บทที่ 74 ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 74 ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ (ปลาย)

บทที่ 74 ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ (ปลาย)

ลู่หยวนพยายามขยับร่างกาย แต่พบว่าแรงกดดันจากกระบี่ถึงกับยับยั้งการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้ แม้กระทั่งการขยับอันเรียบง่ายอย่างการยกมือขึ้นก็ยังต้องใช้ความพยายามอยู่หลายครั้ง

“น่าสนใจ”

ริมฝีปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาหยุดเคลื่อนไหว และมองตรงไปที่ผู้ฝึกกระบี่ตรงหน้า

ฉินอี่หานถือกระบี่ไม้ไว้ในมือ ชายผ้าพลิ้วไหว… นางพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาเหนือลู่หยวน ปราณกระบี่นับพันที่รายล้อมถูกรวมเข้าไปในกระบี่ไม้ในพริบตา!

ดวงหน้าผุดผ่องราวกับบุตรีแห่งเซียนเฉิดฉายกลางฟากฟ้าโดยมีแสงตะวันอาบร่าง แววตาเปี่ยมด้วยความสงบนิ่ง

นางเงื้อกระบี่ขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง และฟาดลงมาอย่างรุนแรง!

ปราณกระบี่นับพันบดขยี้ความว่างเปล่ารอบข้างจนพังทลาย ขณะที่กระบี่ไม้สีทองกวัดแกว่งตามลงมาจนใกล้ปะทะหน้าผากของลู่หยวน เพียงเสี้ยวลมหายใจที่นางเคลื่อนไหว หัวของชายหนุ่มก็ใกล้จะหลุดออกจากบ่า

ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ขยับแต่อย่างใด สายตาของฉินอี่หานเองก็ยังเรียบเฉย นางเหวี่ยงกระบี่ไม้ฟาดฟันลงไป ราวกับอยากปลิดชีพลู่หยวนเสียให้ได้!

คนอื่นเห็นดังนั้น จึงพากันกลั้นหายใจ

ตูม!

ปราณกระบี่นับพันรวมเข้ากับกระบี่ไม้ฟาดฟันลงมา ปะทะกับค่ายกลลานประลองลอยฟ้าเสียงดังเลื่อนลั่น! รอยร้าวเคลื่อนไปตามค่ายกลจำนวนมากที่ครอบคลุมลานประลองเอาไว้ เป้าหมายของนางหายไปในเสี้ยวพริบตาราวกับภูตผี

ฉินอี่หานถือกระบี่ไม้แล้วมองรอบข้าง แต่กลับไม่พบใคร

นางขมวดคิ้ว ก่อนจะสะบัดกระบี่ไม้ในมือ สร้างปราณกระบี่กลับมาอีกครั้ง “ออกมาสู้กับข้าซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้หรือ? คิดจะซ่อนตัวไปถึงเมื่อไหร่?”

“ได้สิ”

เสียงของลู่หยวนดังมาจากเหนือท้องนภา ฉินอี่หานหันไปมอง พลันพบกระบี่ยาวสีดำที่มีเศษน้ำแข็งเกาะพราวเล็กน้อยในมือชายหนุ่ม

“เช่นนั้นข้าขอดูหน่อย ว่าท่านจะสามารถรับกระบี่จากข้าได้หรือไม่!”

ลู่หยวนถือกระบี่ยาวไว้เบื้องหน้า ก่อนค่อย ๆ ฟาดมันออกไป อักขระแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนกระบี่ยาว พร้อมจิตสังหารปกคลุมท้องนภา

ฉินอี่หานผู้ได้รับการปกป้องจากปราณกระบี่พลันรู้สึกชาวาบที่หนังศีรษะ นางเงยหน้าขึ้นสบสายตาหลุบต่ำของลู่หยวน ชั่วลมหายใจนั้น กายาหญิงสาวพลันแข็งทื่อ เหงื่อเย็นไหลรินจากแผ่นหลัง

สายตาของทั้งสองผละจากกันทันที ฉินอี่หานยังไม่ทันเริ่มต่อสู้ก็เป็นฝ่ายก้าวถอยหลังเสียแล้ว

ทันทีที่มองหน้ากัน นางคล้ายกับเห็นเทพแห่งความตายกำลังถือกระบี่อยู่เบื้องหน้า

อักขระสีเข้มหายไป ก่อนหมอกสีแดงจะแผ่ซ่านไปยังฉินอี่หาน เข้าใกล้นางยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ฝึกกระบี่หญิงสัมผัสได้ว่า หมอกนั้นกำลังกดข่มเจตนากระบี่ของนางเอาไว้

ฉินอี่หานอยากกระตุ้นปราณกระบี่เพื่อขัดขืนทันที แต่เมื่อปราณกระบี่ปรากฏ หมอกสีแดงก็ทรงพลังขึ้นตามจนกลืนกินปราณกระบี่ให้สลายหายไปประหนึ่งไม่เคยมีอยู่

“…”

การโจมตีนั้นทำให้นางเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและเก็บกระบี่ไม้กลับไป ปราณกระบี่นับพันถูกกวาดล้างหายไปในทันที

“เจ้าชนะแล้ว”

เมื่อกล่าวจบ ฉินอี่หานก็ก้าวยาวมาข้างหน้า ออกจากลานประลองพร้อมเอามือไพล่หลังไปด้วยท่าทีไม่ยี่หระต่อสิ่งใด

ทว่าเพิ่งเดินได้ไม่กี่ก้าว นางก็หันกลับมา พลางยกมือไปทางอู่หมิงเสวี่ยบนแท่นสูง “ศิษย์อยากกลับไปใช้ห้องนั้นอีกครั้ง…”

เจ้าสำนักพยักหน้าเป็นนัยอนุญาต

หลังจากนั้น… ฉินอี่หานก็จากไปอย่างเงียบงัน

ลู่หยวนผู้อยู่กลางอากาศส่ายหน้าอย่างจนใจด้วยรอยยิ้ม ศิษย์พี่ฉินอี่หานผู้นี้ ช่างยากจะคาดเดาจริง ๆ

เขาดึงความสามารถทั้งหมดกลับมาเช่นกัน จากนั้นกล่าวว่า “มีใครอยากขึ้นมาอีกหรือไม่?”

ศิษย์จำนวนมากยังคงหมกมุ่นกับการที่ฉินอี่หานยอมรับความพ่ายแพ้ พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าศิษย์พี่ที่พวกเขาคาดหวังไว้มากกลับยกธงขาวหลังจากการประมือเพียงไม่กี่ยกเท่านั้น?

ศิษย์พี่… ท่านลงมือไปกี่ครั้งกันเชียว!

ทำไมถึงยอมรับความพ่ายแพ้!

เสียงของลู่หยวนดึงสติของพวกเขากลับมา

พวกเขามองชายหนุ่มอย่างสิ้นหวัง ในใจรู้สึกสลดเล็กน้อย ขนาดกู่หงเฟยกับฉินอี่หานยังเอาชนะไม่ได้ แล้วใครในสำนักอักขระสวรรค์จะสามารถเอาชนะเขาได้?

แม้จะมีหลายคน แต่ไม่มีใครตอบคำพูดของบุตรศักดิ์สิทธิ์ ลู่หยวนยืนอยู่บนลานประลองพลางกวาดสายตามองไปทั่ว โดยไม่มีใครกล้าสบตาเขา

เขาเอียงศีรษะ ก่อนหันไปทางแท่นสูงแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีใครแล้ว เช่นนั้นก็ประกาศผลเถอะ”

อู่หมิงเสวี่ยมองผู้อาวุโสคนอื่นบนแท่นสูง “พวกท่านคิดเห็นเช่นไร?”

ผู้อาวุโสจำนวนมากมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง จากนั้นพยักหน้า

เจ้าสำนักก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนประกาศเสียงดัง “อันดับหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ ลู่หยวน!”

“ตำแหน่งนายน้อยแห่งสำนักอักขระสวรรค์ จะได้รับการสืบทอดโดยลู่หยวนเช่นกัน!”

ทุกคนเงียบงัน ตอนนี้เหลยโม่พลันก้าวมาข้างหน้า และจับมือของบุตรศักดิ์สิทธิ์ยกขึ้น เสียงหมองหม่นของเขาราวกับเสียงฟ้าร้อง มันดังก้องทั่วสำนักอักขระสวรรค์

“คารวะนายน้อย!”

ผู้อาวุโสคนอื่นเงียบไปหลายลมหายใจ จากนั้นจึงก้าวมาข้างหน้าเช่นกัน “คารวะนายน้อย!”

เสียง “คารวะนายน้อย!” ดังตามมาจากทุกทิศทาง ถึงแม้ในส่วนลึก คนเหล่านี้จะไม่เต็มใจ แต่พวกเขารู้ว่าหลังจากการประกาศนี้ บุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้คือนายน้อยที่แท้จริงของสำนักอักขระสวรรค์

อู่หมิงเสวี่ยประกาศสิ้นสุดการแข่งขัน ทุกคนต่างแยกย้าย ผู้อาวุโสเองก็จากไปเช่นกัน

บนยอดเขาหลักอันยิ่งใหญ่ เหลือเพียงลู่หยวนกับอู่หมิงเสวี่ย

หญิงสาวลอบยกมือขึ้น ทันใดนั้นค่ายกลสีทองก็ปรากฏและกักขังลู่หยวนเอาไว้! แสงสว่างสีทองแผ่กระจายออกมา รากฐานการบ่มเพาะทั้งหมดของบุตรชายถูกสะกด จนไม่สามารถใช้การได้

ลู่หยวนมองมารดาด้วยความสับสน “ท่านแม่ ท่านกำลังทำอะไรน่ะ?”

อู่หมิงเสวี่ยเอื้อมมือไปแตะไหล่ของชายหนุ่ม กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “หยวนเอ๋อร์ อย่าแตกตื่น อย่าขัดขืน เปิดจิตเทวะออกมาเสีย”

บุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน …ว่าอู่หมิงเสวี่ยอยากรู้ว่าลูกชายของนางจากไปแล้วหรือไม่ แม้พฤติกรรมของเขาอาจจะคล้ายกับเจ้าของเดิมก็จริง แต่ในด้านรายละเอียดแล้วย่อมมีความแตกต่าง

“ขอรับ”

ลู่หยวนเปิดจิตเทวะแต่โดยดี ปล่อยให้พลังของอู่หมิงเสวี่ยไหลซึมเข้ามาข้างใน

ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มได้แต่เตรียมใจยอมรับชะตากรรม

ผ่านไปหลายอึดใจ หญิงสาวจึงดึงมือกลับมา คลายค่ายกลออก ก่อนจะดึงร่างลูกชายมาไว้ในอ้อมแขน “หยวนเอ๋อร์โตขึ้นแล้วจริง ๆ อย่าโทษแม่ที่ตรวจสอบจิตเทวะของลูกเมื่อครู่เลย”

มือเรียวงามลูบศีรษะของบุตรศักดิ์สิทธิ์ด้วยความรักใคร่ คลายความกังวลของอีกฝ่ายไปได้มากโข แต่บุตรชายยังพยายามที่จะผละออก ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย และถูจมูกด้วยความเขินอาย “ไม่เป็นไร ลูกทราบว่าท่านแม่เป็นห่วงลูกมากแค่ไหน”

อู่หมิงเสวี่ยมองลู่หยวนผู้ลนลานแต่ก็ยังแสร้งทำเป็นสงบ ก่อนหัวเราะร่วนออกมา “หยวนเอ๋อร์โตขึ้นแล้วจริง ๆ รู้ความแตกต่างระหว่างชายหญิง แถมลูกก็ห่างเหินจากแม่มานาน แต่ว่าหยวนเอ๋อร์อายุก็มากแล้ว ถึงเวลาคิดเรื่องการแต่งงานได้แล้ว”

อู่หมิงเสวี่ยกล่าวอย่างมีนัย ทำให้คนฟังกระแอมไอออกมาเล็กน้อย “ท่านแม่ การแต่งงานของลูกไม่ต้องรีบร้อนก็ได้”

ลู่หยวนเกรงว่านางจะพูดอะไรอีก จึงเป็นฝ่ายตัดบทก่อนว่า “ท่านแม่ ลูกหิวแล้ว”

คู่สนทนารู้เช่นกันว่าชายหนุ่มกำลังหลีกเลี่ยง ดังนั้นนางจึงเพียงกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ถ้าลูกไม่คุยวันนี้ ไม่ช้าก็เร็วลูกก็ต้องคิดอยู่ดี”

หลังจากกล่าวจบ อู่หมิงเสวี่ยกลัวว่าบุตรชายจะหิว จึงพาเขากลับห้องโถงหลัก แล้วขอให้ใครสักคนจัดหาอาหารให้