บทที่ 73 ดาวนำโชคตัวน้อย

บทที่ 73 ดาวนำโชคตัวน้อย

เสี่ยวเป่าปลูกต้นเฉ่าเหมยไว้ทั้งหมดห้าสิบสองต้น เนื่องจากแต่ละต้นมีขนาดค่อนข้างใหญ่จึงใช้พื้นที่ค่อนข้างมาก เกือบหนึ่งในสามของสวน

นางวุ่นวายกับการพาชุนสี่และนางกำนัลคนอื่น ๆ ย้ายต้นเฉ่าเหมยสิบห้าต้นลงกระถางเพื่อดูแลพวกมันได้ง่ายขึ้น แม้นางจะตัวเท่าเมี่ยง แต่กลับทำให้ชุนสี่และคนอื่น ๆ นึกทึ่งที่นางรู้วิธีการดูแลพืชพันธุ์ในสวนเป็นอย่างดี 

องค์หญิงน้อย ท่านจะเก่งกาจเกินไปแล้ว!  

นอกจากเฉ่าเหมยแล้ว ก็ยังมีมะเขือเทศลูกเล็กที่สามารถปลูกในกระถางได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องทำตัวยึดเล็ก ๆ ให้มะเขือเทศ มันจะได้เกี่ยวเลื้อยไปเกาะได้ ถึงเวลาที่ผลเล็ก ๆ สีแดงงอกงามออกมา คนปลูกย่อมปลื้มปริ่มที่สุด

จะกินสด ๆ เป็นผลไม้หรือจะเอาไปทำอาหารก็ย่อมได้  

อันนี้ก็เตรียมไว้ให้พี่รองเช่นกัน

หากอยากให้มันงอกงามก็ต้องใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ

อยู่ในพระราชวังทำปุ๋ยที่มีกลิ่นเหม็นไม่ได้ เสี่ยวเป่าจึงวิ่งไปที่ห้องเครื่องเพื่อรวบรวมกระดูกที่กำลังจะถูกโยนทิ้ง จากนั้นก็เผาให้เป็นผง แล้วนำมาผสมกับซากพืชนานาชนิด และใส่อึของเสี่ยวไป๋ลงไปด้วยเพื่อทำเป็นปุ๋ย  

แม้จะมีอึของเสี่ยวไป๋ผสมอยู่ในนั้น ทว่าพอกลายเป็นปุ๋ยแล้วกลิ่นก็ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด 

เมื่อการทำปุ๋ยคอกประสบความสำเร็จ เสี่ยวเป่าก็ได้มอบหมายให้ขันทีผู้เชี่ยวชาญในการทำสวนทำปุ๋ยคอกต่อ ส่วนนางก็วิ่งโร่ไปที่โรงหมอหลวง 

หมอหลวงจางเห็นเจ้าก้อนแป้งกำลังเดินมาแต่ไกล หางตาพลันกระตุกยิก ๆ  

“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ยาที่ท่านบอกว่าขม กระหม่อมกำลังพยายามเปลี่ยนรสชาติให้ ท่าน ทรงอย่าให้กระหม่อมกินด้วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”  

เสี่ยวเป่าหัวเราะแหะ ๆ “ไม่ต้องกินแล้ว ๆ เสี่ยวเป่าจัดการเอง”  

หมอหลวงจาง “ท่านจะทำเอง?”  

เสี่ยวเป่าพยักหน้าหงึก ๆ “อย่างไรเสียก็ต้องมาทำยาขี้ผึ้งให้พี่รองอยู่แล้ว” 

 

หมอหลวงจางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “องค์หญิงต้องการทำยารักษาบาดแผลให้องค์ชายรองหรือพ่ะย่ะค่ะ?”  

เสี่ยวเป่ายกนิ้วขึ้นมานับ “ยังมียาแก้เมารถ ยาแก้หวัด ยาลดไข้ ยาแก้ฟกช้ำ และยาแก้ปวดท้องด้วย…”

  

เมื่อได้ยินนางไล่ชื่อยาออกมาเป็นชุด ๆ หมอหลวงจางก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมาทันที

“กระหม่อมพอจะรู้จักยาแก้ฟกช้ำกับยารักษาบาดแผล แต่สิ่งใดคือยาแก้เมารถหรือ? แล้วยาแก้หวัดที่ท่านกล่าวถึง ใช่ยาขับไอเย็นหรือไม่? แต่กระหม่อมจะต้องตรวจอาการป่วยก่อนถึงจะเขียนเทียบยาได้ มิสู้ให้องค์ชายรองพาหมอหลวงไปด้วยเสียเลย…”

เสี่ยวเป่าพองแก้มออกพร้อมอธิบาย “เป็นหวัดก็เหมือนกันนั่นล่ะ ไอ ปวดหัว รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ แต่ท่านช่วยทำให้มันเป็นยาลูกกลอนได้หรือไม่? ท่านพี่จะได้พกติดตัวได้สะดวก ๆ หากเกิดป่วยขึ้นมาจะกินยาได้ทันที”  

หมอหลวงจางอ้าปากกว้างขึ้นเรื่อย ๆ “ดะ…เดี๋ยวก่อนองค์หญิงน้อย ให้กระหม่อมทบทวนสักหน่อย”  

สิ่งที่องค์หญิงน้อยพูดก็ฟังดูมีเหตุมีผลอยู่ไม่น้อย!  

คำพูดของเจ้าก้อนแป้งวัยสามขวบจุดประกายความคิดให้หมอหลวงเฒ่า  

เขารีบเปิดสมุดที่บันทึกอาการเจ็บป่วยจากไข้หวัดลมหนาวหลากหลายกรณีไว้ ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่า แม้ยาที่ใช้รักษาจะเปลี่ยนไปตามระดับของพิษไข้ แต่ตัวยาหลัก ๆ ที่ใช้รักษายังคงเหมือนเดิม

กล่าวคือความคิดขององค์หญิงน้อย …ดูจะมีความเป็นไปได้!  

ปกติผู้คนส่วนใหญ่เมื่อป่วยไข้ก็จะเรียกให้หมอไปตรวจถึงจะได้ยากิน ทำให้ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนว่า โรคธรรมดาเหล่านี้สามารถรักษาได้รวดเร็วขึ้น ด้วยการปรุงยาและทำให้อยู่ในรูปแบบของยาลูกกลอน  

ที่ผ่านมาการรักษาที่ง่ายที่สุดก็คือ ดื่มน้ำขิง  

ในฤดูใบไม้ร่วง ฝ่าบาทจะโปรดให้จัดเตรียมน้ำขิงจำนวนมาก เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้คนในวังทุกคน ผู้ยังไม่ถูกไอเย็นก็สามารถป้องกันได้ หากผู้ใดถูกไอเย็นเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะช่วยให้อาการทุเลาลง  

วิธีนี้ยังใช้ได้ผลกับคนไข้ที่ถูกลมหนาวได้ทุกอาการโดยไม่ต้องกินยา แต่หากเปลี่ยนเป็นยาลูกกลอนแล้วละก็…  

หากเป็นไปตามที่คิด มันไม่เพียงสะดวกขึ้นเท่านั้น ทว่ายังเป็นประโยชน์ต่อค่ายทหารในเมืองด่านหน้าด้วย

เนื่องจากที่นั่นมีภูมิอากาศหนาวเย็น อาการไข้หนาวสั่นจึงพบได้บ่อยครั้ง หากทำยาต้มให้กลายเป็นยาลูกกลอนได้ นอกจากจะสะดวกแล้วยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในท้องพระคลังอีกด้วย  

นัยน์ตาของหมอหลวงจางวาวโรจน์ราวกับพบทางสว่าง

“เยี่ยมไปเลยพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดกระหม่อมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!”  

หมอหลวงจางตื่นเต้นจนหนวดเคราสั่น จับจ้ององค์หญิงน้อยด้วยแววตาเป็นประกาย  

“องค์หญิงเก้า ท่านเป็นดาวนำโชคของกระหม่อมจริง ๆ!”  

เสี่ยวเป่า “???”  

เกิดอันใดขึ้น? นางยังไม่ได้ทำสิ่งใดเลยมิใช่หรือ?  

หมอหลวงจางไม่รั้งรอคุยสิ่งใดกับเสี่ยวเป่าให้มากความ เพราะมีหลายสิ่งที่เด็กสามขวบไม่สามารถเข้าใจได้ 

เขาจึงอุ้มเสี่ยวเป่าไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับวิ่งหน้าตั้งมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท การอุ้มเด็กน้อยมันคงไม่เป็นปัญหาอันใด หากเขาอายุน้อยกว่านี้สักสิบปี

ฝูไห่กงกงที่กำลังยืนเฝ้าอยู่นอกประตูตำหนักเห็นหมอหลวงจางวิ่งมาพร้อมกับองค์หญิงน้อยในอ้อมแขน หางตาพลันกระตุกรัว ๆ

“หมอหลวงจาง ท่านระวังหน่อย วางองค์หญิงลงเร็วเข้า”  

บัดนี้เขารู้แล้วว่าตนแก่ชรา หลังจากวางเสี่ยวเป่าลงอย่างปลอยภัย เขาถึงกับทรุดตัวลงเอามือค้ำหัวเข่าไว้พลางหอบหายใจอย่างหนัก 

“ไม่ไหว ข้าขอพักอีกสักหน่อยค่อยเข้าเฝ้าฝ่าบาท”  

เสี่ยวเป่าที่ถูกอุ้มมาไม่มีอาการอันใด นางเขย่งเท้าขึ้นเพื่อตบไหล่ให้กำลังใจหมอหลวงจาง  

“หมอหลวงจาง เดี๋ยวเสี่ยวเป่าจะไปเอาน้ำมาให้ก็แล้วกัน”  

พูดจบนางก็ไม่รอฟังคำปฏิเสธ พาขาสั้น ๆ วิ่งโร่เข้าไปหาท่านพ่อทันที

“ท่านพ่อ~ ขอชาให้เสี่ยวเป่าสักถ้วยได้หรือไม่เพคะ?”  

หนานกงสือเยวียนเงยหน้ามองเจ้าก้อนแป้ง ก่อนจะส่งสัญญาณให้นางกำนัลรินชาให้เสี่ยวเป่า  

ฝูไห่เดินตามเข้ามาติด ๆ “ฝ่าบาท หมอหลวงจางขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” 

หนานกงสือเยวียน “ให้เข้ามา”  

หมอหลวงจางจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ทว่าอาการหอบยังไม่หาย “ถวายพระพรฝ่าบาท”  

เสี่ยวเป่าวิ่งมาหาเขาพร้อมกับถ้วยชา “หมอหลวงจางนี่ชาของท่าน”  

หมอหลวงจางหน้ากระตุกก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้ามองฝ่าบาท

เขาจะรับน้ำใจในครานี้จากองค์หญิงน้อยดีหรือไม่?  

“องค์หญิงให้เจ้าก็รับไปเถอะ”  

หนานกงสือเยวียนเอ่ยเสียงเรียบ หมอหลวงจางจึงรีบรับถ้วยชาไปพร้อมกล่าวขอบคุณอย่างว่องไว 

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงน้อยทรงรับสั่งบางสิ่งกับกระหม่อม กระหม่อมก็จึงเกิดความคิดว่า…”  

เขาเริ่มเล่าตั้งแต่เสี่ยวเป่าไปหาเขาเพราะต้องการยา จากนั้นก็พูดถึงการทำยาต้มให้เป็นยาลูกกลอน  

“ด้วยวิธีนี้ ผู้ป่วยที่ถูกไอเย็นเข้าสู่ร่างกายก็จะสามารถไปซื้อยามากินเองได้ ทำให้สะดวก รักษาได้รวดเร็ว พกพาและจัดเก็บได้ง่าย โดยเฉพาะในกองทัพ แม้ว่าอาการไข้หนาวสั่นจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ หากอาการกำเริบหนักและรักษาไม่ทัน จะทำให้คนอีกมากติดเชื้อจนกลายเป็นโรคร้ายแรงได้พ่ะย่ะค่ะ”  

วิธีนี้เป็นประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างตัวยาสมุนไพรที่ใช้รักษาไข้หนาวสั่นก็พบเห็นได้ทั่วไป แต่หากต้องการใช้ในปริมาณที่มากขึ้น การนำตัวยามาปลูกเองคงจะเป็นการดีกว่า

หนานกงสือเยวียนเคยอยู่ที่เมืองด่านหน้ามาก่อน เขาย่อมรู้สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างดี 

ยามร้อนก็ร้อนมาก ยามหนาวก็หนาวจัด และในหนึ่งปีจะมีช่วงที่อากาศหนาวเย็นมากกว่าปกติ ไอเย็นจึงแทรกเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

การติดเชื้อเกิดขึ้นหลังจากถูกไอเย็น แม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ภูมิต้านทานย่อมลดลง ร่างกายจะอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง หากเป็นเช่นนั้นจะเอาเรี่ยวแรงใดมาจับดาบออกรบ 

หากวิธีนี้ได้ผลจริงก็จะเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อกองทัพทหารเมืองด่านหน้า 

ดวงตาสีนิลของหนานกงสือเยวียนเริ่มสั่นไหว “หมอหลวงจาง”  

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”  

“จงถ่ายทอดคำสั่งออกไปว่า ให้สำนักหมอหลวงคิดค้นยาลูกกลอนรักษาไข้หนาวสั่นโดยเร็ว”  

“กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ”  

หมอหลวงจางจากไปพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุข เขาคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องประสบผลสำเร็จ

เชื่อว่าอีกไม่นาน ผลงานคงจะเด่นชัดขึ้น