วารุณียิ้มแล้วตอบ “ทำน้ำซุปให้คุณอานัทธีครับ คุณอาเจ็บตัวเพราะช่วยหม่ามี๊ หม่ามี๊ต้องแสดงน้ำใจหน่อย”

ตอนนี้นัทธีกลับประเทศแล้ว สิ่งที่เธอรับปากมารุต ไม่จำเป็นต้องทำแล้ว

“แบบนี้เหรอครับ” อารัณพยักหน้า แสดงความเข้าใจ

วารุณีจับศีรษะของเด็กน้อย “ไปเล่นกับน้องสิครับ หม่ามี๊จะทำอาหารแล้ว”

“ครับ” อารัณขานตอบ แล้ววิ่งกลับไปที่ห้อง ไปหาไอริณ

วารุณีมองประตูห้องของลูกท้องสองที่ปิดลง ยิ้มแล้วเดินไปที่ห้องครัว

รอให้เธอทำอาหารเสร็จ กริ๊งดังขึ้น

วารุณีเช็ดมือของตนบนผ้ากันเปื้อน แล้วเดินไปเปิดประตู

พงศกรยืนอยู่ด้านนอกประตู ยิ้มให้เธอด้วยความอ่อนโยน “วารุณี”

“พงศกร คุณมาได้ยังไงคะ?” วารุณีเห็นเขา อ้าปากกว้างด้วยความตกใจ

พงศกรหยิบโทรศัพท์ออกมา “คุณลืมไปแล้วเหรอ เมื่อหลายวันก่อนเราเพิ่งคุยโทรศัพท์กัน ผมบอกว่าจะกลับประเทศยังไงครับ”

“ฉันไม่ลืมค่ะ แต่คุณไม่ได้บอกว่าจะกลับวันนี้ ทำไมถึงไม่บอกให้ฉันไปรับคะ?” วารุณีเปิดประตู แล้วหยิบรองเท้าแตะให้เขา

พงศกรเข้ามาด้านในแล้วปิดประตู เปลี่ยนรองเท้าไปด้วยพร้อมกับพูด“ผมอยากมาเซอร์ไพรส์คุณไงครับ จริงด้วย นี่คือของขวัญของอารัณกับไอริณ”

ขณะพูด เขาก็ยื่นถุงทั้งสองถึงในมือมาให้เธอ

วารุณีเองก็ไม่ได้เกรงใจ ยื่นมือไปรับ “ขอบคุณมากนะคะพงศกร”

“ไม่เป็นไรครับ” พงศกรผายมือ จากนั้นมองไปที่ห้องนั่งเล่น “เด็กทั้งสองคนล่ะ?”

“อยู่ในห้องค่ะ” วารุณีวางถุงลง บอกให้เขานั่ง “ฉันไปตามพวกเขาออกมานะคะ พอดีเลยพวกเรากำลังจะกินข้าวแล้ว”

“เดี๋ยวผมไปเองครับ” พงศกรไม่ได้นั่งลง เขาเดินไปยังห้องนอนของเด็กๆ

วารุณีเห็นแบบนั้น รู้สึกว่าดีเหมือนกัน เธอจึงกลับไปที่ห้องครัว แล้วยกอาหารออกมา

หลังจากกินข้าวเสร็จ เด็กทั้งสองไปอาบน้ำ วารุณีล้างจานกับพงศกรในห้องครัว

พงศกรมองดูกระติกเก็บความร้อนที่วางอยู่ข้างอ่างล้างจาน “นี่คือ……”

วารุณียื่นถ้วยที่ล้างสะอาดแล้วให้เขา “เป็นซุปกระดูกที่ฉันทำให้ประธานนัทธีค่ะ”

“ซุปที่ทำให้ประธานนัทธี?” พงศกรที่กำลังเช็ดถ้วยอยู่นั้นหยุดชะงักครู่หนึ่ง แววตาที่อยู่ด้านหลังแว่นตามีแสงแห่งความหม่นหมองฉายผ่าน

วารุณีไม่เห้น เธอล้างถ้วยแล้วยื่นให้เขาอีกหนึ่งใบ “ใช่ค่ะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าที่อบอุ่นของพงศกรจางลง “ผมได้ยินว่าประธานนัทธีได้รับบาดเจ็บ วารุณีทำน้ำซุปให้เขา คุณเป็นห่วงเขามากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

มือของวารุณีลื่น เกือบทำถ้วยหล่น หลบตาลง ตอบด้วยความร้อนตัวเล็กน้อย “ฉันไม่ได้เป็นห่วงเขาหรอกค่ะ ที่ฉันทำแบบนี้ ฉันมีเหตุผล”

พงศกรดูออกว่าเธอปากไม่ตรงกับใจ

พงศกรรู้ว่าเธออาจจะรู้สึกดีกับนัทธี ม่านตาหดเล็ก แม้แต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก็ฉายความร้ายกาจออกมา

แต่อย่างรวดเร็ว ทุกอย่างหายไปจนหมด กลับมาเป็นสีหน้าปกติ คล้ายว่าเมื่อกี้เป็นแค่ภาพหลอน

“เหรอครับ” พงศกรยิ้มทว่านัยน์ตาของเขาไม่ได้ยิ้ม จากนั้นถามเสียงแผ่วเบา “วารุณี คุณรู้ไหมครับว่าครั้งนี้ผมผ่าตัดให้ใคร?”

“รู้ค่ะ เป็นคนสนิทของคุณหมอพิชิตและประธานนัทธี” วารุณีล้างถ้วยใบสุดท้ายเสร็จแล้วพูด

พงศกรรับถ้วยมาแล้วเช็ดช้าๆ “คุณพูดถูก ความสัมพันธ์ของพวกเขา มากกว่าคนสนิท เธอชื่อสวิยา เป็นคุณหนูของบริษัท แก้วสุทธิ กรุ๊ป เมื่อสิบปีก่อนเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้สุขภาพไม่ดีมาโดยตลอด เมื่อเจ็ดปีก่อน จู่ๆ เธอก็กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา”

“ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง!” ฟังที่เขาบอก วารุณีก็นึกขึ้นได้แล้ว

บริษัท แก้วสุทธิ กรุ๊ปเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีชื่อเสียงของจังหวัดจันทร์ แต่ว่าเมื่อสิบปีก่อนล้มละลาย หลังจากที่สองสามีภรรยาประธานธนงค์ตาย เหลือเพียงลูกสาวคนเดียวที่ยังมีชีวิต

เพียงแต่หลังจากจบงานศพของสองสามีภรรยาประธานธนงค์ก็ไม่ได้ยินชื่อของคุณหนูคนนี้อีกเลย คิดไม่ถึงว่าเธอจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปแล้ว

“คุณนวิยาคนนี้เป็นคนที่โตมาพร้อมกับประธานนัทธี ทั้งสองมีสัมพันธ์ที่ดีกันมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุรถยนต์ในครั้งนั้น พวกเขาน่าจะแต่งงานกันนานแล้ว” หางตาของพงศกรมองไปที่วารุณี

วารุณีชะงัก “แต่งงาน?”

“ใช่ครับ ได้ยินว่าประธานนัทธีรักคุณนวิยามาก หลังจากที่คุณนวิยากลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ก็ไม่เคยที่จะหยุดหานักสะกดจิตระดับโลก เพราะอยากจะปลุกให้เธอตื่นขึ้นมา เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ประธานนัทธีทำสำเร็จแล้ว” พงศกรนำถ้วยที่เช็ดเสร็จใส่เข้าไปในตู้

วารุณีอ้าปากด้วยความตกใจ “คุณบอกว่าคุณนวิยาฟื้นแล้ว?”

พงศกรขยับแว่น “ฟื้นแล้วครับ แต่เพราะมีก้อนเนื้อที่สมอง ดังนั้นผมต้องผ่าตัดให้เธอ ผมเชื่อว่าหลังจากคุณนวิยาหายป่วย ประธานนัทธีต้องยกเลิกงานแต่งงานกับตระกูลศรีสุขคําอย่างแน่นอน แล้วแต่งงานกับคุณนวิยา เพราะถึงอย่างไรคุณนวิยาต่างหากที่เป็นรักแก้ของเขา”

รักแท้……

ได้ยินสองคำนี้ วารุณีรู้สึกหัวใจของตนเองบีบรัด เจ็บปวดเล็กน้อย

พงศกรมองใบหน้าของเธอที่ซีดขาวเล็กน้อย มุมปากกระตุกขึ้นด้วยความพอใจ แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว วารุณี ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

“ค่ะ ฉันไปส่งคุณนะคะ” วารุณีฝืนยิ้ม แล้วส่งเขาไปด้านนอกประตู

หลังจากพงศกรไป วารุณีกลับไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นด้วยความหม่นหมอง นั่งเหม่อลอยบนโซฟา

ความเป็นจริงเธอรู้มาโดยตลอด ถึงแม้นัทธีจะหมั้นกับพิชญาแล้ว แต่เขาไม่ได้รักพิชญา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงไม่ยอมยกเลิกการหมั้นหมายกับพิชญา

ตอนนี้เธอรู้แล้ว นัทธีมีคนที่เขารัก ที่เขาไม่ยอมยกเลิกการหมั้น เพราะอยากจะให้พิชญาเป็นไพ่ป้องกัน ช่วยอยู่ตำแหน่งว่าที่เจ้าสาว รอให้คุณนวิยากลับมา พิชญาก็ต้องถอยออกไป เมื่อคิดแบบนี้ ดูเหมือนพิชญาจะน่าสงสาร

“หม่ามี๊” ขณะครุ่นคิด อารัณเดินออกมาจากห้อง

วารุณีดึงสติกลับมาแล้วมองลูกชาย “มีอะไรรึเปล่าครับลูกรัก?”

“พ่อบุญธรรมไปแล้วเหรอครับ?”

“ครับ เพิ่งไป น้องล่ะ?” วารุณีถาม

อารัณปีนขึ้นไปบนโซฟา แล้วซบที่ตัววารุณี “ไอริณนอนแล้วครับ หม่ามี๊ ผมอยากถามหม่ามี๊อย่างหนึ่งครับ”

“ถามมาสิครับ ถ้าหม่ามี๊รู้ หม่ามี๊จะตอบแน่นอน” วารุณีหอมหน้าผากลูกชาย

อารัณใช้สายตาที่คล้ายกับนัทธีมองมาที่เธอ “หม่ามี๊ พ่อของพวกผมเป็นใครกันแน่เหรอครับ?”

วารุณีคิดไม่ถึงว่า เขาจะถามคำถามนี้ ครู่หนึ่ง เม้มกัดริมฝีปากแล้วเงียบ

ดูจากท่าทีของเธอ อารัณจับแขนเสื้อ “หม่ามี๊ หม่ามี๊รู้ใช่ไหมครับ?”

วารุณีพยักหน้า “หม่ามี๊รู้ครับ แต่หม่ามี๊ไม่มีวันบอกลูก”

“ทำไมครับ?” อารัณไม่เข้าใจ

วารุณีถอนหายใจ “เพราะพ่อของพวกลูกๆ มีคู่หมั้นแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะมีครอบครัวใหม่ มีลูกของตนเอง เป็นแบบนี้แล้วลูกยังอยากรู้อยู่ไหมครับ?”

อารัณขยับปากสองครั้ง ดวงตาเปล่งประกายหม่นหมองลงทันที ส่ายหน้า

วารุณีโอบกอดเขา “ลูกรัก ทำไมลูกถึงถามเรื่องนี้ละครับ?”

อารัณขยับจมูกเล้กๆ ตอบเสียงสะอื้นเล็กน้อย“เพราะก่อนหน้านี้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนอนุบาบ บอกว่าผมกับไอริณไม่มีพ่อ ทั้งยังบอกว่าหม่ามี๊หน้าไม่อาย ท้องก่อนแต่ง”

“อะไรนะ?” วารุณีโมโหอย่างมาก ใบหน้าเล็กๆ ของเธอเยือกเย็นจนน่ากลัว

“ลูกรัก ทำไมก่อนหน้านี้ลูกไม่บอกหม่ามี๊?” ดวงตาของวารุณีแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า

อารัณกำหมัดเล็กๆ แล้วตอบ“เพราะผมไม่อยากให้หม่ามี๊เสียใจครับ”

นี่คือสัญญาระหว่างเขากับไอริณ ตอนแรกคิดจะไม่บอกหม่ามี๊แล้ว

แต่สุดสัปดาห์นี้โรงเรียนอนุบาลที่ใหม่มีกิจกรรมพ่อแม่ลูก ซึ่งต้องไปสวนสนุกกับพ่อและแม่ เด็กๆ ทั้งโรงเรียนมีพ่อไปด้วย มีแค่เขากับไอริณที่ไม่มี

ดังนั้น คืนนี้เขาจึงห้ามใจไม่ได้ที่จะถาม

วารุณีรู้สึกผิดอย่างมาก “ขอโทษด้วยนะลูกรัก ขอโทษด้วยนะ…..”

เธอไม่รู้เลย รู้ของเธอต้องเจอเรื่องแบบนี้

ทั้งยังมีคำพูดหยาบคายพวกนั้น แค่ฟังก็รู้แล้วว่ามีคนสอนเด็กๆ พวกนั้น รอให้เธอสืบรู้ก่อน เธอจะไม่มีวันปล่อยคนๆ นั้นไปเด็ดขาด!

นัยน์ตาของวารุณีเต็มไปด้วยความแค้น

วันที่สอง วารุณีรู้ว่ามีกิจกรรมพ่อแม่ลูก นึกถึงความปรารถนาที่จะมีพ่อของอารัณ หลังจากสูดลมหายใจเข้า เธอก็เคาะประตูห้องทำงานของนัทธี