บทที่ 65 ขัดใจมี่เหลียนอิ๋น (ต้น)

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 65 ขัดใจมี่เหลียนอิ๋น (ต้น)

เหมยเชาฟง หัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยินรายงาน “ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าไม่มีทางที่ ถานเว่ย จะเป็นคู่ต่อสู้ของ เจ้าสิบสอง!”

เสียงหัวเราะอันเย่อหยิ่งของเขาผสมกับเสียงร้องไห้อู้อี้จากใต้โต๊ะ

โดยไม่ลังเลใด ๆ เหมยเชาฟงตบไปที่หัวของหญิงสาวที่อยู่ใต้โต๊ะ

“เจ้าจะร้องไห้ทำบ้าอะไร? ตอนนี้ ถานเว่ย ตายแล้วนับจากนี้เจ้าจะติดตามข้าเป็นต้นไป ข้ารับประกันว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก!”

ดอกบ๊วยสิบสาม กลืนน้ำลายของเขาพลางคิดในใจ ‘ข้าคิดว่าในอนาคตข้าควรแต่งงานกับผู้หยิงที่หน้าตาน่าเกลียดสักหน่อยเพื่อความปลอดภัย และถ้าข้าอยากมีอะไรกับผู้หญิงสวย ๆ จริง ๆ ข้าค่อยไปเที่ยวที่หอนางโลมเอาก็คงจะดีกว่าสินะ!’

“รายงาน!” สมาชิกสำนักอีกคนวิ่งมาหน้าประตูด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านเจ้าสำนัก เราพบชิ้นส่วนเสื้อผ้าของนายน้อยสิบสองบริเวณหุบเขาหมาป่า ซึ่งมันเปื้อนเลือดขอรับ!”

“ว่าไงนะ?!” เหมยเชาฟง ลุกขึ้นพรวดด้วยสีหน้าตกตะลึงพร้อมกับกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะ

ดอกบ๊วยสิบสาม รีบเบนสายตาไปทางอื่นทันทีเพราะภาพตรงหน้าเขามันไม่ค่อยหน้าดูสักเท่าไหร่สำหรับชายอกสามศอกอย่างเขา

เหมยเชาฟงดึงกางเกงขึ้นทันทีและเดินไปที่ประตู เขาฉวยเอา

ผ้าเปื้อนเลือดที่ขาดรุ่งริ่งจากมือของสมาชิกสำนักและตรวจสอบอย่างละเอียด ที่เศษผ้ามีลายปักอักษรคำว่า ‘สิบสอง’ ซึ่งขาดจนแทบไม่มีชิ้นดี “มันเป็นของสิบสองจริง ๆ !”

“ตัวการต้องเป็นซูอันแน่นอน! ข้าจะไปฆ่ามันเดี๋ยวนี้!” ดอกบ๊วยสิบสามกู่ร้องขึ้นด้วยความโกรธพร้อมกับหันหลังเตรียมวิ่งออกไปจากห้องทันที

แต่ก่อนที่ดอกบ๊วยสิบสามจะได้ทันวิ่งออกไป เหมยเชาฟง ตะโกนห้ามเอาไว้เสียก่อน “หยุดเดี๋ยวนี้! ไม่ว่าไอ้เจ้าซูอันนั่นจะไร้ประโยชน์และไร้ค่าเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นบุตรเขยของตระกูลฉู่! หากเจ้าบังอาจฆ่าเขาในที่สาธารณะ ไม่เกิน1ชั่วคนเฝ้าประตูหัวของเจ้าคงถูกเสียบประจานอยู่ที่หน้าประตูเมืองแน่นอน! นอกจากนี้คนอย่าง สิบสอง จะโดนขยะแบบนั้นเล่นงานได้ยังไงเจ้าไม่คิดบ้างเลยเหรอ?”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดเช่นนี้ ดอกบ๊วยสิบสาม ก็เริ่มสงบลง ไม่ว่าตระกูลฉู่ จะมองว่าลูกเขยของพวกเขาไร้ค่าขนาดไหน แต่ถ้าเขาฆ่า ซูอัน ในที่สาธารณะในเมือง ตระกูลฉู่จะทำทุกวิถีทางในการล้างแค้นเพื่อรักษาชื่อเสียงและเกียรติของตระกูลฉู่

และการแก้แค้นของตระกูลฉู่ จะไม่หยุดเพียงแค่ดอกบ๊วยที่สิบสามเท่านั้น มันอาจจะลามมาถึงสำนักดอกบ๊วยทั้งหมดเช่นกัน

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมดอกบ๊วยสิบสองจึงต้องล่อ ซูอัน ออกไปสังหารที่นอกเมืองและมัดเขาไว้กับต้นไม้เพื่อให้เขาถูกฟ้าผ่า อันที่จริงมันเป็นแผนที่สมบูรณ์แบบ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าซูอันจะโชคดีรอดตายจากการถูกฟ้าผ่าได้แบบนั้น?

ทันใดนั้น ดอกบ๊วยสิบสาม ก็คิดถึงความเป็นไปได้ “ท่านพ่อ เป็นไปได้ไหมที่ ซูอัน แสร้งทำเป็นอ่อนแอมาตลอด? ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไมบุตรสาวคนโตของตระกูลฉู่ จะสนใจขยะไร้ประโยชน์อย่างเขา”

เหมยเชาฟงโบกมือปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้ ข้ามีข่าววงในว่าไอหนุ่มนั่นเป็นขยะตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างแท้จริง ส่วนเหตุผลที่คุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่เลือกเขาเป็นสามีของนาง นั้นเป็นเพราะมีสาเหตุบางอย่างที่ซับซ้อนอยู่เบื้องหลัง”

“ถ้าเขาไม่ใช่ตัวการก็คงก็เหลือเพียงความเป็นไปได้เดียว…” ดอกบ๊วยสิบสาม เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจากนั้นก็หยุดพูดไปซะอย่างนั้น

“ต้องรอให้ข้าอกแตกตายก่อนเหรอไง เจ้าถึงจะเลิกไอ้นิสัยที่พูดอยู่ดี ๆแล้วก็หยุดลงกลางคันแบบนี้!? เร็ว ๆ รีบพูดสิ่งที่เจ้าต้องการจะพูดออกมาได้แล้ว!” เหมยเชาฟง ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาลเต็มทน

ดอกบ๊วยสิบสาม รีบเอ่ยต่อ “ข้าคิดว่า ซูอัน อาจมีผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังคอยดูแลเขาอยู่ มันเป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไปสำหรับเขาที่จะเอาชีวิตรอดจากการถูกฟ้าผ่าเมื่อสองสามวันก่อนและเอาชนะการลอบสังหารของสิบสองในครั้งนี้ เขาต้องมีผู้บ่มเพาะระดับสูงคอยช่วยเขาอยู่ในมุมมืดแน่นอน!”

“มียอดฝีมือคอยช่วยเหลืองั้นเหรอ?” เหมยเชาฟงขมวดคิ้ว “นั่นเป็นไปไม่ได้ เจ้าเองก็น่าจะเคยอ่านข้อมูลของขยะที่ไร้ประโยชน์เช่นเขาไปแล้ว

ไม่ใช่เหรอไง มันไม่มีทางเลยที่เขาจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับ

ผู้บ่มเพาะระดับสูงได้”

“แต่เมื่อวันก่อน ข้าเห็นเขาอยู่กับใครบางคนในสำนัก…”

ดอกบ๊วยสิบสาม โน้มตัวเข้าไปใกล้เหมยเชาฟงและบอกเขาเกี่ยวกับผู้หญิงที่เขาพบในสำนักจันทร์กระจ่างก่อนหน้านี้

“เจ้าทำได้ดีที่ไม่สร้างปัญหาเพราะแม้ว่าพวกเราจะไม่รู้ว่า

ซางหลิวอวี้ มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับไหน แต่นางก็มีสำนักใหญ่คอยหนุนหลังนางอยู่ นอกจากนี้ ผู้หญิงคนนั้นยังเป็นปริศนา ดังนั้นเป็นการดีที่สุดที่เราจะไม่ล่วงเกินนางหากไม่จำเป็น” เหมยเชาฟงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “อย่างไรก็ตามด้วยบุคลิกที่แปลกประหลาดของนาง ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่นางจะมีส่วนร่วมในเรื่องนี้”

“ถ้าไม่ใช่จากสำนัก…เป็นไปได้ไหมว่าตระกูลฉู่ ได้มอบหมายให้หนึ่งในผู้บ่มเพาะระดับสูงของพวกเขาคอยปกป้องซูอัน?” ดอกบ๊วยสิบสามเอ่ยถาม

“มันเป็นการสิ้นเปลืองกำลังคนเกินไปในการปกป้องขยะที่ไร้ประโยชน์เช่นเขา” เหมยเชาฟง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แต่แนวคิดนี้ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด ตระกูลฉู่ อาจมอบหมายให้ใครบางคนปกป้องเขาอย่างลับ ๆ ก็ได้จริง ๆ เอาเป็นว่าข้าจะหาเวลาไปถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้จ้างวานอีกรอบเกี่ยวกับเรื่องนี้และนับจากนี้ไปพวกเราต้องดำเนินการทุกอย่างแบบระมัดระวังมากกว่าเดิม เราต้องฆ่าเขาด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยกำลัง”

ดอกบ๊วยสิบสาม ยิ้มอย่างชั่วร้ายขณะที่เขาหยิบตั๋วหนี้ออกมา “ตอนแรกข้าคิดว่าสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์ แต่ใครจะคิดว่าตอนนี้มันกลับกำลังจะเป็นไพ่ตายในภารกิจของเรา ข้าได้ยื่นคำขาดให้เขาแล้ว หากเขาไม่คืนเงินมาภายในสามวัน แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่สามารถหยุดเราจากการสับมือของเขาได้!”

เมื่อเห็นตั๋วหนี้ในมือของดอกบ๊วยสิบสามสีหน้าของ เหมยเชาฟง เปลี่ยนเป็นเบิกบานทันที “เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ สมกับที่ข้าคอยสั่งสอนเจ้าอย่างดีมาโดยตลอด เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ ! ตระกูลฉู่ มีกฎที่เข้มงวดซึ่งห้ามสมาชิกตระกูลคนใดยุ่งเกี่ยวกับการพนัน ข้าคิดว่า

ฉู่จงเทียน จะไม่ยืนหยัดเพื่อลูกเขยที่ไร้ประโยชน์ของเขาในเรื่องนี้แน่นอน!”

ตัดกลับมาทางด้านของ ซูอัน ผู้ซึ่งไม่รู้เลยว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ในที่สุด ซูอัน ก็มาถึงคฤหาสน์ของตระกูลอวี๋ โดยการสอบถามเส้นทางจากผู้คนสองสามคนที่เขาพบเจอ

ในแง่ของขนาดและความงดงาม มันดูด้อยกว่าคฤหาสน์ตระกูลฉู่เล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกันในเรื่องความเงียบสงบของสภาพแวดล้อม คฤหาสน์ตระกูลอวี๋ถือว่าชนะขาด

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเจี้ยน อยู่หรือไม่?” ซูอัน เดินเข้าไปหาคนเฝ้าประตูคฤหาสน์อวี๋และเอ่ยถาม

ก่อนหน้านี้ ซูอัน ได้หาข้อมูลมาเพิ่มเติมแล้วเหมือนกัน ซึ่งมันทำให้เขาได้รู้ว่าหลังจากตอนที่เขาแยกทางกับ อวี๋เหยียนลั่ว กลุ่มคนตระกูลอวี๋ที่มารับนางในภายหลังคือน้องเขยของนางเอง ซึ่งสามีของ

อวี๋เหยียนลั่ว อ๋องหยุนจง จริง ๆ แล้วมีแซ่ ‘เจี้ยน’ ดังนั้น น้องเขยของ อวี๋เหยียนลั่ว ที่เดินทางไปในหุบเขาตอนนั้นเพื่อตามหานางก็ต้องใช้แซ่

‘เจี้ยน’ เช่นกัน

“ท่านเป็นใคร?” คนเฝ้าประตูคฤหาสน์ประเมิน ซูอัน

อย่างระมัดระวัง

ซูอัน โยน 1 ตำลึงเงินให้กับคนเฝ้าประตู ซึ่งทำให้สีหน้าของฝั่งตรงข้ามอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คนเฝ้าประตูยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า

“นายท่านออกไปข้างนอกได้สักพักแล้ว เขาไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์”