บทที่ 73 ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ (ต้น)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 73 ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ (ต้น)

บทที่ 73 ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ (ต้น)

ผู้อาวุโสที่เหลือเริ่มพูดเช่นกัน “ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านพูดกับท่านเจ้าสำนักเกินไปหรือเปล่า?”

“ใช่แล้ว พวกเขาทั้งสามคนอยู่บนลานประลอง พวกเขาทุกคนสามารถโจมตีใส่กันได้”

“ผู้อาวุโสใหญ่ควรขอโทษท่านเจ้าสำนักนะ พวกข้าทุกคนได้เห็นกับตาแล้ว ท่านเจ้าสำนักไม่ได้ทำอะไรเลย”

ใบหน้าของหวังเหิงซีดเผือดเมื่ออยู่ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากผู้คน ไม่เพียงแค่เขาไม่รู้สึกผิดเท่านั้น แต่ยังมีร่องรอยความเกลียดชังผุดขึ้นในใจอีกด้วย

ถ้าไม่ใช่เพราะอู่หมิงเสวี่ย เขาคงไม่เอะอะโวยวายจนโดนหลายคนบริภาษเช่นนี้!

ส่วนลู่หยวนกับฉินอี่หานนั่น เขาก็ไม่ให้อภัยเช่นกัน!

ความเกลียดชังผุดขึ้นในแววตา เขาปิดปากแน่น ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้สักคำ

การยอมรับความผิดพลาดต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก สำหรับผู้อาวุโสใหญ่แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัปยศอดสูยิ่งนัก!

อู่หมิงเสวี่ยพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา ไม่คิดโต้เถียงกับหวังเหิงอีก จึงขอให้เหลยโม่จัดการแทน

ลู่หยวนพลันพุ่งขึ้นจากพื้น ยืนอยู่กลางอากาศ และมองตรงไปยังผู้คนบนแท่นสูง พลางกล่าวช้า ๆ ว่า “หวังเหิง ท่านมีสองทางเลือก”

“ทางแรก ท่านก้มศีรษะยอมรับความผิดพลาดเสียตอนนี้ ทางที่สอง พรุ่งนี้ท่านจะถูกลงทัณฑ์หน้าประตูสำนักอักขระสวรรค์ต่อหน้าทุกคน ก่อนคุกเข่าสำนึกผิดลงกับพื้น!”

ทันทีที่กล่าวเช่นนี้ เหล่าผู้อาวุโสที่เคยเข้าข้างอู่หมิงเสวี่ยเมื่อครู่ต่างพูดขึ้นคนแล้วคนเล่า

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ทำเกินไปแล้ว!”

“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสใหญ่เพียงประหลาดใจชั่วครู่ก็เท่านั้นเอง ท่านเจ้าสำนักก็ไม่ได้กล่าวอะไร ดังนั้นไม่จำเป็นที่บุตรศักดิ์สิทธิ์จะต้องเอาเรื่องเลย!”

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ ท่านต้องรู้จักให้อภัยผู้อื่น หากท่านไม่ยอมทำเช่นนี้ ในอนาคตทุกคนจะมองท่านไม่ดีนัก”

ลู่หยวนกวาดตามอง “ข้าถามความเห็นของพวกท่านแล้วหรือ?”

ผู้อาวุโสจำนวนมากสำลัก ก่อนรีบสงบปากคนแล้วคนเล่า ถึงแม้พวกเขาแต่ละคนจะเดือดดาล แต่ก็ไม่กล้าโจมตี

พวกเขาทำได้เพียงจับจ้องอู่หมิงเสวี่ย พฤติกรรมของชายหนุ่มมันเกินไปจริง ๆ ถึงแม้เจ้าสำนักจะปกป้องบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้อย่างไร แต่ควรรู้ว่าการฉวยโอกาสยัดการลงทัณฑ์ผู้อื่นตามใจชอบในช่วงโกลาหลมันไม่ถูกต้องนัก

แต่เมื่อพวกเขามองดู กลับพบว่าสายตาของเจ้าสำนักกำลังทอประกาย จับจ้องไปที่ลู่หยวน ในแววตาราวกับเผยหนึ่งประโยคออกมาว่า ‘ลูกชายของข้าเติบโตขึ้นแล้ว ข้านึกแล้วเชียวว่าเขาจะต้องสนับสนุนข้า!’

ผู้อาวุโสจำนวนมากอยากโน้มน้าว แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี

หวังเหิงกัดฟัน สายตาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ

ตระกูลลู่ล้วนเป็นคนป่าเถื่อน ความหมายของลู่หยวนคือ… พรุ่งนี้จะกดดันให้เขาคุกเข่าที่หน้าประตูสำนัก จากนั้นต่อให้คนของสำนักอักขระสวรรค์ไม่ร่วมมือ ลู่เทียนเหอก็จะนำคนมารุมมัดเขาด้วยตัวเอง แล้วสั่งให้คุกเข่าตรงหน้าประตูสำนัก

หวังเหิงจินตนาการออกแล้วว่าผู้คนทั่วทุกหนแห่งกำลังจับตาดูอยู่ พร้อมกับหัวเราะขบขัน

ร่างกายชายชราเริ่มสั่นสะท้าน…

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ หวังเหิงหลับตา ก่อนเปิดปากพูดราวกับยอมจำนนต่อโชคชะตา

ตุบ!

เสียงหนึ่งขัดจังหวะหวังเหิง

ที่ด้านข้าง กู่หงเฟยกำลังคุกเข่าต่อหน้าอู่หมิงเสวี่ยและผู้อาวุโสจำนวนมาก คิ้วขมวดต่ำก่อนยกมือขึ้น กล่าวทีละคำว่า “วันนี้เป็นความผิดของข้า หงเฟยผู้นี้ ท่านอาจารย์กังวลว่าจะเกิดความโกลาหลก็เท่านั้น ฉะนั้นท่านเจ้าสำนักโปรดอย่าถือโทษเลย”

“หงเฟยขออภัยท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทุกท่านด้วย!”

หลังจากนั้นกู่หงเฟยก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วก้มศีรษะ ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่เงยขึ้นมา

แม้กระทั่งอู่หมิงเสวี่ยยังประหลาดใจ ศิษย์ผู้นี้เป็นคนหยิ่งทะนงเช่นกัน แต่กลับแสดงออกเช่นนั้นต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เพียงเพื่อที่จะไว้หน้าผู้เป็นอาจารย์ นับว่าเป็นศิษย์ที่ประเสริฐนัก

นางกำลังจะพูด แต่ลู่หยวนเป็นฝ่ายพูดก่อน “หวังเหิง ทำไมท่านไม่ยอมรับความผิดพลาด? ท่านอยากให้ข้ายื่นมือช่วยหรือ?”

กู่หงเฟยยันร่างขึ้น หันไปมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่อัดแน่นด้วยความไม่พอใจ “บุตรศักดิ์สิทธิ์คิดจะทำเช่นนั้นจริงหรือ?”

“ใช่”

ลู่หยวนยิ้ม “ข้ากำลังสอนเรื่องความเคารพและการถ่อมตัวให้!”

“หวังเหิงเป็นเพียงผู้อาวุโสเท่านั้น แต่กลับกล้าตั้งคำถามต่อท่านเจ้าสำนักในที่สาธารณะอย่างไร้เหตุผล แถมถึงขั้นอยากก้าวก่ายการคัดเลือกผู้สืบทอด หากวันใดทำเช่นนี้กับข้า ย่อมต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน!”

ชายหนุ่มยังคงมองผู้อาวุโสใหญ่ “หวังเหิง ท่านจะปล่อยให้ข้ารออีกนานเท่าไหร่?”

กู่หงเฟยเดือดดาลยิ่ง นิ้วของเขาขยับ ก่อนค่ายกลจำนวนมากจะเริ่มก่อตัวขึ้น แต่หวังเหิงยื่นมือออกมาห้ามเอาไว้

ผู้อาวุโสใหญ่ก้มศีรษะให้อู่หมิงเสวี่ยช้า ๆ ใบหน้าซีดเผือดยิ่ง เขาเปิดปากออก และพยายามเค้นเสียงออกมา “ข้าน้อยอวดดีเกินไป จนถึงขั้นไม่ให้เกียรติท่านเจ้าสำนัก ขอท่านเจ้าสำนักยกโทษให้ด้วย!”

ลู่หยวนยื่นหูเข้ามา “หวังเหิง ท่านพูดเบาเหลือเกิน ใครที่ไหนจะได้ยิน?”

หวังเหิงหลับตา น้ำเสียงดังมากขึ้น “ข้าหวังเหิงอวดดีเกินไป สร้างความขุ่นเคืองให้กับท่านเจ้าสำนัก ขอท่านเจ้าสำนักยกโทษให้ด้วย”

เมื่อเสียงกระจายออกไป หวังเหิงพลันรู้สึกถึงร่องรอยของโลหิตในลำคอ

เสียงดังนี้กระจายไปทั่วสำนักอักขระสวรรค์ ศิษย์ทั้งหลายต่างหันเหสายตามามอง

ผู้อาวุโสใหญ่ไร้เทียมทานลดตัวลงมามากเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยพบเห็น

ลู่หยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นกลับไปที่ลานประลอง

หวังเหิงไม่รอให้อู่หมิงเสวี่ยกล่าวอะไรอีก ก่อนยกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าขอกลับไปพักผ่อนก่อน”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็หันหลังแล้วจากไป…

กู่หงเฟยลุกขึ้นเช่นกัน คำนับให้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่น จากนั้นหันหลังจากไปพร้อมกับอาจารย์

หลังจากกระซิบกระซาบสักพัก ทุกคนก็หันมาสนใจที่ลานประลองอีกครั้ง ถึงอย่างไรสิ่งสำคัญที่สุดในวันนี้คือการยืนยันตำแหน่งผู้สืบทอด

ส่วนอู่หมิงเสวี่ยมองไปยังทางที่หวังเหิงจากไปพลางครุ่นคิดสักพัก พร้อมสายตาหลุบต่ำ เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาของนางดูเศร้าหมองนัก

นางหันหลัง และทอดสายตามองออกไปไกล

ในลานประลอง ลู่หยวนกับฉินอี่หานเผชิญหน้ากัน…

ฉินอี่หานถืออาวุธคู่กาย กายารายล้อมด้วยเจตจำนงกระบี่ “ลู่หยวนใช้พลังทั้งหมดที่มี แสดงให้ข้าเห็นทีว่าในช่วงห้าปีนี้ เจ้าเติบโตมากแค่ไหนกัน”

“ได้!”

หลังจากบุตรศักดิ์สิทธิ์กล่าวจบ ฉินอี่หานคลายมือหยกให้กระบี่ไม้ลอยอยู่เบื้องหน้า กลิ่นอายของเจตจำนงกระบี่ที่ลอยล่องปกคลุมกระบี่ไม้ตรงหน้าทันที

ชิ้ง!

กระบี่ไม้ส่องแสงสว่างสีทองเจิดจรัสสาดเข้าสายตาทุกคู่ เจตจำนงอันแก่กล้าก่อเกิดเป็นคมกระบี่คมปลาบบนอาวุธไม้ พลังวิญญาณรอบข้างถูกพลังนี้กวาดล้างไปจนหมด พลังวิญญาณมหาศาลที่แผ่ออกมาสร้างแรงกดดันมหาศาลปกคลุมเหนือยอดเขาหลัก จนศิษย์จำนวนมากขาดอากาศ พวกเขาทำได้เพียงอยู่ห่างจากลานประลอง จึงจะหายใจได้สะดวก

การเปลี่ยนแปลงรอบข้างก็ทำให้ลู่หยวนถอนหายใจออกมาเช่นกัน “กระบี่เก้าไม้เริ่มโจมตีแล้ว ดูเหมือนศิษย์พี่ฉินจะได้รับการยอมรับจากมันแล้วสินะ”

“แต่มันก็แค่กระบี่เก้าไม้ระดับครึ่งก้าวสู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ข้าไม่รู้ว่าศิษย์พี่ฉินจะสามารถปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้เต็มที่หรือไม่”

ชิ้ง!

ฉินอี่หานสะบัดมือ กระบี่ไม้หมุนวนในอากาศจนท้องฟ้าแปรปรวน ก่อนคมกระบี่จะชี้ตรงไปที่ลู่หยวน

“ถ้าเจ้าได้ลิ้มลองก็น่าจะรู้”

พลังกระบี่แก่กล้าน่าสะพรึงพุ่งเข้ามาทันทีหลังจากสิ้นคำพูดของฉินอี่หาน พื้นที่ที่ลู่หยวนยืนตระหง่านอยู่ถูกแรงกดดันจากกระบี่กดทับทันที พื้นที่รอบข้างสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่ว่าค่ายกลประลองลอยฟ้า หรือแผ่นดินโดยรอบสำนักอักขระสวรรค์ก็คล้ายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ!