ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 31 หนึ่งกระบี่ห้าหยดความเป็นเทพ (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 31 หนึ่งกระบี่ห้าหยดความเป็นเทพ (rewrite)

“กฎเกณฑ์เมืองหลวง กฎหมายต้าสุย…”

คุณชายครามหรี่ตาลง ดวงตามีความเย็นชาเล็กน้อย “หนิงอี้ เจ้ากำลังท้าสู้ข้ารึ”

เสียงเอะอะบนถนนนิมิตชาดในตอนแรก ถึงตอนนี้เงียบอย่างยิ่ง

เข็มตกยังได้ยิน

สี่สำนักศึกษา ผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่อยู่ในฐานะอย่างคุณชายคราม ต่อให้ไม่เคยลงมือต่อหน้าชาวโลกอย่างแท้จริง ก็ยังไม่มีใครกล้าสงสัยในศักยภาพของพวกเขา

ส่วนอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่บุกฝ่าออกมากลางทางอย่างหนิงอี้คนนี้ มีคำเล่าลือว่า…พลังบำเพ็ญไม่ถือว่าเท่าไร เพียงแค่สวีจั้งให้ความสำคัญ กำลังแฝงไร้ขีดจำกัดถึงถูกจัดอยู่อันดับหนึ่งรายนามดารา

ข่าวกรองส่วนใหญ่คิดว่าหากหนิงอี้ประมือกับคนระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์ หรือประลองกับผู้นำสำนักศึกษาอย่างคุณชายคราม ทำได้เพียงแสดงแรงกดดันเหมือนลั่วฉางเซิงในปีนั้นอย่างไม่มีทางเลือก ไม่นานนักก็จะคงจะตกจากรายนามดาราอันดับหนึ่ง

ลูกศิษย์แห่งสำนักศึกษาตะวันสูงและสำนักศึกษาขุนเขามองการเผชิญหน้าของทั้งสองคนในถนนนิมิตชาด สีหน้าเคร่งขรึม…ถ้าหากคุณชายครามและหนิงอี้สู้กันขึ้นมา เช่นนั้นเมืองหลวงก็จะวุ่นวายขึ้นนับจากนี้ไป

เจ้าลัทธิขมวดคิ้วเล็กน้อย มองหนิงอี้ เขาไม่คิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีนัก

คนอย่างคุณชายคราม เป็นคนจริงไม่เผยรูปลักษณ์ แทบจะไม่เคยออกมือ ใครจะรู้ว่าเขาซ่อนไพ่ตายไว้เท่าไร หากสู้กันจริงๆ เขาสู่ซานกับจวนขานฟ้าจะไม่อาจรับผลที่ตามมาหลังพ่ายแพ้ได้

หนิงอี้สบตากับเจ้าลัทธิ เขาเข้าใจความหมายของเฉินอี้ จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม สื่อว่าไม่ต้องกังวล

จากนั้นเดินหนึ่งก้าว เขาไม่ได้แกะผ้าดำที่พันพินิจเหมันต์ไว้ หนิงอี้ปลดพินิจเหมันต์สามฉื่อที่ห้อยไว้ตรงเอวออก กำไว้ในมือ

“เป็นการท้าสู้ และไม่ใช่” หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “ข้าจะไม่ใช้แสงดาราแม้แต่น้อย แค่กระบี่เดียว คุณชายครามจะรับอย่างไร ไม่เกี่ยวกับข้า”

หนิงอี้มองไปรอบๆ ในกลุ่มคนมีคนดีเลวปะปนกัน มีคนไร้ชื่อเสียงที่เคยโวยวายหน้าจวนตนทุกวัน และมีผู้มีชื่อเสียงที่อยากลอง แต่เขาไม่สนใจสักคน

ถูกตามถูกไล่ตลอดเวลา น่ารำคาญจริงๆ

เขาต้องการกระบี่เดียว ทำให้คนพวกนี้ในเมืองหลวงเห็นศักยภาพของตน จากนั้นชั่งน้ำหนักของพวกเขาเอง จะได้เลิกโวยวายข้างหูสักที

ถนนนิมิตชาดครั้งนี้เป็นโอกาสดี

คุณชายครามเป็นบุคคลที่ค่อนข้างถือดี ตนไม่ใช้แสงดารา เช่นนั้นเขาก็จะไม่ใช้แสงดารา หนิงอี้รู้ว่าตนเอ่ยคำท้าสู้นี้ คุณชายครามจะไม่ปฏิเสธ และปฏิเสธไม่ได้

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ

เหลียนชิงที่สวมอาภรณ์ครามตัวโคร่งหน้าไม่เปลี่ยนสี เหมือนกำลังตรึกตรองว่าจะรับคำร้องของหนิงอี้ดีหรือไม่

เขาสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายพลังของเงานั้นข้างหลังตนเปลี่ยนไป

พญายมน้อยที่ตามตนมานาน ตอนนี้น่าจะซ่อนตัวอยู่สักแห่งในถนนนิมิตชาด

ทำให้คุณชายครามสบายใจเล็กน้อย มือสังหารจวนปฐพีที่เหมือนตัวอ่อนแมลงวันเกาะกระดูกข้อเท้านั่น ตอนนี้เบนกลิ่นอายสังหาร ลางสังหรณ์ตนไม่พลาด พญายมน้อยไม่ได้จับจ้องตนอีก แต่เบนกลิ่นอายสังหารไปที่คนอื่นทั้งหมด

เหลียนชิงโล่งอกในใจเล็กน้อย เขาหรี่ตาลงพิจารณามองหนิงอี้ เหมือนเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้

ต้นไม้ใหญ่เรียกลม

คนที่พญายมน้อยจับตามอง น่าจะเป็นอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานตรงหน้า

‘ข้าทำอะไรระมัดระวังอย่างยิ่ง พญายมน้อยหาโอกาสไม่ได้ ตอนนี้เป็นโอกาสดี…ไม่ต้องให้ข้าลงมือก็มีคนมาสร้างปัญหาให้หนิงอี้เอง’ คุณชายครามพูดในใจ ‘รับคำท้านี้ รับกระบี่นี้ ถือว่าตัดปัญหาไปได้เรื่องหนึ่ง’

เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ไม่ลังเลอีก

คุณชายครามมองหนิงอี้ สองมือไพล่หลัง พูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ใช้แสงดารา ข้าก็ไม่ใช้แสงดาราเช่นกัน ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ขยับไม่ถอย รับกระบี่นี้ของเจ้า”

ต่อให้พลังบำเพ็ญหนิงอี้สูงกว่านี้ กระบี่นี้ก็ใช้แสงดาราไม่ได้ แล้วจะทำอะไรตนได้

คุณชายครามนิ่งสูงสง่า ใบหน้าเรียบเฉย

ต่อให้ลั่วฉางเซิงมา ไม่ใช้แสงดารา ระยะห่างสามฉื่อออกหนึ่งกระบี่ จะทำอะไรตนได้

…..

ถนนนิมิตชาด กระแสผู้คนเริ่มเบียดเสียดไปสองข้าง ถอยกันออกไป

ท่านเจ้าลัทธิที่มีนักพรตชุดคลุมหยาบปกป้อง ผู้คนที่กระจายจะเข้ามามุงดู ถนนเส้นนี้กว้างพอ เพราะคลื่นลมครั้งนี้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ร้านค้าสองข้างทางต่างปิดร้านกันเพื่อกันความเสียหาย

สองผู้นำสำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขา ถึงตอนนี้ ในที่สุดก็มาถึงถนนนิมิตชาด ‘อย่างเชื่องช้า’ แต่ก็มาทันเหตุการณ์สุดท้ายพอดี

กู้ชางกับจงหลี สองคนต่างเหยียบกระบี่บินมาจากทิศทางตรงข้ามกัน ลอยอยู่บนฟ้าถนนนิมิตชาด มองข้างล่างเงียบๆ

พวกเขาอยากดูว่าเรื่องราวครั้งนี้…จะจบลงด้วยรูปแบบใด

กลางค่ำคืน นอกจากหนิงอี้กับคุณชายครามแล้ว ไม่มีใครพบพญายมน้อยที่ซ่อนบนชายคา ต่อให้เป็นคุณชายสมุทรกับคุณชายพลัดพรากมาแล้ว เงานั้นยังคงไม่มีทีท่าจะกลับ ไม่กลัวว่าจะเผยฐานะตนแม้แต่น้อย แต่ซ่อนอยู่ในมุมของชายคาอย่างสบายใจ รอการแสดงบนถนนนิมิตชาด

วิชาพรางตัวของจวนปฐพี เป็นวิชาลอบสังหารสุดยอดที่สุดในโลก

พลังบำเพ็ญของพญายมน้อยอาจจะไม่เท่าสี่คุณชายสำนักศึกษา แต่ขอแค่เขาไม่เผยตัวตน เช่นนั้นก็มีน้อยคนมากที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าได้

บนถนนนิมิตชาดขยายออกเป็นพื้นที่กว้างมาก

หน้าหลังสองด้านถูกกวาดโล่ง สายลมเบาพัดมา โคมไฟที่ห้อยใต้ชายคาบ้านบนถนนแกว่งไกว

เจ้าลัทธิขมวดคิ้วพลางถาม “พอหรือไม่”

นักพรตชุดคลุมหยาบหญิงพูดเสียงเบา “ทำพื้นกว้างที่ได้สามสิบจั้งแล้วเจ้าค่ะ สู้กันต่ำกว่าสิบขอบเขตแรก ต่อให้ปราณกระบี่ทรงพลังกว่านี้ก็ยากจะไปถึงระยะนี้ได้ ถนนนิติชาดมีพื้นที่กว้าง สองคนล้วนไม่ใช้แสงดารา มีเพียงกระบี่เดียว ต้องพอแน่เจ้าค่ะ”

โคมไฟสีแดงแกว่งไกว พื้นหินดำปกคลุมด้วยสีขาวหิมะ

เศษหิมะที่ถูกลมพัดขึ้น และยังมีเศษน้ำแข็งทนทาน

หนิงอี้ถอดชุดคลุมดำออก โบกสะบัดเบาๆ กลางสายลม มือข้างหนึ่งคว้าพินิจเหมันต์ช้าๆ ผ้าดำถูกรัดจนปรากฏเป็นเค้าโครงกระบี่

หลังจากใบร่มของกระบี่ร่มขาดรุ่ย ตอนอยู่เขาน้ำค้างเล็กหนิงอี้ได้ตรวจสอบโครงร่มที่เหลือกับอะไหล่สำรองหมดแล้ว แต่ก็ยังหาวัสดุที่เทียบเท่ากับตอนนั้นที่สวีจั้งสร้างกระบี่ร่มไม่ได้ ได้แต่ตัดเอาตัวกระบี่ของพินิจเหมันต์ออกมาจากตัวร่ม แล้วใช้เพียงตัวกระบี่

ฝักกระบี่ของพินิจเหมันต์ฝังลงไปพร้อมกับบุรุษคนนั้นแล้ว

ปกติหนิงอี้จะใช้ผ้าดำพันพินิจเหมันต์ไว้ วิญญาณของที่ราบกระดูกผสมเข้าไป แม้พินิจเหมันต์จะคมมาก แต่กลับไม่ทำร้ายตนเอง

เขาชูพินิจเหมันต์ขึ้น ห่างจากคุณชายครามหกฉื่อ

สามฉื่อกับสามฉื่อ

นี่เป็นตำแหน่งที่ใกล้มาก ขอแค่เดินหนึ่งก้าวก็จะแทงกระบี่ที่หน้าอกคุณชายครามได้

แต่หนิงอี้ไม่เดินขึ้นหน้าอีกก้าวแล้ว

ระยะหกฉื่อ…มากพอให้เขาปล่อยปราณกระบี่ของกระบี่นี้

คุณชายครามเอามือไพล่หลัง ช่วงที่หนิงอี้ชูพินิจเหมันต์ขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งของเขาก็เริ่มมืดลง

กระบี่ยาวที่ถูกมัดด้วยผ้าดำนั้นยังไม่ปลดผนึกก็สร้างแรงกดดันให้ตนมากพอแล้ว

หนิงอี้ชูพินิจเหมันต์ สูดลมหายใจเข้าลึก

เขากดมือข้างหนึ่งตรงระหว่างคิ้ว น้ำวนตรงจุดตันเถียนเริ่มหมุนโคจรช้าๆ หยดความเป็นเทพที่มีไม่มากไหลเชื่องช้าในตันเถียน รวมเข้าด้วยกัน ตอนนี้ถูกหนิงอี้ดึงออกมาอย่างยากลำบาก

น้ำวนความเป็นเทพเริ่มหมุนวน เจตนารมณ์ของเจ้าของฝืนกดลง

แกนกระบี่นั้นที่ซ่อนในพินิจเหมันต์เริ่มสั่นไหวอย่างไม่สงบสุข

แม้แต่กระบี่ยาวที่พันด้วยผ้าดำนั้นยังเริ่มสั่นไหว

หนึ่งหยดความเป็นเทพถูกดึงไป…

สองหยดความเป็นเทพ…

สามหยด…

หยดความเป็นเทพถูกดึงไปทั้งหมดห้าหยด หนิงอี้หน้าซีดขาวเล็กน้อย นี่คือหยดความเป็นเทพทั้งหมดที่เขาใช้ได้แล้ว เขาหลับตาลง สั่งสมพลังไม่หยุด

ในความคิดหนิงอี้เป็นภาพซ้ำไปซ้ำมา

กระบี่นั้นที่ผ่าขุนเขาตัดลำธารในร่องหุบเขาหลังภูเขา!

ที่ราบกระดูกชิงความเป็นเทพ ส่งเข้าแกนกระบี่ กลายเป็นปราณกระบี่!

ตอนนี้ตนมีหยดความเป็นเทพเพียงห้าหยด

เผชิญหน้ากับคุณชายคราม…กระบี่นี้จะสร้างผลลัพธ์แบบใด

ถนนนิมิตชาดเงียบกริบ ทุกคนมองการชูกระบี่อย่างไร้มูลเหตุของหนิงอี้ จากนั้นเงียบไปนาน ระยะห่างสามสิบจั้ง ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายสังหารที่แผ่ออกมารวมถึงแสงดาราไหลเวียนแม้แต่นิด

แต่คุณชายครามกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ

เขารู้สึกถึงความกระสับกระส่ายในใจลับๆ ยิ่งอีกฝ่ายสั่งสมพลังนานเท่าไร ตนก็ยิ่งไม่สงบ

วินาทีต่อมา…

หนิงอี้พลันลืมตาขึ้น

เขาพูดเสียงต่ำ “รับกระบี่!”

คุณชายครามหรี่ตาลง…มาแล้ว!

ผ้าดำระเบิด เผยตัวกระบี่สีขาวหิมะส่วนหนึ่งของพินิจเหมันต์ออกมา

หนิงอี้กับคุณชายครามสองคนอยู่ตรงกลาง พลังไร้รูประเบิดกระจายออกระหว่างสองคน

พื้นหินดำบนพื้นถนนนิมิตชาดเกิดเสียงดังสนั่น แต่ละแผ่นเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงยิ่ง เหมือนมังกรยาวตัวหนึ่ง กระดูกมังกรลอยขึ้น บ้านเรือนและร้านค้าสองข้างทางที่ห่างจากถนนช่วงหนึ่ง กำแพงแดงอิฐและกระเบื้องถูกปราณกระบี่กระแทกใส่ พากันถล่มลง

กลางฝุ่นควัน

ร่างเงาหนึ่งถอยไปหลายก้าวตามปราณกระบี่ใต้เท้าเปิดกระดูกมังกร ตัวถอยไปเหมือนว่าวเชือกขาด แทบจะราบไปกับพื้น เหลือเพียงขาสองข้างที่กดพื้นอยู่ ถอยไปสามสิบจั้งจนสุดถนนนิมิตชาดถึงได้หยุดลง เหยียบพื้นดิน ใต้เท้าแตกเป็นใยแมงมุม

เดิมทีคุณชายครามเอาสองมือไพล่หลัง แต่ตอนที่ถอยมาจนสุดถนนนิมิตชาดได้ยกขึ้นมาบังหน้าแล้ว อาภรณ์ครามสองด้านฉีกขาด ต้านการรุกรานของปราณกระบี่รวดเร็วและดุดัน แม้จะไม่ใช้แสงดารา แต่เขาก็ยังถือว่าได้ลงมือ

คุณชายครามหน้าเดี๋ยวดำคล้ำเดี๋ยวซีดขาว หลังยืนนิ่ง สองมือไม่บังหน้าอีก แต่วาดวงโคจรตัดสลับกันอย่างรวดเร็ว

สะบัดแขนเสื้อ

เมื่อทำท่าสองมือสะบัดแขนเสื้อ ปราณกระบี่ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บนถนนนิมิตชาดถูกเขาเก็บในแขนเสื้อ ก่อนสะบัดแขนเสื้อเหมือนเด็กหญิงขี้งอน ดังนั้นหอเล็กๆ ที่อยู่ตรงปลายสุดของสองข้างจึงถล่มลงมา เกิดเสียงดังสนั่นสองครั้ง ฝุ่นดินคละคลุ้ง ทยอยพังทลายลง

ทุกคนมองไปที่อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานชุดคลุมดำคนนั้น

กระบี่ยาวสามฉื่อขาวสะอาดเหมือนหิมะนั้นสั่นทำลายผ้าดำหุ้มตัวกระบี่ เผยโฉมหน้าแท้จริงของพินิจเหมันต์ต่อชาวโลก

หนิงอี้มีใบหน้าเรียบนิ่ง

คุณชายใหญ่จากสำนักศึกษาทั้งสองคนแววตาเปลี่ยนไป

พญายมน้อยที่ซ่อนบนชายคาหรี่ตาลง

ทั้งถนนเงียบสงัด

“ทำลายล้างทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดต้านได้” นักพรตชุดคลุมหยาบหญิงพูดปลงเสียงเบา “นี่…คือพินิจเหมันต์หรือเจ้าคะ”

“ไม่” เฉินอี้พูดเสียงเบายิ่งกว่า ก่อนพูดอย่างจริงจัง “นี่คือหนิงอี้”

………………………….