ตอนที่ 43 เลี่ยอ๋องขอสมรส

หวนคืนชะตาแค้น

เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูห้องหนังสือของมู่ฉังหมิง ก็ได้ยินเสียงของมู่ฉังหมิงดังมาจากด้านในว่า เจ้าเองก็สั่งสอนบุตรชายไม่ถูกวิธี ตามใจจนบุตรชายของตัวเองเสียคน! ยังกล้ามาตำหนิเชินเอ๋อร์! ล้วนเป็นเจ้าเองที่ตามใจเขาจนเสียนิสัย เชินเอ๋อร์เพิ่งจะพูดแก้ต่างให้เขา เจ้า เจ้ามันช่างเหลือเกิน…

เป็นไปได้ยากที่เขาจะแก้ตัวแทนหลิงเอ๋อร์ คงเป็นเพราะหลิงเอ๋อร์ถูกทำร้าย เช่นนั้นจึงเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี… หากไม่ใช่เพราะบุตรชายเพียงคนเดียวของตน คงไม่มีทางที่จะเห็นอนุซุนแสดงท่าทีฉุนเฉียวเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้ามู่ฉังหมิง เมื่อก่อนนางพยายามทำตัวเป็นภรรยาที่อ่อนโยนและมีคุณธรรมต่อหน้ามู่ฉังหมิงมาโดยตลอด เพื่อพิสูจน์ว่าแม้จะไม่ได้มีภูมิหลังที่ดี แต่ตนก็มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นฮูหยินแห่งจวนซู่เฉิงโหวได้เช่นกัน

ใครอยู่ข้างนอก!

อย่างไรเสีย มู่ฉังหมิงนั้นเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ และมู่เชินก็ไม่ได้ปิดบังฝีเท้าของตัวเองแม้แต่น้อย

มู่เชินกล่าวสียงเบาราวกระซิบ ท่านพ่อ เป็นลูกเองขอรับ

มู่เชินก้าวเข้ามา อนุซุนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า เจ้ามาที่นี่เพื่อการใด แอบฟังข้ากับท่านโหวสนทนากันเช่นนั้นหรือ อนุซุนท่าทางก้าวร้าว ไม่รู้สึกละอายใจที่จะพูดว่าร้ายคนที่กำลังถูกนินทาแม้แต่น้อย

มู่เชินท่าทีสุขุม พูกอย่างนอบน้อม ท่านพ่อ คุณชายใหญ่ตระกูลหลี่มาขอรับ เขากล่าวว่ามาที่นี่เพื่อ…ขอยกเลิกการหมั้นหมายของคุณหนูตระกูลหลี่ขอรับ

อะไรนะ! อนุซุนกรีดร้อง มู่ฉังหมิงพลันขมวดคิ้วมุ่น

ในตอนที่มู่เชินกล่าวว่าบุตรชายคนโตของตระกูลหลี่มาเยือน ตนก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจแล้ว สุดท้าย สิ่งที่คาดคิดไว้นั้นเป็นจริง แม้ว่าจะโมโหเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก แท้จริงแล้วตระกูลหลี่เองก็ไม่ยินดีที่จะหมั้นหมายกับมู่หลิงสักเท่าไร หากไม่ใช่เพราะพระชายากงที่เห็นดีกับการสมรสนี้ ก็คงจะต้องเจรจากันอีกหลายครั้ง ในยามนี้มู่หลิงก่อเรื่องเช่นนั้นออกมา ที่ตระกูลหลี่ทำเช่นนี้ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร

ท่านโหว…ตระกูลหลี่นั้นคงรู้สึกอับอายต่อสายตาของผู้คนจึงต้องการถอยหนี…แต่หากเป็นเช่นนั้น ก็จะยิ่งทำให้หลิงเอ๋อร์ถูกผู้คนหัวเราะเยาะไม่ใช่หรือ อนุซุนสะอื้นไห้พลางกล่าวกับมู่ฉังหมิง

อีกด้านหนึ่ง มู่เชินกำลังคิดเย้ยหยันอยู่ในใจ หากตระกูลหลี่ไม่ถอนหมั้นในยามนี้ เกรงว่าคนทั้งตระกูลคงจะถูกหัวเราะเยาะแทน อนุซุนคิดว่าบุตรชายของนางเป็นใครกัน ทุกคนต้องยอมให้เขาหรืออย่างไร

มู่ฉังหมิงมองไปยังอนุซุนที่น้ำตาพรั่งพรูก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ มู่ฉังหมิงนั้นเข้าใจคนตระกูลหลี่ดี ถึงแม้ว่าจะฉุนเฉียวอยู่ไม่น้อยก็ตาม แต่ถ้าหาก…ว่าที่บุตรเขยของตนทำเรื่องเช่นนี้ เขาเองก็คงจะไม่ลังเลใจที่จะยกเลิกการหมั้นหมาย แต่หากเกิดความขัดแย้งกับตระกูลหลี่ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายต่อกงอ๋อง

ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วแล้วกล่าวว่า ช่างเถิด ลองไปเจรจาดูสักหน่อยก่อน

อนุซุนเดินตามออกไป เห็นได้ชัดว่าต้องการไปดู มู่ฉังหมิงอยากจะพูดบางอย่างแต่เมื่อคิดว่าอนุซุนนั้นเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของมู่หลิง จึงปล่อยนางไป

เมื่อก้าวเข้าไปในโถงใหญ่ ก็พบคุณชายใหญ่ตระกูลหลี่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในห้องโถง เมื่อเห็นมู่ฉังหมิงที่สาวเท้าเดินเข้ามา เขาก็รีบลุกขึ้นอย่างมีมารยาท ข้าน้อยหลี่ซู่ คารวะท่านโหวขอรับ อนุซุนที่ยืนอยู่ด้านข้างมู่ฉังหมิงถูกเมินเฉยไปโดยปริยาย เดิมทีหลี่ซู่นั้นเป็นผู้น้อยเมื่อพบอนุซุนก็ต้องให้ความเคารพ แต่ในยามนี้อนุซุนเป็นเพียงอนุภรรยาของมู่ฉังหมิง ในฐานะที่เป็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลหลี่ที่มีเกียรติ อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางระดับสามจึงไม่ยินยอมที่จะเคารพคนที่มีศักดิ์ต้อยต่ำกว่าตน

ผู้อื่นต่างก็ไม่สนใจอะไร แต่อนุซุนเกือบจะเบือนหน้าหนีด้วยความโกรธ เป็นเพราะตนมีภูมิหลังที่ต่ำต้อย สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือการที่ถูกผู้คนดูถูกหมางเมิน

มู่ฉังหมิงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า เจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญนั่งก่อนเถิด

หลี่ซู่พูดขอบคุณ หลังจากหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกก็กล่าวกับมู่ฉังหมิงอย่างไม่อ้อมค้อมตรงไปตรงมาทันที เรื่องที่ข้าน้อยมาที่นี่ในยามนี้ ท่านโหวคงจะทราบแล้วเช่นกัน น้องสาวผู้อ่อนแอของข้าน้อย เกรงว่าคงจะไม่อาจใฝ่สูงคบหากับคุณชายตระกูลมู่ได้ ขอท่านโหวยกเลิกการหมั้นหมายด้วยขอรับ คำกล่าวเช่นนี้เดิมทีถือว่าสุภาพมากแล้ว แต่เมื่อเข้าหูของคนจวนซู่เฉิงโหวกลับกลายเป็นว่า ‘น้องสาวของข้าเป็นเพียงสาวน้อยบอบบาง ไม่เหมาะกับความหื่นกระหายของคุณชายตระกูลของท่าน การเกี่ยวดองระหว่างสองตระกูลของเราคงต้องยกเลิกโดยเร็ว’

ได้ยินมาว่าตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่รักษาสัตย์วาจา เพราะเหตุใดถึงได้กลับคำพูดเช่นนี้ อนุซุนกรีดร้องขึ้นอย่างกังวลใจ นางจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่าว่าบุตรชายของตนเป็นต้วนซิ่ว[1] แต่เรื่องนี้ไม่สามารถให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ การขอถอนหมั้นของตระกูลหลี่ในยามนี้ถือว่าเลวร้ายอย่างยิ่ง

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหลี่ซู่พลันเย็นชา กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า ก่อนการหมั้นหมาย จวนซู่เฉิงโหวไม่ได้บอกกับตระกูลหลี่ว่ามีปัญหาดังกล่าว แม้ว่าตระกูลหลี่ของข้าน้อยจะไม่แข็งแกร่งเท่าจวนซู่เฉิงโหว แต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่ใช้สตรีเพื่อแสวงหาความรุ่งโรจน์ ยิ่งเวลาผ่านล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว ทั้งท่านปู่และท่านพ่อล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าตระกูลหลี่ไม่สามารถปล่อยให้น้องหญิงเล็กออกเรือนได้ถึงแม้ว่าจะรั้งคอนางจนตายก็ตาม น้องหญิงเล็กยังขอให้ข้าน้อยนำคำพูดฝากมาให้ท่านโหวว่า หากจวนซู่เฉิงโหวไม่ตกลงที่จะถอนหมั้นก็ให้แต่งกับศพของนางแล้วรับเข้าประตูไปเสียเถิด

ทันใดนั้น ใบหน้าของมู่ฉังหมิงพลันกระอักกระอ่วน คำพูดนั้นแอบแฝงนัยเอาไว้ว่า ‘ถ้าท่านไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับ หากมีเรื่องเกิดขึ้นกับบุตรีของตระกูลหลี่ แม้จวนซู่เฉิงโหวจะกระโดดลงไปในแม่น้ำก็ไม่สามารถล้างความผิดได้’

เมื่อเห็นว่าอนุซุนกำลังจะพูดบางอย่าง มู่ฉังหมิงก็เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า หุบปากของเจ้าซะ!

ครั้นได้ยินมู่ฉังหมิงดุกล่าวอนุซุนที่กำลังจะอ้าปากพูดกับหลี่ซู่ พ่อบ้านที่อยู่ด้านนอกประตูก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ค่อยๆ ย่องเข้ามาอย่างเบาเท้า นะ…นายท่าน…เลี่ยอ๋อง…เลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นมาที่นี่ขอรับ!

เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่ฉังหมิงก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ผู้อื่นล้วนเกรงกลัวเกอซูฮั่นเพราะชื่อเสียงของเขา แต่มู่ฉังหมิงนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นถึงแม่ทัพที่นำรบต่อสู้กับเป่ยหรง หากตนจะเกรงกลัวเกอซูฮั่น ก็เกรงกลัวในความสามารถกับอารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้ของเขา

หลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ มู่ฉังหมิงก็ไม่กล้ารอช้า พยักหน้าแล้วกล่าวว่า รีบเชิญเลี่ยอ๋องเข้ามา

มู่ฉังหมิงเพิ่งจะพูดจบประโยค พ่อบ้านยังไม่ทันก้าวขาออกไป เกอซูฮั่นกลับปรากฏกายในห้องแล้ว ท่าทางราวกับว่ากำลังเดินอยู่บ้านของตัวเอง เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของมู่ฉังหมิงเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

แม้ว่าเลี่ยอ๋องจะมีตำแหน่งสูงส่งในเป่ยฮั่น แต่ที่แคว้นหวานั้นเป็นราชทูตเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี แต่ท่าทีราวกับไม่ได้สนใจแคว้นหวาและจวนซู่เฉิงโหวมากนัก

เลี่ยอ๋องแห่งเป่ยฮั่นให้เกียรติมาถึงที่นี่ มีเรื่องอันใดให้รับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ ในใจของเขาไม่พอใจ มู่ฉังหมิงจึงไม่ทำให้ยืดเยื้อ เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

เกอซูฮั่นเลิกคิ้วขึ้น หยุดเดินแล้วกล่าวเสียงดังด้วยรอยยิ้มว่า ข้ามาที่นี่เพื่อขอสมรส

ขอสมรสหรือพ่ะย่ะค่ะ มู่ฉังหมิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จ้องไปทางชายหนุ่มท่าทางองอาจที่ยืนอยู่ด้านหน้าของตนด้วยความประหลาดใจ

แม้ทุกคนล้วนทราบดีว่า จุดประสงค์ที่คนของแคว้นเป่ยฮั่นมาแคว้นหวาในครั้งนี้ก็เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นหวา แต่…ราชสำนักไม่เลือกใครสักคนให้สมรสกับเขาอย่างนั้นหรือ

มู่ฉังหมิงนั่งลงแล้วกล่าวว่า ไม่รู้ว่า…เลี่ยอ๋องทรงวางแผนที่จะสมรสกับหลานสาวคนใดของกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องโปรดวางใจ เมื่อสามารถนำแคว้นหวาและแคว้นเป่ยฮั่นไปสู่ความสงบได้ กระหม่อมก็มิบังอาจละเลย มู่ฉังหมิงมีบุตรีเพียงสี่คน ออกเรือนไปแล้วสองคน หมั้นหมายหนึ่งคน ส่วนชิงอีนั้นเคยถูกถอนสมรสไปแล้ว เหลือเพียงหลานสาวสองคนเท่านั้นที่สามารถนับเป็นบุตรีของจวนซู่เฉิงโหวได้ หากคนที่เกอซูฮั่นตกหลุมรักคือมู่อวี่เฟยหรือมู่สุ่ยเหลียนก็คงไม่มีปัญหาอะไร แน่นอนว่ามู่ฉังหมิงคงไม่ให้สมรสกับหลานสาวนอกสายอย่างแน่นอน

หลานสาวเช่นนั้นหรือ เกอซูฮั่นขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า ซู่เฉิงโหวเข้าใจผิดแล้ว ข้าผู้นี้กำลังจะขอสมรสกับมู่ชิงอีผู้เป็นบุตรีจากฮูหยินของจวนซู่เฉิงโหว

อะไรนะเพคะ!? อนุซุนอุทานด้วยความตกใจ

มู่ฉังหมิงขมวดคิ้วอย่างงุนงง

ช่วงนี้เตี๋ยเอ๋อร์ดูแปลกไปไม่น้อย คบหากันมากว่ายี่สิบปี แต่ตอนนี้ราวกับว่าตนไม่รู้จักนางแม้แต่น้อย ปกติแล้วเตี๋ยเอ๋อร์นั้นสุขุมอ่อนโยน ไม่เคยทำตัวหยาบคายเช่นนี้

—————————————-

[1]ต้วนซิ่ว แปลตรงตัวว่า ตัดแขนเสื้อ มีความหมายแฝงหมายถึง ผู้ชายที่นิยมไม้ป่าเดียวกัน

ตอนต่อไป