ตอนที่ 75 เขาเป็นเด็กน่ารัก

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 75 เขาเป็นเด็กน่ารัก

ตอนที่ 75 เขาเป็นเด็กน่ารัก

ที่มุมห้องของพื้นที่ว่างนี้มีผ้านวมสกปรกและหมอนใบเล็กสองใบ รวมไปถึงของใช้ประจำวันที่ขาดรุ่งริ่งซึ่งมีร่องรอยของการใช้งาน นี่น่าจะเป็นสถานที่พักผ่อนของหลินฟางจือ

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตัวเขาเองสามารถเข้ามาสู่พื้นที่นี้ได้ตามต้องการ

ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถรักษาชีวิตของเขาไว้ได้ ในขณะที่เขาออกเดินทางมาเป็นเวลานาน

เมื่อปล่อยมือ ภาพในหัวของเธอก็หายไปอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์มาก

ซูเถาอิจฉาจริง ๆ

เมื่อเห็นว่ายังมีพื้นที่ว่างอีกมาก เธอจึงเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงไปอีก 5 แกลลอน และน้ำอีก 15 แกลลอน แกลลอนละ 10 ลิตร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งหมด ยิ่งมากก็ยิ่งดี และในที่สุดเธอก็เพิ่มโต๊ะแบบพับได้สำหรับหกคน พร้อมกับของที่ต้องใช้บนโต๊ะอาหารอีกบางส่วน

หากต้องการแวะกินอะไรระหว่างทาง ก็สามารถนำโต๊ะนี้ออกไปกางเพื่อกินอาหารได้

จากนั้นเมื่อเธอพิจารณาแล้วว่ามีของบางอย่างนั้นนำมาอย่างลำบาก ซูเถาก็ขอให้หลินฟางจือรอสักครู่และเธอก็ไปซื้อชั้นวางสูงจากพื้นจรดเพดานยี่สิบชั้นในร้านค้าของระบบ

ตอนที่เธอกำลังเลือกซื้อของ ก็พลันนึกถึงผ้าห่มที่น่าสมเพชผืนนั้น ซึ่งอาจจะคลุมเท้าของหลินฟางจือไม่ได้ด้วยซ้ำ

เธอก็เลยซื้อเตียงขนาด 6 ฟุต ตู้เสื้อผ้า ชั้นเก็บของ โต๊ะเก้าอี้ ฉากกั้นและอื่น ๆ อีก

จากนั้นเธอก็เรียกเขาเข้ามา และขอให้เขาพาเข้าไปในห้วงมิติด้วยกันเพื่อเข้าไปจัดระเบียบและวางสิ่งของทั้งหมดไว้ที่ชั้นวางของ

หลินฟางจือไม่เข้าใจ แต่เขาก็ยื่นมือออกมา “จับ”

ซูเถา “…”

ก็แค่นี้ อดทนเอาไว้ ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะแก่กว่าเธอครึ่งปี แต่จิตใจของเขาเหมือนกับเด็ก คงไม่มีอะไร

พื้นที่มืดสลัวปรากฏขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง

หลินฟางจือกล่าวว่า “คุณคิด พวกมันเคลื่อนไหวได้”

ซูเถารู้สึกว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของเธอนั้นเต็มสิบ เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วก็เริ่มจินตนาการถึงการวางสิ่งของบนชั้นวางทีละชิ้น

และแน่นอนว่าภายใต้การควบคุมจากจินตนาการของเธอ ถังน้ำมันเชื้อเพลิงของเธอก็ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย

และแกลลอนน้ำทั้งหมดก็ถูกวางเรียงไว้ในจุดเดียวกัน จัดเรียงไว้ในชั้นวางขนาดใหญ่ชั้นเดียว

ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เหลือและพวกของใช้ในชีวิตประจำวัน ก็ถูกจัดเรียงอยู่บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อต้องการหยิบใช้

ของข้างต้นทั้งหมดที่พูดมาถูกวางชิดไว้ที่ผนังด้านหนึ่ง

ฝั่งตรงข้ามซูเถาวางเตียงขนาด 6 ฟุตชิดผนัง วางโต๊ะและเก้าอี้ไว้ทางด้านซ้ายของเตียงนอน และตู้เสื้อผ้าถูกจัดวางไว้ตรงปลายเตียง

เธอใช้ฉากกั้นแยกพื้นที่พักผ่อนกับพื้นที่จัดเก็บเสบียงออกจากกัน เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัย

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ซูเถาก็ปล่อยมือและปล่อยให้ฟางจือเข้าไปดู

หลินฟางจือไม่ได้เข้าไป แต่ดวงตาของเขานั้นเบิกกว้าง โดยที่ดวงตาของเขาไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งใด จากท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่าเขาได้เห็นพื้นที่ที่ทรุดโทรมในหัวของเขาแล้ว

เขาพึมพำ “เตียง โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ จำได้”

จากนั้นเข้าก็แสดงท่าทีสับสน

ซูเถารู้ว่าเขาคงเห็นฉากกั้น จึงอธิบายให้เขาฟังว่า

“สิ่งนี้เรียกว่าฉากกั้น มันเป็นผนังที่พับและเคลื่อนย้ายได้”

หลินฟางจือค่อย ๆ จดจำไว้ เขาเหมือนเด็กที่คอยพูดพล่าม “ฉากกั้น”

ซูเถาชื่นชมเขาแล้วพูดอย่างใจเย็น

“คืนนี้นายอยากจะนอนที่ห้องนั่งเล่นของฉันหรือว่าจะนอนในห้วงมิติของนายก็ได้ แต่นายต้องนอนบนเตียงนะเข้าใจไหม ฉันจะเอาผ้าห่มและหมอนสกปรก ๆ ของนายออกไปซักให้ ฉันจะไปซักให้สะอาดแล้วเอามาคืนให้นะ ตกลงไหม”

แม้ว่าซูเถาจะอยากโยนมันทิ้งก็ตาม เพราะว่ามันทั้งเยินและสกปรก แต่เมื่อเธอนึกถึงคำที่จวงหว่านบอกก่อนหน้านี้ เด็ก ๆ ล้วนมีความคิดถึงอดีต โดยเฉพาะเด็กที่รู้สึกว่าไม่มีความปลอดภัย เขามักจะนึกถึงสิ่งที่พวกเขาใช้มาตั้งแต่ยังเด็กเสมือนเป็นสมบัติ

ซูเถาคิดว่าหลินฟางจือก็อาจจะเป็นเด็กประเภทนี้เช่นกัน

หลินฟางจือเข้าใจ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเชื่อใจซูเถา จากนั้นเขาก็เฝ้าดูซูเถานำผ้าห่มกับหมอนของเขาออกไปอย่างหมดหนทาง แล้วโยนลงไปในเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่สามารถหมุนได้และล้างมันด้วยน้ำ

หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น

ซูเถาพาเขาไปที่ห้องน้ำและสอนให้เขารู้จักใช้โถสุขภัณฑ์และฝักบัวอาบน้ำ

ตอนแรกหลินฟางจือต่อต้านกับสิ่งใหม่ ๆ แต่ซูเถาก็ดึงเข้ากลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยหลังจากที่เขาพยายามหนีหลายครั้ง

“เป็นเด็กดีหรือเปล่า?”

เพื่อยืนยันความ ‘เป็นเด็กดี’ หลินฟางจือจึงจ่อหัวของเขาไปที่ก๊อกน้ำเย็นเพื่อให้เคยชินกับฝักบัวที่มีน้ำไหลออกมา

ในขณะที่สอนเขาให้รู้จักวิธีใช้งาน ซูเถาก็ต้องสอนเขาให้รู้จักเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย

“นี่คืออ่างล้างมือ ก่อนกินข้าวและหลังเข้าห้องน้ำก็มาล้างมือตรงนี้ ส่วนนี่คือฝักบัว…”

หลินฟางจือฉลาดมาก เธอพูดแค่รอบเดียวเขาก็จดจำได้ แต่เขายังไม่สามารถขจัดความกลัวสิ่งใหม่ ๆ นี้ออกไปได้ หลังจากที่เขาเรียนรู้ เขาต้องการให้ซูเถาคอยอยู่เคียงข้างเขาและไม่อยู่ห่างจากเขา

ซูเถาไม่รู้จะทำยังไง อีกฝ่ายเป็นเพศตรงข้ามแถมยังรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นเธอจึงหันหลังให้เขาเพื่อรอเขาอาบน้ำ

จวงหว่านไปนำเสื้อผ้ามาและส่งให้ที่หน้าประตู เป็นเสื้อผ้าของคู่พ่อลูกแซ่ชางในห้องคู่ 006 ที่ไม่สามารถสวมใส่ได้แล้ว

ขนาดพอดีกับหลินฟางจือ

เมื่อจวงหว่านเห็นว่าเขาได้รับการชำระล้างร่างกายและสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว และผมที่ยาวลงมาของเขายาวจนเหมือนกับสาวน้อยบอบบางคนหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

“เขาเป็นเด็กน่ารัก แต่ว่าผอมเกินไป เขาควรจะกินข้าวให้มากกว่านี้”

ซูเถาอยากที่จะตัดผมให้เขา แต่หลินฟางจือส่ายหัวอย่างลนลานและแสดงท่าทีอ้อนวอน

จวงหว่านที่เป็นแม่คนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้เธอจึงเกลี้ยกล่อม

“ไม่ตัด ๆ พวกเราต่างก็ไว้ผมยาว ดูดีออก!”

ซูเถาถือกรรไกร และรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นแม่เลี้ยง

ไม่งั้นก็ต้องมัด เธอต้องหายางรัดผมมามัดให้เขา

ซูเถารู้สึกหมดหนทาง เมื่อเธอมัดผมให้เขา เขาก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แบบนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เมื่อสือจื่อจิ้นกลับมาเห็นหลินฟางจือมัดผม เขาก็สงสัยอยู่พักใหญ่คิดว่าความทรงจำของเขามีอะไรผิดพลาด ตอนกลางวันเขาเป็นเด็กผู้ชายไม่ใช่เหรอ?

ซูเถากล่าวว่า “ผมของเขายุ่งเหยิงพันกันไปหมด ตอนกลางวันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยาวเท่าไหร่ แต่ตกเย็นเมื่อเขาสระผมแล้วก็พบว่าผมของเขายาวเกือบเท่าผมของฉัน ฉันเห็นว่าผมมันปิดหน้าปิดตาเขาก็เลยช่วยมัดให้”

สือจื่อจิ้นพูดไม่ออก เมื่อเขาเห็นดวงตาของหลินฟางจือที่ยังดูกลัวเขาอยู่ แล้วพูดว่า

“คุณเป็นผู้ดูแลแล้วกัน เอาเครื่องมือสื่อสารมาให้ผม เดี๋ยวผมจะติดตั้งตำแหน่งของชิปที่ผมติดไว้กับตัวเขาให้คุณ”

เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก็คืนให้เธอ และสือจื่อจิ้นก็สอนวิธีใช้ให้กับเธอ

หลินฟางจือยืนอยู่ด้านข้างอย่างหมดหนทาง เขามองเห็นภาพที่เขาถูกทอดทิ้งอีกครั้ง ความอบอุ่นและการได้รับการปกป้องดูแลที่เขาเพิ่งได้รับค่อย ๆ หายไป

เสวี่ยเตายืดตัวขึ้นแล้วเลียมือของเขาพร้อมส่งเสียงร้อง “โฮ่ง” เบา ๆ

หลินฟางจือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเลียนแบบรูปร่างหน้าตาของมันแล้วย่อตัวลง คนหนึ่งคนสุนัขหนึ่งตัว มองไปที่ซูเถาและสือจื่อจิ้น

หลังจากอธิบายเสร็จ เมื่อซูเถาเงยหน้าขึ้นก็เห็นทั้งสองอยู่ในท่าทางแบบนั้น เธอรีบดึงหลินฟางจือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเด็กคนนี้ มันเป็นหมา แต่นายเป็นคน โซฟาใหญ่โตไม่รู้จักนั่ง กลับไปนั่งที่พื้นกับหมา ฉันเพิ่งจะจับนายอาบน้ำไปนะ”

จากนั้นเธอก็เริ่มสอนให้เขารู้จักสิ่งต่าง ๆ “สิ่งที่นุ่ม ๆ นี้เรียกว่าโซฟา สำหรับคนนั่ง และแน่นอนว่าลูกสุนัขก็นั่งได้ ด้านหน้าคือโต๊ะกาแฟมันจะค่อนข้างเตี้ย เอาไว้สำหรับวาง…”

หลินฟางจือรู้สึกว่าความอบอุ่นนั้นเริ่มกลับมา

สือจื่อจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ สีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป

จู่ ๆ หลินฟางจือก็รู้สึกได้ถึงความกดอากาศที่ต่ำ และไม่รู้ว่าทำไม เด็กหนุ่มมองไปที่สือจื่อจิ้นและมองไปที่ซูเถาด้วยความกังวลใจ

ซูเถาถามด้วยความงุนงง “เป็นอะไรไป?”

สือจื่อจิ้นขมวดคิ้ว “คุณกำลังสอนอะไรเขา? คนแซ่เฉินไม่ได้บอกคุณเหรอว่าเขามีปัญหาด้านสติปัญญา”