ตอนที่ 32 หลังจากหนึ่งกระบี่ (rewrite)
กระบี่ยาวสองเล่มที่ลอยอยู่บนฟ้าถนนนิมิตชาด
กู้ชางที่เหยียบบนกระบี่เล็กสีขาวผ่องมีสีหน้าจริงจัง จ้องหนิงอี้ข้างล่าง ยิ่งมองยิ่งตกใจ
เขาพูดพึมพำ “หนึ่งกระบี่ผ่าถนนนิมิตชาดสามสิบจั้ง ไม่เคยใช้แสงดาราใดๆ นี่มันกำลังรบใดกัน”
“อย่างน้อยขอบเขตที่เก้า เป็นยอดฝีมือ” คุณชายพลัดพรากจงหลีที่เหยียบกระบี่สีดำสนิทมีใบหน้าซับซ้อน พูดขึ้น “เขาตั้งใจซ่อนแสงดาราของตน มีคนบอกว่าเขาอยู่เพียงขอบเขตกลาง ดูท่าคงจะพูดไร้สาระ ออกกระบี่นี้ ต้องใช้การสั่งสมพลังอย่างมาก ไม่มีแสงดาราของขอบเขตหลัง ไม่อาจใช้ปราณกระบี่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้”
จงหลีชะงักไปก่อนจะยิ้มเยาะ “ต่อให้เขาอยู่ขอบเขตแรกและออกกระบี่นี้ได้ ก็สังหารผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังได้ อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานสมคำล่ำลือจริงๆ มีกลอุบายอยู่บ้าง ดูท่าคงจะคู่ควรกับพินิจเหมันต์จริงๆ คนที่ไปยั่วยุที่จวนเจ้าลัทธิทุกวันพวกนั้นเป็นพวกโง่ ไม่คิดหน่อยว่าสวีจั้งเป็นใคร ผู้สืบทอดที่เขาถูกใจจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร”
“ตอนนี้ดูแล้วจากนี้น่าจะไม่มีใครสร้างปัญหาให้เขาอีก” กู้ชางกวาดสายตามองกลุ่มคนข้างหลัง ทุกคนมีสีหน้าตะลึงงันไม่เหนือจากที่คาดหมาย ก่อนเขาจะพูดอย่างเฉยชา “การวิวาทครั้งนี้สุดยอดมาก ไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะ คุณชายครามรับกระบี่นี้ได้ ไม่ใช้แสงดารา ผู้บำเพ็ญจวนขานฟ้าน่าจะเริ่มให้ความสำคัญกับกายและจิตแล้วกระมัง”
“คุณชายครามดูถูกไม่ได้เลย” จงหลีเอ่ยนิ่งๆ “การวิวาทถนนนิมิตชาดครั้งนี้ เขาแกร่งกว่าข้า หากเป็นข้า ถ้าจะรับกระบี่นี้ ข้าจะน่าเวทนากว่าเขาอีก”
“เขาลั่วเจียปิดภูเขา หากเยี่ยหงฝูไม่ออกมา มังกรจู๋หลงน้อยแห่งแดนอุดรนั่นก็จะว่าง” กู้ชางถอนหายใจเบา “ไม่มีใครยินดีออกหน้ายิงนกที่โผล่หัว ถ้าถูกคนคลั่งยุทธ์อย่างมังกรจู๋หลงน้อยนั่นไปหาถึงบ้าน แพ้ชนะก็ไม่ใช่เรื่องดี”
“แพ้ชนะล้วนไม่ใช่เรื่องดี…พูดเหมือนว่าเจ้าชนะมังกรจู๋หลงน้อยได้อย่างนั้นแหละ” จงหลีได้ยินนามนี้แล้วก็อดยิ้มเยาะไม่ได้ พูดด้วยใบหน้าเย้าหยอก “มังกรจู๋หลงน้อยไปหาถึงสำนักศึกษาตะวันสูง เจ้ากู้ชางต่อให้ใช้อาวุธล้ำค่าของสำนักศึกษาทั้งหมด จะเปลี่ยนบทสรุปอะไรได้”
กู้ชางมีสีหน้าคับแค้นใจ เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าพูดได้คล่องเชียว ตอนนั้นใครกันที่สาบานว่าจะเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ ปรากฏว่าตอนออกจากสำนักไปฝึกฝน กลับถูกเฉาหลันสั่งสอนเสียน่วมที่ทะเลพลิกผัน”
จงหลีไม่ยิ้มอีก ใบหน้ากลับมาเป็นปกติทีละนิด
เขาถอนหายใจเบา พูดอยู่ในใจ ‘เสียเปรียบสิเราได้โชค’ จากนั้นพูดอย่างจริงจังทีละคำ “ลั่วฉางเซิง เยี่ยหงฝู มังกรจู๋หลงน้อยเฉาหลัน พวกเขาสามคน…ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้พวกเขาก่อนงานราชวงศ์ใหญ่”
คำพูดนี้เป็นความจริง
กู้ชางไม่ปฏิเสธ
เขามองอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนั้นที่ถือพินิจเหมันต์บนถนนนิมิตชาด พลันจิตใจสั่นไหว
“เขาชื่อหนิงอี้ใช่หรือไม่”
“เขาไม่ไหวแน่” จงหลีชำเลืองตามอง คลึงระหว่างคิ้วก่อนจะพูด “เขามีศักยภาพไม่เลว แต่ไม่มีแรงกดดันข้าเหมือนที่เยี่ยหงฝูกับเฉาหลัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลั่วฉางเซิง…ข้ามักจะรู้สึกว่าเขาให้ความรู้สึกกับข้าต่างไปจากลั่วฉางเซิงที่ซ่อนศักยภาพตอนนั้น ลั่วฉางเซิงนั่นไม่ต้องทำสีหน้าใดๆ ก็มองออกว่าเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ มีท่วงท่าของเซียนลงมาจุติ คนนี้ทำให้ข้ารู้สึกว่ายังขาดไปอีกมาก”
กู้ชางพยักหน้า “จริง…คนชื่อหนิงอี้คนนี้ เป็นคนที่ยากจะคาดเดา กระทั่งข้าสงสัยว่าคนพวกนั้นที่ประกาศว่าเขามีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตกลางเป็นเรื่องจริง”
จงหลีครุ่นคิด
คุณชายพลัดพรากแห่งสำนักศึกษาขุนเขานึกไปถึงทุกรายละเอียดบนถนนนิมิตชาด พบว่าตนมองไม่พบเงื่อนงำใดๆ
ยิ่งเป็นยอดฝีมือ ยามตัดสินยิ่งเคลื่อนไหวไร้ประโยชน์น้อย หนิงอี้ประชันกับคุณชายคราม หลังจากยืนอย่างมั่นคง สิ่งที่ทำมีเพียงยกกระบี่และออกกระบี่ ไม่อาจจับผิด ไม่มีขาดตกบกพร่อง
จงหลีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาฟันกระบี่นี้ออกมาได้ มีกลอุบายอยู่บ้าง การวิวาทครั้งนี้ไม่แพ้ไม่ชนะ แต่นี่ยังไม่พอ ต่อให้รวมชื่อเสียงจอมปลอมที่ฟังดูเหมือนข่มขู่พวกนั้น ก็ยังไม่พอเหมือนกัน ตำแหน่งอันดับหนึ่งรายนามดาราไม่เท่าไร หากลั่วฉางเซิงไม่อยู่ในรายนามดารา เช่นนั้นเยี่ยหงฝูกับเฉาหลันใครจะสนใจรายนามนี่”
เขาชะงักไปก่อนจะพูดต่อ “หากเยี่ยหงฝูกับเฉาหลันก็ไม่สนใจรายนามนี่ เช่นนั้นเราจะสนใจรายนามนี่รึ”
กู้ชางเข้าใจความหมายของจงหลี
เขาพูดเสียงเบา “หนิงอี้เป็นคนที่น่าสนใจ ยังอีกนานกว่าจะถึงงานราชวงศ์ใหญ่…การวิวาทครั้งนี้จบลง พญายมน้อยอาจจะจับจ้องเขา ช่วงนี้เมืองหลวงคงไม่สงบสุข เล่าลือว่าพญายมน้อยลงมือไม่เคยพลาด ไม่รู้ว่าจะจัดการกับหนิงอี้ได้หรือไม่”
“อย่างอื่นข้าไม่รู้ แต่มีอย่างหนึ่งข้ารู้ดี”
จงหลีเอ่ยราบเรียบ “หนิงอี้กับคุณชายคราม สองคนนี้…ไม่ว่าพญายมน้อยจะเลือกใคร ก็จะพลาด กระทั่งตัวเขาอาจจะแย่เสียเอง”
“นี่เป็นลางสังหรณ์” จงหลีพูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะแปลกๆ
เขาขมวดคิ้ว มองไปทางชายคาบ้าน
เงามืดกลุ่มนั้นที่ซ่อนบนชายคาและฟังสองคนพูดลับๆ มาตลอด ได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นเฉยชาและไม่แยแส เขาดูกระบี่นี้บนถนนนิมิตชาดจบแล้ว ยืนยันเหยื่อในการล่าครั้งต่อไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ควรจะกลับไปนานแล้ว
เพียงแต่คุณชายใหญ่สองสำนักศึกษาพูดคุยกันเช่นนี้น้อยครั้งมาก ฟังถึงช่วงสุดท้ายก็ทำให้เขาอดหัวเราะเยาะไม่ได้
เขาไม่ได้ปิดบังเสียงหัวเราะเย็นเยือกที่เบายิ่งนี้
ตอนที่จงหลีกับกู้ชางได้ยินเสียงและมองไปบนชายคานั้น พญายมน้อยซ่อนเข้าไปในเงามืดแล้ว
“พญายมน้อยแห่งจวนปฐพี…ฟังดูเป็นชื่อที่น่ากลัวมาก”
กู้ชางพูดอย่างรังเกียจ “พูดได้ดี เดิมพันน้อยจะเอามาก เดิมพันอ่อนจะเอาแข็ง พูดตรงๆ เลยแล้วกัน นี่ก็แค่หนูบนถนน ทุกคนตะโกนสู้กัน กลับได้แค่เดินในเงามืด ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปวันๆ”
มือสังหารของจวนปฐพีเป็นที่โกรธแค้นของคนมากที่สุด ผู้บำเพ็ญอัจฉริยะแทบทุกคนต่างกลัวมือสังหารที่ไม่เคยเผยใบหน้าจริงพวกนี้
ศัตรูอยู่ในเงามืด ข้าอยู่ในแสงสว่าง
จะใช้วิธีการลอบโจมตีและลอบสังหารตลอด นี่เป็นจุดที่ทำให้มือสังหารจวนปฐพีเป็นที่น่ารังเกียจ
……
ถนนนิมิตชาดที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน
คุณชายครามสะบัดแขนเสื้อ เขามีสีหน้าไม่ดีนัก ก่อนหน้านี้เคยพูดไว้ว่าตนจะไม่ถอยและไม่ลงมือ จะรับกระบี่นี้เช่นนี้ จนตอนที่กระบี่นั้นมาถึงจริงๆ ก็พบว่าคำพูดของตนนั้นเป็นการตบหน้าเขาอย่างจัง
หนิงอี้ที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งรายนามดาราได้ ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
เขาพ่นลมหายใจ อากาศในปอดถูกควบแน่น สู้กับศัตรู โดยเฉพาะนักกระบี่ นักกระบี่ที่ไร้เหตุผลอย่างหนิงอี้เช่นนี้ แค่ประชันกระบี่เดียว ก็จะมีเพียงหนึ่งลมหายใจแค่นั้น
หากตนท้อใจ กระบี่นี้ไม่พึ่งแสงดาราได้ ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
กระบี่นี้มีอานุภาพไม่ธรรมดา และที่น่ากลัวที่สุดคือหนิงอี้ไม่ใช้แสงดารา
แสงดาราเกาะที่ปราณกระบี่จะมาพร้อมกับกลิ่นอายแตกต่างที่มาจากเจ้าของฝึกบำเพ็ญ บางอย่างระเบิดได้ บางอย่างเย็นยะเยือกหรือร้อนแผดเผา หากเจตจำนงกระบี่พวกนี้แนบกับปราณกระบี่ ก็จะสร้างปัญหาให้คุณชายครามยิ่งกว่าเดิม
หนึ่งกระบี่เป็นเช่นนี้ ทุกกระบี่เป็นเช่นนี้ จะไม่น่าตกใจได้อย่างไร
เด็กหนุ่มเก็บกระบี่ยืนอยู่นอกฝุ่นควัน หนิงอี้ยื่นมือข้างหนึ่งเบาๆ ปัดฝุ่นที่ตกลงบนบ่า ก่อนเอ่ยเรียบนิ่งถึงที่สุด “จบกันเท่านี้”
บุญคุณความแค้นกับจวนขานฟ้าครั้งนี้ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว
คุณชายครามสะบัดแขนเสื้อ ตอนนี้สูดลมหายใจเข้าลึก “ดี จบกันเท่านี้”
นี่เป็นบทสรุปที่สองฝ่ายอยากเห็น
จนถึงตอนนี้ หนิงอี้ไม่ได้มองคุณชายครามตรงหัวถนนนิมิตชาดอีก แต่หมุนตัวจากไปเลย
กระบี่นี้มอบให้คุณชายคราม
ให้เมืองหลวงดู
ให้ทั้งใต้ฟ้าดู
ให้พวกเขาเข้าใจว่าศิษย์น้องของสวีจั้ง ผู้สืบทอดของเจ้าหรุย คนที่รับตำแหน่งอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซาน เป็นใครกันแน่
นักพรตชุดคลุมหยาบของท่านเจ้าลัทธิดำเนินการคุ้มกันบนถนนนิมิตชาด เปิดเป็นทางสายหนึ่งให้หนิงอี้กับเฉินอี้
รถม้าไม้ขาวรออยู่ไม่ไกล หนิงอี้กับเฉินอี้ขึ้นรถม้าพร้อมกัน เสียงเอะอะโวยวายข้างนอกดังขึ้นทีละนิด ม้าขาวเหยียบแผ่นหินดำ ย่ำเศษหิมะไปอย่างน่าอึดอัด
เฉินอี้ยิ้ม เขาพูดอย่างนุ่มนวล “หนิงอี้ เจ้าสุดยอดกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”
หนิงอี้เม้มปากยิ้มเล็กน้อย
ระหว่างทางไม่ได้พูดอะไรมาก เรื่องคำเชิญจากจวนขานฟ้าย่อมยกเลิกไปแล้ว เจ้าลัทธิส่งหนิงอี้กลับจวน รถม้าไม้ขาวนั้นเปิดออกช้าๆ
หนิงอี้ยืนอยู่หน้าประตูจวน นักพรตชุดคลุมหยาบสองข้างยังไม่รู้ว่าเจ้านายจวนคนนี้ไปก่อเรื่องสั่นสะเทือนเมืองหลวงเพียงใดไว้ข้างนอก
เด็กหนุ่มหน้าซีดขาวเล็กน้อย เม้มริมฝีปากแน่น ยืนหน้าประตู เคาะประตูจวนเบาๆ
เด็กสาวเผยฝานที่อยู่ในสภาวะใจลอยจากการอ่านหนังสือได้สติวิ่งเหยาะๆ มาเปิดประตู
หนิงอี้ยืนหยัดก้าวข้ามธรณีประตูภายใต้สายตาสับสนของเด็กสาว เดินไปได้สองก้าวจนประตูจวนปิดลง ในที่สุดเขาก็พ่นลมหายใจยาว
ภายในลานบ้านมีม้านั่งหินเล็ก หนิงอี้นั่งลง สีหน้าเขาซีดขาวไปสามส่วนแล้ว ไม่ได้หมุนตัวกลับไปมองเด็กสาว แต่ปรับลมหายใจตัวเองไม่หยุด เม็ดเหงื่อทั้งตัวชุ่มชุดคลุม ลมหายใจหนักหน่วงขึ้น
เหตุผลทุกอย่างเป็นเพราะหยดน้ำความเป็นเทพที่ตนฝืนเคลื่อนไปในน้ำวนและออกกระบี่นั้น
หนิงอี้รู้สึกหนักศีรษะ
เด็กสาวถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าออกไปวิวาทมารึ”
หนิงอี้ฝืนยิ้มและขานรับ พูดเสียงเบา “ไม่ต้องห่วง…ไม่แพ้ ไม่เสียเปรียบ”
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ตอนที่นางเห็นหนิงอี้หันกลับมากลับตื่นตระหนกในทันที
ระหว่างคิ้วหนิงอี้เหมือนถูกฉีกขาด หยดเลือดสีแดงเหนียวข้น ซึมผ่านผิวหนัง ค่อยๆ เกาะตัว นี่ต่างจากกระบี่ซ่อนของนาง สีแดงฉานนั้นตรงระหว่างคิ้วหนิงอี้คือเลือดจริงๆ หลังจากซึมผ่านผิวหนังก็เลี้ยวลดคดเคี้ยวไหลบนแก้ม
หนิงอี้รู้สึกร้อนรุ่มเล็กน้อย
เขาสำนึกเสียใจนิดๆ ที่ใช้หยดน้ำความเป็นเทพห้าหยด…
หากน้อยกว่านั้นหน่อยก็น่าจะไม่เกิดผลหนักเช่นนี้
หลังจากออกกระบี่นั้นไป หนิงอี้รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย หนักไปทั้งตัวอีก และหนักอึ้งเหมือนเหล็ก สติพร่าเลือน ผลข้างเคียงรุนแรงอย่างยิ่ง
เขาจะเผยต่อหน้าคนอื่นไม่ได้
รวมถึงเฉินอี้
ดังนั้นหนิงอี้จึงแทบจะไม่พูดอะไรเลย
เขาแสยะปากยิ้ม “เจ้าเด็กนี่…ไม่ต้องกังวล”
ยังไม่ทันพูด
เงาเด็กสาวก็กลายเป็นสามคน สามกลายเป็นสี่ สับสนไม่แน่ใจ
เด็กหนุ่มที่นั่งบนม้านั่งหินหงายหลังไป ล้มตึงลง
…………………….