ตอนที่ 78 วุ้นดอกกุ้ยฮวาและชีสก้อน

จางต้าเปียวเองก็เพิ่งมาที่หมู่บ้านตระกูลเฉินเป็นครั้งแรก เดิมคิดว่าครอบครัวของแม่นางจี้ไม่น่าจะร่ำรวยเท่าไรนัก แต่วันนี้เมื่อได้มาเห็นก็รู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย

แม้จะยังสร้างไม่เสร็จ แต่ลานบ้านก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว และน่าอยู่มากทีเดียว

เมื่อเห็นแล้วจางต้าเปียวก็รู้สึกว่าบ้านมุงกระเบื้องในตำบลของเขายังดูไม่สบายเท่านี้เลย มองดูแล้วอากาศปลอดโปร่ง ส่วนด้านหลังก็ติดกับภูเขา มีพื้นที่กว้างขวางและไม่มีเพื่อนบ้านคนอื่นเลย

ผักสีเขียวสวยที่ปลูกอยู่ในแปลง ไก่ เป็ด ห่านที่อยู่ในลานบ้านก็มีการจัดการที่สะอาดสะอ้าน และอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี ส่วนพื้นก็ปูด้วยอิฐ ที่รั้วยังปลูกดอกไม้เอาไว้มากมาย ซึ่งตอนนี้ก็กำลังเลื้อยไปตามแนวรั้วและชูช่อบานสะพรั่งอยู่

แต่ดูจากเรือนหลักที่ยังไม่ได้ทุบทิ้งก็รู้ได้ว่า สถานการณ์ของครอบครัวนี้ในตอนแรกคงจะไม่ค่อยดีนัก

“แม่นางจี้ บ้านของพวกเจ้าทำได้ไม่เลวเลยนะ” จางต้าเปียวเอ่ยออกมา

“ไม่เท่าไรหรอกเจ้าค่ะ” จี้จือฮวนให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย นางไม่สร้างวิลลาและทำสระว่ายน้ำที่นี่ก็นับว่าดีมากแล้ว

ในห้องโถง ครอบครัวของท่านป้าหยางเห็นนางยุ่งเช่นนี้ ก็คิดว่าไม่เหมาะที่จะนั่งต่ออีก แต่ฟางจวิ่นเหมยไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็จะอยู่ช่วยงานให้ได้ ดังนั้นจึงตามท่านป้าหยางไปช่วยแขวนมุ้งกันยุงที่ห้องของเผยจี้ฉือ เฉินซิงเองก็ถลกแขนเสื้อขึ้นและไปช่วยวางฐานรากของห้องน้ำด้วย

ท่านลุงเฉินคิดไปคิดมา ก็วางแผนว่าจะช่วยจี้จือฮวนปรับปรุงแปลงผักด้านข้าง

จี้จือฮวนห้ามพวกเขาไม่ได้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาทำไป

จางต้าเปียวเองที่เอาวัวและแกะมาส่ง เมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว หลังจากดื่มชาไปหนึ่งอึกก็ต้องกลับไปที่ร้านเสียแล้ว ก่อนกลับเขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้นมา “ช่วงนี้จางจู่ปู้ที่ทำงานในที่ว่าการอำเภอมักถูกฉือชางไห่เชิญไปกินไปดื่มบ่อยครั้ง ข้าคิดว่าเขาคงกำลังแค้นเจ้าอยู่เป็นแน่ อย่างไรซะเจ้าก็ควรระวังตัวเอาไว้หน่อย”

จางต้าเปียวคิดไปคิดมา “แต่บางทีข้าอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ ทว่าเจ้าระวังเอาไว้ก็ไม่เสียหายอะไร”

จี้จือฮวนรู้ว่าฉือชางไห่ไม่มีทางเลิกราง่าย ๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน และเมื่อได้ยินดังนั้นก็ซาบซึ้งใจในคำเตือนของจางต้าเปียวเป็นอย่างมาก “ขอบคุณท่านมาก”

จางต้าเปียวปัดมือไปมา ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนเกวียนวัวและกลับตำบลไป

หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซิงและพวกเหล่าเติ้งก็ช่วยกันสร้างคอกวัวและคอกแกะจนเสร็จ ด้านข้างเป็นป่าหญ้า แค่มัดเชือกเอาไว้ไม่จำเป็นต้องให้อาหาร พวกมันก็สามารถหากินเองได้

จี้จือฮวนอยากให้พวกเด็ก ๆ ดื่มนมมาก ๆ จะได้สูงและอ้วนขึ้น ดังนั้นจึงใส่ยาหลิงเฉวียนลงในอาหารของพวกวัวด้วย และในวันนั้นจี้จือฮวนก็บีบนมได้ถึงครึ่งถัง

พอดีกับแป้งมันแกวที่ผ่านการตากแดดก็สามารถนำมาใช้ได้แล้ว นางจึงใช้มีดขูดออกมาจนเป็นผงแป้ง ก่อนจะนำหม้อออกมา ใส่น้ำตาลกรวดและน้ำแร่จากภูเขาลงไป ต้มด้วยไฟแรง ใส่แป้งที่ละลายน้ำจนหนืดสองช้อน แล้วคนให้เข้ากันจนมีสีใส

บังเอิญกับที่อาอินเข้ามาพอดี จี้จือฮวนจึงให้นางหยิบชามใบเล็กมา เทน้ำที่ต้มไว้ในหม้อลงไปในชามใบเล็ก จากนั้นก็ใส่ดอกกุ้ยฮวาที่ต้มเองลงไปในแต่ละชาม ก่อนจะเอาไปวางใส่ไว้บนหม้อนึ่ง

คนด้านนอกได้กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากในครัว เหล่าเติ้งเป็นคนแรกที่อดไม่ได้จึงเอ่ยทักขึ้นมา “แม่นางจี้ วันนี้ทำของอร่อยอะไรอีกอย่างนั้นหรือ?”

เขาทำงานมาหลายปี ไม่มีบ้านไหนที่เวลาสร้างบ้านจะทำขนมให้คนงานกินกันทุกวันเช่นนี้

ตอนกลางวันนอกจากจะมีปลามีเนื้อสัตว์ให้กินแล้ว ตอนบ่ายยังกลัวว่าพวกเขาจะหิวหรือเป็นลมแดด ดังนั้นนางจึงทำของว่างและน้ำแกงที่เพิ่มความสดชื่นด้วยวิธีต่าง ๆ มาให้อีก พูดตามตรงว่าเหล่าเติ้งอยากจะให้งานนี้ทำไม่เสร็จและยืดเวลาออกไปเรื่อย ๆ จริง ๆ

ต่อไปถ้าอยากจะกินของว่างอร่อย ๆ เช่นนี้โดยไม่เสียเงิน เกรงว่าคงไม่มีทางได้กินอีกแล้ว

จี้จือฮวนได้ยินเสียงของเขาก็ตอบกลับไป “ของเล็ก ๆ น้อย ๆ วุ้นดอกกุ้ยฮวาเจ้าค่ะ”

คนข้างนอกได้กลิ่นหอม ๆ นั่น น้ำลายก็แทบจะไหลออกมา และมีแรงในการทำงานมากขึ้นไปอีก

ฟางจวิ่นเหมยฟังเสียงพวกเขาคุยกันอยู่สักพัก ก็ก้มหน้าลงเอ่ยกับท่านป้าหยาง “ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”

ท่านป้าหยางก็ไม่ได้ว่าอะไรนาง “ฮวนฮวนเป็นสตรีที่ดีมากจริง ๆ ต่อไปเจ้าอย่าพูดว่าข้าอยากให้นางมาเป็นสะใภ้อะไรทำนองนั้นอีก ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มีหน้ามาที่นี่อีก”

“ไม่แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไม่พูดเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเลื่อมใสนางอย่างสุดจิตสุดใจ นางเป็นเทพธิดาสำหรับข้า ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียนรู้กับนางให้มาก ๆ” ท่าทีสำนึกผิดของฟางจวิ่นเหมยนั้น ทำให้ท่านป้าหยางที่เป็นพวกชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็งทำใจร้ายใส่นางไม่ลงอีก

“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ ต่อไปก็ไม่ต้องไปพูดถึงมันอีก” ท่านป้าหยางถอนหายใจออกมา

ฟางจวิ่นเหมยจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก “ท่านว่าเหตุใดน้องจี้นางจึงทำอะไรเป็นมากมายเพียงนี้หรือเจ้าคะ?”

สตรีคนหนึ่งทำกับข้าวเป็นไม่ได้แปลกอะไร แต่นางกลับทำอาหารได้หลากหลายรูปแบบ ของที่ทำออกมาทั้งหน้าตาดีมีรสชาติอร่อย มิหนำซ้ำยังรักษาคนเป็น และหาเงินเก่งอีกด้วย ฟางจวิ่นเหมยรู้สึกละอายแก่ใจที่ทำไม่ได้เหมือนนาง

เมื่อนางคิดไปคิดมา จึงตัดสินใจไปช่วยงานจี้จือฮวนต่อ

บังเอิญว่าจี้จือฮวนจะทำชีสก้อนให้พวกเด็ก ๆ พอดี ส่วนอาอินก็กำลังจะไปแช่น้ำเกลือจึงไม่มีใครช่วยดูไฟที่เตาให้ ทันทีที่ฟางจวิ่นเหมยเข้ามาก็นั่งลงที่หน้าเตาช่วยดูไฟให้ทันที

และเอ่ยถามอย่างรู้จังหวะ “น้องสาว ไฟเท่านี้พอหรือไม่?”

จี้จือฮวนพยักหน้าให้แล้วเอ่ยขึ้นมา “ใช้ไฟเบา ๆ ก็พอเจ้าค่ะ ไม่ต้องแรงมาก”

โชคดีที่ฟางจวิ่นเหมยเป็นคนที่อยู่บ้านก็ขยันทำงานอยู่แล้ว เรื่องการควบคุมไฟจึงไม่ต้องพูดถึง

จากนั้นจี้จือฮวนก็ตะโกนไปทางประตู “อาฉือ ไปเก็บส้มเขียวหวานมาที”

เผยจี้ฉือได้ยินก็รีบลุกขึ้นและไปหยิบไม้มา ที่หน้าประตูบ้านมีต้นส้มอยู่ เพียงแต่มันทั้งขมและเปรี้ยวมากจึงไม่มีใครกิน แต่บางครั้งพวกเขาทนหิวไม่ไหวจึงได้ไปเอามากิน แต่กินแล้วตอนกลางคืนก็จะนอนไม่หลับ เพราะมีอาการกรดไหลย้อนและอาเจียนออกมา

เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจึงคิดว่าส้มนั่นเสียแล้วและไม่มีใครสนใจมันอีก

เผยจี้ฉือเก็บส้มมาสองสามลูก ให้อาอินเอาเข้าไปด้านใน

“หั่นส้มเขียวหวานแล้วบีบน้ำออกมา” จี้จือฮวนสั่งเสร็จ ก็เห็นว่าหม้อร้อนแล้ว จึงเทนมลงไป

ก่อนจะเห็นอาอินพยักหน้ารับคำ จากนั้นนางก็ไปยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ออกแรงที่มือเล็กน้อย น้ำส้มก็ถูกบีบออกมาด้วยมือเล็ก ๆ คู่นั้นทันที…

จี้จือฮวน “…”

เกือบลืมไปเลยว่ามีนางอยู่ แม้แต่ปอกเปลือกวอลนัตก็ยังไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเลย

“ส้มนี่รสชาติแย่มาก น้องสาว เจ้าบีบลงไปเช่นนั้น นมนี่จะยังดื่มได้อย่างนั้นหรือ?” ฟางจวิ่นเหมยไม่เคยดื่มของหายากอย่างนมมาก่อน อีกทั้งยังดื่มไม่เป็นด้วย

จี้จือฮวนจึงได้อธิบายว่า “ในนมมีโปรตีน เมื่อเจอกับกรดจะค่อย ๆ เกิดการควบแน่น กลายเป็นเหมือนเต้าฮวย”

ฟางจวิ่นเหมยลุกยืนขึ้นและมองไปในหม้อ นมซึ่งแต่เดิมเป็นสีขาวขุ่นตอนนี้กลับกลายเป็นสีเหลืองเล็กน้อย และรวมตัวเหมือนเต้าฮวยจริง ๆ “จริงด้วย”

“นี่คือชีส” จี้จือฮวนใช้ทัพพีและผ้าขาวบางเพื่อกรองชีสที่อยู่ข้างใน อาศัยตอนที่มันยังเปียกอยู่ นำมันกลับลงไปในหม้อแล้วคนด้วยไฟอ่อน ๆ ชีสนี้ก็จับตัวเป็นก้อนอย่างรวดเร็วทันที

จี้จือฮวนล้างมือจนสะอาด ในขณะที่ก้อนชีสยังร้อนอยู่ นางก็ยืดออกซ้ำ ๆ และเมื่อยืดจนเหนียวได้ระดับหนึ่งแล้ว ก็ห่อชีสที่กรองออกมา ปั้นให้เป็นก้อนกลม ๆ เล็ก ๆ แล้วใส่ลงไปในน้ำที่แช่น้ำแข็งเอาไว้ โดยนางเอาออกมาจากช่องว่างมิติ

จากนั้นก็อาศัยตอนที่ฟางจวิ่นเหมยไม่ทันสังเกต แสร้งทำเป็นก้มลงไปหยิบของในโอ่ง ก่อนเอาแคนตาลูป แตงโม องุ่นออกมาจากช่องว่างมิติ หั่นเสร็จแล้วก็วางลงบนจาน

วุ้นดอกกุ้ยฮวาในหม้อนึ่งก็เสร็จพอดี จี้จือฮวนหยิบไม้จิ้มอันเล็ก ๆ เสียบเอาไว้ แล้วให้อาอินยกออกไปพร้อมกับผลไม้ ส่วนอาฝูกับเด็กทั้งสามคนรวมถึงท่านป้า แต่ละคนมีชีสก้อนคนละสองลูกกินกับผลไม้เป็นของว่างยามบ่าย

ฟางจวิ่นเหมยได้แต่ตกตะลึง นางทำได้อย่างไรกัน?

พวกเด็ก ๆ เพิ่งเคยกินชีสก้อนเป็นครั้งแรก แม้แต่อาฉือที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับของกินมากนัก ก็กินจนไม่สามารถหยุดได้

ท่านป้าที่ชอบทำตัวแปลก ๆ อยู่เสมอก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ยอดเยี่ยม พรุ่งนี้หากมีอีกก็ยิ่งดีเลย”

.

.

.