ตอนที่ 79 ข้าแค่ยังเด็กแต่ไม่ใช่คนโง่

อาฝูเองก็ชอบกินมาก เขากินอย่างตะกละตะกลามจนแทบจะกัดลิ้นตัวเองไปด้วย ฟางจวิ่นเหมยรู้สึกอับอายเล็กน้อย ลูกตัวเองกินเหมือนไม่เคยกินข้าวอย่างไรอย่างนั้น พอดูลูกทั้งสามคนของครอบครัวเผยแล้ว พวกเขากินไม่ช้าและไม่เร็วเกินไป ทั้งยังกินอย่างเรียบร้อยอีกด้วย

ฟางจวิ่นเหมยจึงเอ่ยด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อขึ้นมา “อาฝูถูกเลี้ยงแบบไม่ได้รับการสั่งสอนจนเคยตัว ไม่ค่อยได้เปิดหูเปิดตา ไม่เคยดื่มนมกินชีสอะไรพวกนี้ น้องสาวเจ้าอย่ารังเกียจเขาเลยนะ อีกเดี๋ยวข้าจะให้เขาล้างจานชามให้สะอาดเอง”

จี้จือฮวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านป้าหยางปฏิบัติต่อข้าเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ข้าก็เห็นนางเป็นแม่ของข้าเช่นกัน พี่สะใภ้ท่านอย่าได้เกรงใจเลย ถ้าชอบก็มาเล่นบ่อย ๆ ได้นะเจ้าคะ”

ฟางจวิ่นเหมยเดิมทีก็รู้สึกละอายแก่ใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นจี้จือฮวนใจกว้างเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี “น้องสาวคนดี พี่สาวจดจำคำนี้ของเจ้าเอาไว้แล้ว ภายหน้าเรื่องของเจ้าก็ถือเป็นเรื่องของข้าด้วย!”

จี้จือฮวนรู้สึกประหลาดใจว่าท่าทีของฟางจวิ่นเหมยที่แสดงออกมานั้นดูซาบซึ้งใจเกินไปหรือไม่? ในใจก็คิดว่า บางทีคนในชนบทอาจจะเป็นคนจริงใจ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก

ขนมที่ทำวันนี้ช่วยคลายร้อนได้ดี แม้แต่ผู้ชายอย่างพวกเหล่าเติ้งที่ไม่ชอบของหวานก็ยังหยุดกินไม่ได้เช่นกัน

จี้จือฮวนจึงหยิบแบบสอบถามเล็ก ๆ ออกมา “คิดว่ารสชาติ หน้าตา และกลิ่นมีอะไรที่ต้องปรับปรุงหรือไม่?”

เหล่าเติ้งแสดงความคิดเห็นเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะฟังอย่างตั้งใจ

“เจ้าถามเรื่องพวกนี้ไปทำไมหรือ?”

จี้จือฮวนเอ่ย “เป็นจริยธรรมในอาชีพการทำอาหารและเพื่อการพัฒนา แต่ละคนชอบรสชาติแตกต่างกัน แต่ละพื้นที่ก็ชอบกินไม่เหมือนกัน ข้าต้องเลือกรสชาติที่กลาง ๆ ที่สุด เช่นนี้จึงจะสามารถทำให้ทุกคนติดใจได้”

ไม่ว่านางจะทำอะไรก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเสมอ ตอนเป็นสายลับและปลอมตัวเป็นอาชีพต่าง ๆ นางก็มีการไปสอบใบรับรองด้วย ตอนนี้เมื่อได้มาทำอาหารที่นี่ นางก็จะสร้างสรรค์อาหารใหม่ ๆ ให้กับโลกนี้

มีเงินช่องว่างมิติก็จะใหญ่ขึ้น ยาหลิงเฉวียนก็จะมากขึ้นด้วย ชีวิตของนางจึงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ

ความจริงแล้วหลายต่อหลายครั้งเหล่าเติ้งมักจะฟังที่จี้จือฮวนพูดไม่ค่อยเข้าใจ ยกตัวอย่างเช่น นางมักจะพูดว่าภาพหน้าตัด ภาพตัดขวางบ้าง ต้องให้นางอธิบายก่อนจึงจะเข้าใจ แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดมานั้นมีเหตุผลมาก

เมื่อเห็นนางทำเรื่องต่าง ๆ ได้จนน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ เหล่าเติ้งก็พยักหน้าให้ “ที่เจ้าพูดมามีเหตุผลมาก ภายภาคหน้าถ้าข้าสร้างบ้าน จะทำ…แบบสอบถามเหมือนเจ้าบ้าง”

เผยจี้ฉือที่อยู่ข้าง ๆ กินชีสไปก็ใคร่ครวญไปด้วย หากว่าในราชสำนัก เหล่าขุนนางสามารถตรวจสอบการทำงานของตัวเองได้ ชีวิตของเหล่าราษฎรก็คงไม่ลำบากเช่นนั้นอีก

แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต เขาในตอนนี้ยังต้องเติบโตภายใต้การปกป้องคุ้มครองจากท่านแม่อยู่ ดังนั้นเขาต้องรีบโตไว ๆ

วันนี้เผยจี้ฉือและอาชิงย้ายเข้าไปอยู่ที่ห้องใหม่แล้ว ตอนกลางวันเด็กทั้งสองคนยังมีความสุขมากอยู่เลย แต่พอตกกลางคืนความสุขนั้นก็หายไปเสียแล้ว

โดยเฉพาะอาชิง เมื่อคิดว่าคืนนี้จะไม่มีท่านแม่ที่ตัวนุ่ม ๆ หอม ๆ อีก แถมตอนนอนกับพี่ใหญ่ยังต้องทนฟังเขาท่องหนังสือ อาชิงก็รู้สึกว่าวัยเด็กของเขาใกล้จะจบสิ้นแล้ว

เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่มีความสุขอีกต่อไป

ดังนั้นหลังจากที่ท่านป้าเข้าไปในเรือนหลักแล้ว อาชิงก็ปีนลงมาจากเตียงด้านบนทันที เขาจะไปหาท่านแม่ให้เล่านิทานให้ฟัง แต่น่าเสียดายที่เพิ่งไปถึงหน้าประตู ก็ถูกเผยจี้ฉือหิ้วตัวกลับมาเสียก่อน

“ปล่อยข้า ๆ ข้าจะไปหาท่านแม่ ให้ท่านแม่เล่านิทานให้ฟัง” ขาสั้น ๆ ของอาชิงสะบัดไปมา

เผยจี้ฉือหิ้วเขากลับมาที่เตียงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ไม่เห็นหรือว่าวันนี้ท่านแม่เหนื่อยมากแล้ว นาน ๆ ทีกว่านางจะได้พักผ่อน ตอนเช้าก็ต้องลุกขึ้นมาทำอาหารให้พวกเรา พาพวกเรารำไท้เก๊กออกกำลังกาย แล้วยังต้องไปขายของที่ตลาด ตอนเย็นยังต้องคอยฝึกกล้ามเนื้อมือให้พวกเราอีก มิหนำซ้ำตอนกลางคืนเจ้ายังให้นางอาบน้ำให้เจ้าอีก เจ้าอ้วนขึ้นก็จริง แต่เห็นท่านแม่อ้วนขึ้นสักนิดหรือไม่?”

อาชิงเอานิ้วจิ้มกันไปมา จากนั้นก็คอตกลง “ข้าผิดไปแล้ว แต่ข้าคิดถึงท่านแม่นี่ขอรับ”

เผยจี้ฉือถอนหายใจออกมา ก่อนจะยัดอาชิงเข้าไปในผ้าห่มของตัวเอง “พี่จะนอนเป็นเพื่อนเจ้าเอง ให้ท่านแม่พักผ่อนเถอะ”

อาชิงขยับตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเผยจี้ฉือ ช่างเถอะ ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย แต่ก็ไม่หอมเหมือนท่านแม่อยู่ดี

อีกด้านหนึ่งทางเรือนหลัก อาอินถูกท่านป้าพามานอนบนเตียงของตัวเอง ทั้งยังตั้งใจดึงม่านกันลมที่เจิ้งต้าเฉียงทำเสร็จวันนี้ให้เสร็จสรรพ

อาอินไม่พอใจ นางไม่คุ้นเคยกับท่านป้า จึงไม่อยากนอนกับนาง แต่ท่านป้ากลับกดนางเอาไว้ “เจ้าไม่อยากให้แม่เลี้ยงเจ้าอยู่ต่อหรือ?”

อาอินกะพริบตาโต ๆ ของตัวเอง “อยากสิ เหตุใดท่านถึงพูดเช่นนี้?”

ท่านแม่จะไปแล้ว แต่ท่านป้ากลับรู้เข้าอย่างนั้นหรือ?

ทันใดนั้นอุปกรณ์เตือนภัยในหัวของอาอินก็แทบจะส่งเสียงดังขึ้นมาในทันที

ท่านป้าหลับตาลง “ถ้าอยากก็อย่าไปรบกวนพ่อกับแม่ของเจ้า ไม่แน่ นอนไปนอนมา พ่อเจ้าอาจจะตื่นขึ้นมาและทำให้แม่เจ้ามีน้องอีกคนก็ได้”

อาอิน “…”

ข้าแค่ยังเด็กแต่ข้าไม่ได้โง่นะ ท่านพ่อจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไรยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

“มีตัวแสบอย่างพวกเจ้าอยู่ด้วย อาศัยแค่ใบหน้าของพ่อเจ้า ต่อให้แม่เจ้าคิดจะทำอะไรก็คงทำไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้พวกเจ้าไม่อยู่ด้วย ไม่แน่อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ได้” ท่านป้าคิดว่าตัวเองวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุมีผลที่สุดแล้ว

บ้านพวกเขาทำอาหารอร่อย ตอนนี้นางยังไม่อยากจากไป ใช่ เป็นเพราะเหตุนี้ นางต้องกินให้หายอยากก่อนค่อยตามหาครอบครัวของตัวเอง

จะว่าไปแล้วท่านป้าก็คาดการณ์เก่งจริง ๆ จี้จือฮวนในเวลานี้นอนอยู่ข้างกายเผยยวน เนื่องจากผ้าห่มไม่พอแบ่ง ตอนนี้ใต้ผ้าห่มจึงมีร่างของพวกเขาสองคน

จี้จือฮวนหันหน้าไปก็เจอเขา แต่พอหันหลังก็รู้สึกว่ามีเขาอยู่ด้วยอยู่ดี

นางอดไม่ได้ที่จะเชิดคางขึ้นและมองเขาใกล้ ๆ กินยาหลิงเฉวียนไปตั้งมากมาย แต่เขาก็ราวกับหลุมที่ถมไม่เต็ม หากว่าเขาไม่ฟื้นตลอดไปจะทำอย่างไร?

ช่างเถอะ คงต้องทนเลี้ยงพวกเขาไปตลอดชีวิตเสียแล้ว

แต่คงจะไม่มีเนื้อเรื่องส่วนของตัวร้ายที่ทรงอำนาจอีกแล้ว

เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นางเอกที่เป็นลูกสาวอนุผู้นั้น คาดว่าก็คงไม่ต้องคิดหนักเพื่อต่อสู้กับพวกเขาอีกต่อไป เช่นนั้นนางก็จะสามารถขึ้นเป็นฮองเฮาได้อย่างราบรื่น ส่วนตนก็นั่งอยู่บนกองเงินกองทองเป็นเจ้าแม่แห่งวงการอาหาร

แค่คิดจี้จือฮวนก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ธรรมดาแล้ว

หลังจากที่นางหลับไปจนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ มือของเผยยวนก็สั่นอย่างไม่อาจควบคุม ในค่ำคืนที่มืดมิดมีเพียงลูกเสือเมี้ยวเมี้ยวที่นอนอยู่ตรงปลายเตียงเท่านั้น ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้

ลูกเสือตัวน้อยเดินโซเซมายังข้างกายของเผยยวน ซุกหัวปุกปุยของมันไว้ในฝ่ามือของเขา หลังจากเลียอยู่สักพัก ก็หาตำแหน่งที่สบายและหลับไป

ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ…

ในตอนเช้า หวังกุ้ยฟางเดินออกจากบ้านและเตรียมที่จะไปซักผ้าที่แม่น้ำ ก็เห็นว่าที่บ้านของท่านป้าหยางมีคนเอาของขวัญมามอบให้

หวังกุ้ยฟางจึงเบะปากใส่ นี่ยังไม่ทันได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็รับของเสียแล้ว ไม่กลัวว่ามีความสุขมาก ๆ แล้วอายุจะสั้นหรืออย่างไร!

นางหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดได้ว่าควรไปจับผิดท่านป้าหยาง นางจึงไปหยุดที่ประตูบ้านของพวกเขา ท่านป้าหยางเห็นหน้านางก็เอ่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึงทันที “เจ้ามาที่นี่ทำไม?”

ฟางจวิ่นเหมยสวมเสื้อผ้าให้อาฝูเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตามท่านป้าหยางไปช่วยครอบครัวเผย แต่เมื่อเห็นหวังกุ้ยฟางนางก็กลอกตามองบน อย่าคิดว่าตอนนั้นนางไม่ทันสังเกต ตอนที่อาฝูเกิดเรื่อง ครอบครัวของพวกเขามีความสุขกับการพูดจากระแนะกระแหนที่สุด

หวังกุ้ยฟางชายตามองไปทางด้านหลังของท่านป้าหยาง “ท่านป้าเถียน เหตุใดพาตงหลิงมาบ้านคนอื่นแต่เช้าเช่นนี้เล่า?”

ท่านป้าเถียนยิ้มแหย ๆ ออกมา “ไม่ได้เจอกันนานก็เลยมาหาน่ะ”

หวังกุ้ยฟางมองที่ท้องของตงหลิงเล็กน้อย “ก็จริง ตงหลิงแต่งงานมาจะสองปีแล้ว เรื่องท้องคงต้องรีบหน่อย หากไม่มีลูกชายชีวิตจะต้องลำบากน่าดู”

ท่านป้าเถียนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ฟางจวิ่นเหมยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นมา “ปากสุนัขย่อมพูดเรื่องดี ๆ ไม่เป็น อย่าไปสนใจนางเลย พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

หวังกุ้ยฟางกลอกตามองบน กำลังจะพูดเหน็บแนมต่ออีกสักหน่อย ฟางจวิ่นเหมยจึงมองนางด้วยสีหน้าเรียบตึง “จดหมายขอโทษเย่าจงของพวกเจ้าเขียนเสร็จหรือยัง อาฉือบอกแล้วว่าต้องแขวนไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้าน ไม่อย่างนั้นระวังพวกเขาจะไปแจ้งทางการเอานะ”

หวังกุ้ยฟางโมโหจนดวงตาแดงก่ำ นางคิดอยู่แล้วว่าคนพวกนี้จะต้องรอหัวเราะเยาะซ้ำเติมครอบครัวของนางอยู่!

แต่ครอบครัวของนางก็ทำผิดจริง นางจึงทำได้เพียงมองดูคนเหล่านี้พากันไปที่บ้านครอบครัวเผย ก็แค่มีเงินไม่เท่าไร คิดว่าแน่มากอย่างนั้นหรือ นางจะรอดูว่าครอบครัวของพวกเขาจะตกต่ำลงเมื่อใด!

.

.

.