ตอนที่ 42 สะใภ้หลี่ขอถอนหมั้น

หวนคืนชะตาแค้น

ชิงชิงยังต้องการความช่วยเหลืออื่นหรือไม่ องค์ชายเก้าหรงจิ่นเอียงศีรษะพลางเอ่ยถาม แววตาที่กระตือรือร้นแฝงนัย ข้าผู้นี้มีอำนาจมากมาย รีบมาร้องขอสิ มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม ต้องการเพคะ องค์ชายเก้าได้โปรดออกจากห้องของหม่อมฉันด้วย หรงจิ่นจ้องมองมู่ชิงอีอย่างขมขื่น ชิงชิง เจ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว

องค์ชายเก้าเพิ่งจะกล่าวว่า ‘หัวใจของหญิงสาวนั้นเปรียบเสมือนยาพิษร้าย’ ไม่ใช่หรือเพคะ มู่ชิงอีเหลือบมองเขาเล็กน้อย หรงจิ่นทำได้เพียงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า เอาเถิด ข้าจะไม่รบกวนการพักผ่อนของชิงชิงแล้ว แต่ชิงชิงไม่ต้องการให้ข้าผู้นี้ช่วยเจ้ากระจายข่าวจริงๆ หรือ ดึกดื่นเช่นนี้ ในเมืองหลวงแห่งนี้นอกจากข้าแล้วยังจะมีผู้ใดสามารถอีกเล่า

มู่ชิงอีอดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมา ไม่ ต้อง เพ คะ! การกระจายข่าวเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจำนวนมากจะรีบไปกระจายให้องค์ชายต่างแคว้นเฉกเช่นหรงจิ่น มันใช้เพียงความสามารถเล็กน้อยเท่านั้น

วันถัดมา หลังจากมู่ชิงอีตื่นขึ้นก็พบว่ามู่ฉังหมิงได้พามู่เชินและมู่หลิงกลับเข้าเมื่อหลวงตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว สำหรับผู้ถูกจ้างวานตัวน้อยอย่างหลานอวี้ แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดสนใจจุดจบของเขา แต่เท่าที่มู่ชิงอีรู้จักคนอย่างมู่ฉังหมิง เกรงว่าหลานอวี้ผู้นั้นน่าจะสิ้นชีพไปแล้ว แม้ว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้เกิดขึ้น แต่มู่ฉังหมิงไม่ต้องการพานางกลับไปด้วย มู่ชิงอีก็ไม่มีแผนที่จะกลับไปในเร็ววันนี้เช่นกัน ยามนี้ตระกูลมู่คงจะโกลาหลอย่างมาก นางไม่อยากพบหน้ากับมู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่คงเกรี้ยวกราดดั่งไฟสุม

มู่ชิงอีสวดมนต์ขอพรและปรุงเครื่องหอมอย่างสบายอารมณ์ที่วัดเป้ากั๋ว แต่จวนซู่เฉิงโหวราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ

เมื่อกลับมาถึงจวนซู่เฉิงโหว มู่ฉังหมิงสั่งกักบริเวณมู่หลิงทันที แม้แต่อนุซุนก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมเยียน แม้ว่ามู่ฉังหมิงจะปิดปากบ่าวในจวนซู่เฉิงโหว แต่คนที่อยู่ที่นั่นในคืนนั้นไม่ได้มีเพียงบ่าวของจวนซู่เฉิงโหว ก่อนยามเช้าของวันรุ่งขึ้น เหตุการณ์จึงได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น องค์หญิงใหญ่ที่เก็บตัวอย่างสันโดษมานับสิบปี ได้ส่งสาส์นบอกเล่าเรื่องของมู่หลิงและมู่ฉังหมิงให้ฮ่องเต้แคว้นหวาโดยตรง มีเนื้อความว่า ‘บุตรชายที่โปรดปรานของมู่ฉังหมิงนั้นไร้ค่า มู่หลิงและคนสกปรกทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธต้องมาแปดเปื้อน’ สตรีผู้นี้เป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวามีความรู้สึกผิดต่อพระธิดาผู้เป็นที่รักอยู่ไม่น้อย ทันทีที่ได้เห็นสาส์นจากองค์หญิงใหญ่ก็พิโรธเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่มีรับสั่งให้เพิกถอนตำแหน่งทั้งหมดของมู่หลิง แต่ยังไม่ให้ใครรับว่าจ้าง แม้แต้มู่ฉังหมิงผู้จงรักภักดีต่อฮ่องเต้มาโดยตลอดก็ถูกลงโทษด้วยการถูกปรับลดเบี้ยอัฐเป็นเวลาสามปี สำหรับมู่ฉังหมิงแท้จริงแล้วการถูกปรับลดเบี้ยอัฐไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่บทลงโทษเช่นนี้นั้นราวกับถูกตบหน้าอย่างแรง

เมื่อกลับถึงจวนมู่ฉังหมิงก็ขาดสติ ลงมือทุบตีมู่หลิงอย่างรุนแรงอีกครั้ง มู่หลิงยังไม่ทันหายจากอาการบาดเจ็บดี เกรงว่าคงจะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงเพิ่มอีกครึ่งเดือนอย่างแน่นอน

สิ่งที่ทำให้มู่ฉังหมิงยิ่งเดือดดาลมากขึ้นก็คือข่าวที่มู่เชินตรวจสอบกลับมา หลานอวี้ผู้นั้นถูกนำตัวออกมาจากหอชิงเฟิงโดยคนสนิทของมู่หลิงเมื่อสองสามวันก่อน หลังจากนำตัวออกมาแล้วก็พาไปซุกซ่อนไว้ที่วัดเป้ากั๋วทันทีเพื่อก่อเกิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ลอบนำคนจากสถานที่แบบนั้นไปที่วัด แต่ยังถูกผู้อื่นพบเห็นว่ากำลังมั่วโลกีย์ แม้มู่ฉังหมิงอยากจะปฏิเสธเพียงใดก็ปฏิเสธไม่ได้

เจ้าลูกเวรนี่! เจ้าลูกเวร! มู่ฉังหมิงขว้างสาส์นในมือลงบนโต๊ะอย่างโกรธจัด

ท่านพ่อ… มู่เชินเอ่ยเรียกอย่างเคร่งขรึม

มู่ฉังหมิงดวงตาคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ ยังมีอะไรอีก

เมื่อเห็นท่าทางของบิดาเช่นนี้ มู่เชินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่น พูดเสียงเบา น้องรองทำตัวดีมาโดยตลอด ข้าเกรงว่า…เรื่องวุ่นวายในครั้งนี้เป็นเพราะคำยั่วยุจากคนรอบข้าง ผู้เป็นนายกระทำผิด ผู้ใต้บัญชาก็ไม่ชี้นำ บ่าวรับใช้พาคนออกมาจากหอชิงเฟิงแทนมู่หลิงไป ท่านพ่อคงจะต้องให้บทเรียนกับคนนิสัยเสียพวกนี้ ไม่เพียงแค่น้องรอง น้องสามที่อายุเพิ่งจะสิบเอ็ดปี หากมีคนชักจูงไปในทางที่ไม่ดีแล้วล่ะก็…

มู่ฉังหมิงพลันนึกขึ้นได้ว่าเห็นบุตรชายคนที่สามอย่างมู่เคอเมื่อสองสามวันก่อน

อายุตั้งสิบเอ็ดปีแล้วแต่ยังไม่รู้ความ ผู้คนรอบๆ ตัวยังคงยุ่งเหยิง

เขาขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด พ่อทราบดี บ่าวพวกนี้ช่างกล้าดียิ่งนัก คงต้องลงมือจัดการ เจ้าเองก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด หลายวันมานี้เจ้าต้องวุ่นวายอยู่กับเรื่องมากมายทั้งภายในและภายนอก

เช่นนั้นลูกขอตัวลาขอรับ

มู่เชินพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและเดินออกไป ใบหน้าที่เร้นรอดจากสายตาของมู่ฉังหมิงพลันปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นบนริมฝีปาก

เมื่อออกจากห้องหนังสือของมู่ฉังหมิง มู่เชินก็แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แม้ว่าใบหน้าจะนิ่งสงบแต่ในใจกลับเหงื่อตก

คำพูดของน้องหญิงสี่ในวันนั้น แม้ว่าตนจะได้ยินกับหูแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเชื่อมากนัก แต่ตอนที่อยู่ในห้องหนังสือ ทันทีที่ได้เห็นดวงตาอันเหี้ยมโหดแสนเย็นชาของท่านพ่อ คำกล่าวของน้องหญิงสี่ก็พลันดังขึ้นในหู ทำให้ตนต้องรีบกลืนคำพูดความตั้งใจแรกของตัวเองที่จะเหยียบย่ำมู่หลิงไว้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว…

หัวใจของมู่เชินสั่นไหว ฝ่ามือของเขาที่อยู่ใต้แขนเสื้อถูกกำไว้จนแน่น

หากไม่เช่นนั้นแล้ว…เกรงว่าทุกอย่างที่เขาทำมาจะต้องสูญเปล่า

เชินเอ๋อร์

ฮูหยิน มู่เชินหมุนตัวมองตามเสียงเรียก ก่อนที่จะคำนับอนุซุนด้วยท่าทีที่เคารพ

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าตนจะไม่ใช่ภรรยาที่ฮ่องเต้มอบบรรดาศักดิ์ให้ก็ตาม แต่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มู่เชินมักจากเอ่ยเรียกนางว่าท่านแม่ แต่ตอนนี้…เจ้าก็เป็นไปตามนังสารเลวมู่ชิงอีแล้วหรือ

สีหน้าของอนุซุนคล้ำลงเล็กน้อย กล่าวอย่างใจเย็นว่า ท่านโหวอยู่หรือไม่

มู่เชินพยักหน้า ท่านพ่ออยู่ด้านใน แต่…อารมณ์นั้น…ไม่ค่อยดีเท่าไรขอรับ

สีหน้าของอนุซุนยิ่งคล้ำลง สิ่งที่ทำให้มู่ฉังหมิงไม่สบอารมณ์ในยามนี้จะเป็นเรื่องใดได้อีก แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของมู่หลิง เมื่อเห็นท่าทางเคร่งขรึมของมู่เชิน อนุซุนก็ยิ่งเชื่อมั่นว่ามู่เชินจะต้องสุมไฟใส่ร้ายมู่หลิงให้มู่ฉังหมิงฟังเป็นแน่ จึงพูดด้วยรอยยิ้มบูดบึ้งว่า เข้าใจแล้ว ขอบคุณคุณชายใหญ่

ดวงตาของมู่เชินเป็นประกายเล็กน้อย พูดตอบกลับ ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้ว มู่เชินขอตัวลา

มู่เชินเพิ่งจะเดินออกมา ก็เจอเข้ากับพ่อบ้านที่กำลังเร่งรีบเข้ามาในจวน

ท่านพ่อบ้าน มีเรื่องอันใดหรือ

พ่อบ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า เรียนคุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่ตระกูลหลี่มาที่นี่…กล่าวว่าจะมาขอถอนหมั้นให้คุณหนูตระกูลหลี่ขอรับ มู่หลิงเพิ่งจะหมั้นหมายกับคุณหนูตระกูลหลี่ ใต้เท้าหลี่ในเวลานี้เป็นถึงขุนนางฝ่ายซ้ายซึ่งมีอำนาจมากล้น มู่หลิงสามารถแต่งกับคนตระกูลหลี่ได้ก็เพราะชื่อเสียงและหน้าที่การงานของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ในยามนี้เหล่าองค์ชายต่างก็ต่อสู้แย่งชิงบังลังก์กันในที่ลับ หากตระกูลมู่และตระกูลหลี่เกี่ยวดองกันก็จะเป็นประโยชน์ต่อกงอ๋องเป็นอย่างยิ่ง

ตระกูลหลี่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นตระกูลที่ให้ความสำคัญกับสัตย์วาจา ยึดถือคุณธรรมความดี แต่ผ่านมาแล้วตั้งหลายวันเพิ่งจะส่งคนมา มู่เชินจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

มู่เชินเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยบอก ไปทักทายต้อนรับคุณชายใหญ่ตระกูลหลี่เถิด ข้าจะไปเรียนท่านพ่อเอง

ได้ยินเช่นนี้ พ่อบ้านก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ในช่วงสองวันมานี้ท่านโหวอารมณ์ไม่ดี บ่าวรับใช้หลายคนในจวนต่างก็ถูกดุด่าว่ากล่าว เขาเองก็ไม่ต้องการไปรายงานข่าวนี้ด้วยตัวเอง คงจะดีกว่าหากคุณชายใหญ่เต็มใจไปแทน

ขอบพระคุณคุณชายใหญ่ขอรับ พ่อบ้านพูดขอบคุณอย่างซึ้งใจ มู่เชินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ หมุนตัวหันหลังกลับ เดินเข้าไปในเรือนที่เพิ่งออกมา