บทที่ 74 องค์ชายรองทรงลงพู่กันได้อำมหิตยิ่ง

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 74 องค์ชายรองทรงลงพู่กันได้อำมหิตยิ่ง

บทที่ 74 องค์ชายรองทรงลงพู่กันได้อำมหิตยิ่ง

หลังจากหมอหลวงจางไปแล้ว หนานกงสือเยวียนก็เรียกเสี่ยวเป่าเข้ามาหา

เสี่ยวเป่าหมอบอยู่บนเข่าของเขาด้วยดวงตาประกาย ติดท่านพ่อแจ

บิดาเคาะหน้าผากนางเบา ๆ ด้วยแววตาเปื้อนยิ้ม

“ไม่รู้ว่าในหัวเล็ก ๆ ของเจ้าบรรจุสิ่งใดไว้บ้าง บางครั้งดูโง่งม บางครั้งกลับฉลาดอย่างเหนือความคาดหมาย”

เสี่ยวเป่าแก้มป่อง ไม่ยอมรับหรอกว่าตนนั้นโง่งม

“เสี่ยวเป่าฉลาดมากอยู่แล้ว ฉลาดเหมือนท่านพ่อ!”

ดวงตาของหนานกงสือเยวียนทอประกายความสุขจาง ๆ เขาอุ้มเจ้าก้อนแป้งขึ้นมาวางบนตัก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“หากสำเร็จได้จริง ทหารนับแสนในเมืองหน้าด่านต้องขอบคุณเจ้ากันหมด”

เสี่ยวเป่าเอียงคอมองเขา “ท่านพ่อเล่าเรื่องราวในเมืองหน้าด่านให้เสี่ยวเป่าฟังได้หรือไม่”

“อยากฟังเรื่องใด”

“เล่าให้เสี่ยวเป่าฟังว่าที่นั่นมีอาหารการกินอย่างไร หนาวหรือไม่ เสี่ยวเป่าจะได้เตรียมอาหารให้ท่านพี่รอง”

เวลานี้ หนานกงสือเยวียนชักอิจฉาโอรสคนรองของตนขึ้นมาแล้ว

เขานึกถึงเมื่อคราวเขาจากเมืองหลวงไปยังเมืองหน้าด่าน ไม่เคยมีผู้ใดเป็นห่วงเป็นใยเขา เพราะเหล่าคนที่รักเขาได้ตายไปหมดแล้ว

ผู้ที่เหลืออยู่ล้วนปรารถนาให้เขาตายตก

ทว่าตัวเขาดวงแข็ง จึงรอดมาได้

“อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนของที่นั่นแตกต่างกันมา ภูมิทัศน์ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายรกร้าง ดินของที่นั่นยากจะมีผลผลิตงอกเงย อาหารการกินจึงไม่ดีเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้น ไม่ว่าชาวบ้านหรือพลทหาร ต่างยากจนกันมาก…”

แม้จะผ่านไปแล้วหลายปี ทว่าช่วงเวลาที่ได้ตีรันฟันแทงในเมืองหน้าด่าน ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำ

เริ่มแรก เสี่ยวเป่าฟังอย่างตั้งใจ แต่เพียงไม่นาน นางก็นึกสงสารจนปวดหัวใจ

ถึงแม้ท่านพ่อจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกมา แต่เสี่ยวเป่ายังรู้สึกได้ว่า ท่านพ่อในสมัยนั้นลำบากแร้นแค้นยิ่ง เทียบกับตนเองที่สิ้นมารดา ถูกท่านลุงท่านป้ารังแกแล้วยังแร้นแค้นกว่ามาก

เสี่ยวเป่าตาแดงก่ำดุจกระต่าย น้ำตาคล้ายจะร่วงเผาะได้ทุกเมื่อ

หนานกงสือเยวียนบีบแก้มของนางเบา ๆ “เหตุใดถึงร้องไห้ เจ้าอยากฟังเองไม่ใช่หรือ”

เสี่ยวเป่าสูดจมูก “ท่านพ่อ ท่านพ่อลำบากเหลือเกิน”

หนานกงสือเยวียนคิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวเล็กจะความรู้สึกไวเช่นนี้ แม้ว่ายามเขาเล่ามิได้เอ่ยถึงตนเอง

แต่สำหรับเขาที่ทุกข์ทรมานมาครึ่งชีวิต สุดท้ายก็เป็นเขาที่ชนะ

เขาสังหารคนผู้นั้นด้วยมือตนเอง สังหารพระสนมคนโปรดและโอรสคนโปรดของฮ่องเต้องค์ก่อน รวมถึงทุกคนที่เข้าร่วมคดีใส่ร้ายตระกูลของท่านตาเขา

เดิมที ด้วยความแค้นฝังกระดูกดำนี้ เขาตั้งใจจะทำลายทั้งแคว้นให้ราบคาบ ทว่าเมื่อเขาได้เห็นกองกำลังหลักแสนที่ติดตามอยู่เบื้องหลังตน

สุดท้ายก็เลือกเก็บแผ่นดินนี้ไว้

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว”

เสี่ยวเป่าสูดจมูกพลางกล่าวว่า “พวกท่านพี่เล่าว่า ท่านพ่อลงสนามรบตั้งแต่อายุได้สิบสามชันษา ท่านพ่อเป็นวีรบุรุษไร้เทียมทาน”

หนานกงสือเยวียนลูกหัวนาง นัยน์ตาลึกล้ำเกินหยั่ง

เขามิใช่วีรบุรุษแต่อย่างใด เขาเพียงรีบเร่งอยากล้างแค้น ต้องการกุมอำนาจทหาร ถึงได้อุตสาหะปานนั้น ต่อมา ได้ใช้ชีวิตบนสนามรบมานาน จนการเข่นฆ่าเช่นนั้นเสมือนความเคยชินในชีวิตไปเสียแล้ว

เสี่ยวเป่าอยู่กับท่านพ่อสักพักใหญ่ แล้วถึงกลับไปสาละวนกับธุระของตน

ต้นไม้อวบน้ำของเด็กน้อยมีผลอวบกลมกลึงคล้ายลูกอมงอกออกมาแล้ว!

กุหลาบหินลูกอมที่เพิ่งมีผลงอกนั้นมีใบเล็ก ๆ เพียงสามใบ ลูกใหญ่เปล่งปลั่งดุจลูกอมเม็ดกลม

ซ้ำยังเป็นสีชมพูดอกท้อตามสำเนาถูกต้อง ด้วยการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี และพลังวิญญาณของเสี่ยวเป่า มันจึงเจริญเติบโตได้น่ารักยิ่งนัก

พวกชุนสี่เห็นแล้วยังต้องตะลึง

“นี่คือบุปผาพันธุ์ใดกันหรือเพคะองค์หญิง น่ารักเหลือเกิน”

นิ้วขาวนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าแตะใบกุหลาบหินลูกอมเบา ๆ ยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นซี่ฟันเล็ก ๆ เรียงตัวเป็นระเบียบ

“ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ ต้นนี้โตแล้วจะน่ารักมาก”

เมื่อคราวเก็บกลับมายังเป็นเพียงต้นกุหลาบหินลูกอมน่าเกลียด นางเด็ดใบออกมา แบ่งปักลงไปในกระถางดอกไม้ขนาดเท่าฝ่ามือ

รวมแล้วห้ากระถาง บัดนี้พวกมันเริ่มเติบโตกันหมดแล้ว ทว่าเจ้าตัวน้อยนับนิ้วคำนวณดูแล้ว ยังไม่พอแบ่งเลยสักนิด

ไม่เป็นไร รอให้พวกมันโตกว่านี้อีกหน่อยค่อยแบ่งออกมาเพาะอีกจำนวนหนึ่งก็ได้

ถึงเวลาออกว่าราชการตอนเช้า บรรดาขุนนางพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรสในช่วงที่ฝ่าบาทยังไม่เสด็จ

และหัวข้อสนทนาในช่วงนี้มีเพียงหัวข้อเดียว ทุกคนต่างลอบหยั่งเชิงกันอยู่ว่า ผู้ใดทรงตรวจฎีกาของพวกเขา

“ใต้เท้าหวัง องค์ชายใหญ่หรือองค์ชายรองเป็นผู้ตรวจฎีกาของท่านกัน”

ใต้เท้าท่านนั้นหน้าเขียวในบัดดล

“ทั้งองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต่างเป็นผู้ที่ฝ่าบาททรงมอบหมายหน้าที่ให้ จะผู้ใดตรวจก็มิได้แตกต่างกัน”

“อ้อ…ข้ารู้แล้ว องค์ชายรองเป็นผู้ตรวจฎีกาของท่านใช่หรือไม่”

ใต้เท้าหวัง “…”

ผู้ใดอยากสนทนากับเจ้ากัน ไสหัวออกไปไกล ๆ!

“ท่านหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ ข้าได้ยินว่าองค์ชายรองทรงเป็นผู้ตรวจทานฎีกาของท่าน ไม่ทราบว่าองค์ชายรองทรงทิ้งประโยคเด็ดดวงอันใดไว้ พอจะแบ่งปันให้พวกเราฟังด้วยกันได้หรือไม่”

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์หน้าบอกบุญไม่รับในทันใด เอ่ยเสียงกระด้าง “เกี่ยวอันใดกับเจ้า มีเวลามาสนทนาเรื่องข้า มิสู้สนทนาเรื่องตัวเจ้าเองเถิด คราวก่อน องค์ชายรองก็ทรงเป็นผู้ตรวจทานฎีกาของเจ้ามิใช่หรือ”

“เหอะ ข้าไม่ขอถือสาหาความกับคนหยาบคายเช่นเจ้า!”

บทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ฎีกาที่องค์ชายรองเป็นผู้ตรวจทานได้กลายเป็นลูกไม้เย้ยหยันฝ่ายตรงข้ามอย่างที่ต่างคนต่างรู้สำหรับพวกเขาไปแล้ว

องค์ชายรองทรงลงพู่กันได้อำมหิตยิ่งนัก ตัวอักษรตวัดเป็นสันเป็นคมมิพอ ความเห็นแต่ละประโยคดั่งคมมีดกรีดแทง คนตายยังถูกยั่วโมโหจนฟื้นคืนชีพได้

ก่อนนี้ หลังจากบรรดาขุนนางกลุ่มแรกที่ได้รับฎีกาซึ่งตรวจทานโดยองค์ชายรอง ก็เกือบอับอายระคนข้นแค้นจนไม่ยอมมาว่าราชการในวันรุ่งขึ้น แต่ละคนต่างโมโหจนตาขวางหายใจฮึดฮัด ทูลฟ้องกลางท้องพระโรงว่าองค์ชายรองเหยียดหยามพวกเขา

แต่เห็นได้ชัดว่า ฝ่าบาทนั้นทรงปกป้องพระโอรส ไม่เพียงไม่ทรงมีพระดำริว่าองค์ชายรองมิได้ทำอันใดผิด ต่อมายังส่งฎีกาที่ตนรู้สึกขัดใจไปให้องค์ชายรองทั้งหมด

นับแต่นั้นมา ยามทุกคนเขียนฎีกาต้องรอบคอบขึ้นมาก กลัวเหลือเกินว่าฎีกาของตนจะไปโผล่อยู่กับองค์ชายรอง ได้รับ ‘ลายพระหัตถ์’ อันล้ำค่าของเขา

“ฮ่องเต้เสด็จ…”

“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี…”

เสียงถกกันด้วยความกระแนะกระแหนของเหล่าขุนนางชะงักงันหลังจากฮ่องเต้เสด็จมาถึง

หนานกงสือเยวียนซึ่งประทับบนบัลลังก์กวาดสายตามองสีหน้าขุนนางข้างใต้ แล้วนึกถึงฎีกาที่ถูกใจขึ้นเรื่อย ๆ

พลันไม่อยากให้โอรสคนรองไปเสียแล้ว…

“ฮัดชิ้ว…”

กายนั่งอยู่ในบ้าน การจามจู่โจมกะทันหัน หนานกงฉีโม่หรี่เนตรจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ลงเล็กน้อย ระแวงขึ้นมาทันที

“ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านพี่รอง…”

เสียงหวานอ่อนเยาว์ของเสี่ยวเป่าดังเข้ามา หนานกงฉีโม่ถึงผ่อนคลายลง ค่อย ๆ เดินออกไป เจ้าก้อนแป้งวิ่งเข้าปะทะกับร่างเขาพอดี

“ไยต้องวิ่งเร็วเช่นนี้ด้วย”

แขนข้างหนึ่งจับเจ้าก้อนแป้งขึ้นมา

เสี่ยวเป่ายืดตัวตรง ใบหน้าเล็กกลมเงยหน้าพลางหัวเราะคิกคัก

“ท่านพี่รอง ไปดูเฉ่าเหมยของเสี่ยวเป่าเร็วเข้า ผลเริ่มงอกออกมาแล้ว”

พูดจบก็ดึงมือหนานกงฉีโม่วิ่งไปทางไร่ของตน

“ช้าลงหน่อย”

เสี่ยวเป่าสับขาป้อม ๆ “ท่านพี่เร็วเข้าเถิด ข้าเก็บไว้ให้ท่านสามสี่กระถางให้ท่านนำติดตัวไปด้วย หลังจากนี้ ท่านจะมีเฉ่าเหมยสดใหม่ไว้ทานแล้ว”