู้เหนือกว่าสองศาสนจักรอย่างมนตรากับโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์

สุดท้ายก็คือวิชาศักดิ์สิทธิ์ คือพลังของศาสนจักรโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ นับถือเทพีศักดิ์สิทธิ์ผู้หลุดพ้นจากกิเลศทางด้านจิตใจทั้งปวง

พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นอาจจะไม่ได้ใช้สร้างสิ่งใหม่เหมือนเวทมนตร์ อาจจะไม่ได้ใช้ต่อสู้ไร้ขีดจำกัดแบบวิชายุทธ์

แต่วิชาศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ล้วนอยู่เหนือสามัญสำนึก เหนือสิ่งอื่นใดเลยมันไม่ใช่ใครๆ ก็สามารถเรียนได้เพราะมันคือพลังในการสืบทอดต่อ

พลังศักดิ์สิทธิ์คือพลังในการส่งต่อเจตนารมณ์ความคิดและความรู้สึกจิตใจ ทำให้คนที่นับถือโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีน้อยมาก

อันที่จริงที่ตั้งแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็คือเมืองขนาดใหญ่นี้ กับโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็เท่านั้นนั่นแหละนะ

ทว่า..เมื่อห้าสิบปีก่อนได้มีการแพร่ระบาดของโรคปริศนา และมันก็ค่อยๆ กัดกินโลกใบนี้ กัดกินสองศาสนจักร

เวทมนตร์ก็ดี วิชายุทธ์ก็ช่างหากโดยพิษร้ายของมันที่เหมือนจะโจมตีเข้าไปในจิตใจ.. ทุกคนล้วนกลายเป็นแบบเดียวกับมัน

ในเวลาครึ่งศตวรรษเพียงเท่านั้น เพียงแค่ครึ่งศตวรรษทุกประเทศ ทุกศาสนจักรทั่วโลกต่างก็พังย่อยยับ

ทว่ามีเพียงอย่างเดียวที่พวกมันไม่โจมตีนั่นคือศาสนจักรโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์รายล้อมอยู่นั่นเอง

ทำให้เมื่อประมาณสิบห้ากว่าปีก่อนคนเริ่มมาอยู่ใต้อาชาของศาสนจักรโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นสาสนาที่รวบรวมคนที่เหลือรอดมาอยู่ด้วยนั่นเอง

เลยกลับมายิ่งใหญ่.. ภายใต้ซากศพของศาสนจักรอื่นๆ น่ะนะ.. และจนกระทั่งสิบกว่าปีก่อนที่มีปีศาจจิตมรณะที่แข็งแกร่งบุกเข้ามา

และมิวปรากฏตัวขึ้นช่วยเหลือเมืองเอาไว้นั่นเอง.. แต่ก็อย่างที่ว่าเมืองนี้เป็นหนึ่งในแหล่งที่พึ่งสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง

“เอ้ะ.. วิชาศักดิ์สิทธิ์ต้องสืบทอดจากคนอื่นเท่านั้น?”

“ใช่ค่ะ เพราะแบบนั้นนั่นแหละเลยทำให้ผู้ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์มีน้อยมาก น้อยเสียจนแทบไม่เหลือแล้วอย่างมากก็มีแค่คนที่ใช้ระดับเริ่มต้นได้เท่านั้นนั่นแหละ แต่ว่าเพียงแค่นับถือเทพีศักดิ์สิทธิ์ผู้นิพพานก็ได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์มาแล้วค่ะ แม้จะน้อยนิดแต่นั่นก็ทำให้พวกปีศาจจิตมรณะไม่โจมตีนั่นเอง”

“ไม่สิ.. ที่ฉันสงสัยคือแล้วเธอเรียนด้วยตัวเองยังไง?”

“อ้อ เรื่องนั้นหรอกเหรอ อย่างที่บอกคือข้าเป็นคนที่มีกายาไร้จิต พูดให้ถูกคือไม่มีวิญญาณ ไม่มีเจตนารมณ์ค่ะ”

พูดมาถึงจุดนี้แล้วเรย์น่ารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะบอกว่าตัวเองนั้นไม่มีจิตใจเธอเลยรีบพูดแก้ทันที

“คือที่ว่าไม่มีเจตนารมณ์นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่มีความคิด หรือเป้าหมายนะคะ.. แต่ความคิด ความรู้สึก เป้าหมายทุกอย่างมีเหมือนคนปกติค่ะ เพราะเดิมทีพวกนั้นเกิดขึ้นจากสมองและประสาทต่างๆ อยู่แล้ว”

“แต่ที่ข้าจะบอกก็คือ ข้าไม่มีเจตจำนงแต่กำเนิด เลยไม่จำเป็นต้องสืบทอดเจตจำนงจากใครสามารถเรียนรู้วิชาศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยตัวเองน่ะค่ะ”

“อ้ะ แต่ข้าสามารถเรียนรู้จากคนอื่นได้เหมือนกันนะคะ นึกภาพไม่ออกคือสิ่งมีชีวิตจะเป็นผ้าผืนหนึ่ง และจิตคือสีขาวของผ้านั่นแหละค่ะ การจะแต่งแต้มหรือใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ได้ต้องได้รับสีจากที่อื่น และคนที่มีสีก็ต้องเป็นคนที่มีสีใช่ไหมล่ะค่ะ?”

“แต่ผ้าของข้าก็คือสีใส ข้าสามารถเติมเต็มมันเองได้ด้วยการเรียนรู้ เพราะเดิมทีมันก็ไม่ใช่ผ้าขาวนั่นแหละค่ะ”

“แน่นอนว่าเรื่องนี้พวกเบื้องบนไม่รู้ พวกนั้นรู้แค่ว่ากายาไร้จิตของข้านั้นไม่ได้รับผลจากจิตมรณะของพวกนั้น กับรู้แค่ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รายล้อมอยู่รอบตัวข้ามีมากกว่าคนอื่นเหมือนได้รับความรักจากพระผู้เป็นเจ้า”

เธออธิบายให้มิวเข้าใจได้ง่ายที่สุด.. หลังอธิบายเสร็จก็ถามมิวต่อว่า

“มีอะไรที่สงสัยอีกหรือเปล่าคะ?”

อันที่จริงเรย์น่าดูสนุกมากเมื่อได้เล่าเรื่อง ไม่สิ เธอสนุกมากเมื่อได้คุยอยู่กับมิวมากกว่า ดวงตาที่จ้องไปที่มิวนั้นมีความรู้สึกหลากหลายจนแม้แต่มิวยังรู้สึกวางตัวไม่ถูก … เธอพอจะเข้าใจความรู้สึกองสัตว์ที่อยู่ในสวนสนุกแล้วถูกเด็กๆ ผู้รักสัตว์จ้องมองตาเป็นมันขึ้นมาแล้วล่ะนะ

แต่เธอก็เข้าใจ.. Setting World ขึ้นมาแล้วล่ะ!