เดือนหนึ่งทั้งเดือนมานี้ ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าขลุกอยู่ในบ้านอย่างมีความสุข ไม่ได้ออกไปไหนทั้งนั้น

นอกจากเด็กๆ ที่มาอวยพรปีใหม่กันแล้วยังตามเถียนต้าเป่าวิ่งเล่นส่งเสียงดังสนุกสนานไปทั่วแล้วก็ยังมีป้าเหลาพาสี่ชุ่ยมา ป้าเถียนพาต้านิวมา บรรดาป้าที่ปกติไปมาหาสู่กันก็มาทักทายถึงที่ ส่วนใหญ่จะไปอยู่กันที่ลานบ้านแสนสงบและสบาย

เอ่ยถึงเถียนนิว ซูสุ่ยเลี่ยนเพิ่งจะได้ยินจากปากนางเถียนว่างานแต่งนางไม่ได้ยกเลิก

วันนั้นเถียนต้าฟู่ไปเมืองชิงเทียน แม้ไม่ได้ข่าวอะไรมา แต่คนเขาแบกหมูตัวใหญ่มาในเช้าวันที่สองเดือนหนึ่งเพื่ออวยพรปีใหม่บ้านเถียน

บ้านเถียนรั้งให้เขากินอาหารกลางวันด้วยกัน ตอนกินกันก็คุยเรื่องแม่หม้ายเมืองชิงเทียน ไหลโหย่วหมิงสีหน้าปกติ ไม่เห็นสักนิดว่ารู้สึกร้อนตัวอะไร ยังคงกล่าวเปิดเผยว่า แม่หม้ายนั่นเป็นญาติกับภรรยาน้อยบิดาเขา แม้ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับครอบครัวเขา แต่อย่างไรจากเมืองจิ่นตูแต่งมายังเมืองชิงเทียน ปีก่อนสามีมาตายจากไป เหลือแค่เด็กสามขวบครึ่งกับแม่สามีอายุหกสิบกว่า ก็ย่อมควรให้การดูแลมากสักหน่อย

เถียนนิวได้ยินก็เชื่อไปแปดส่วน ตัดสินใจเชื่อเขาสักครั้ง ไม่ถอนหมั้น หากแต่งไปรู้ว่าเขาหลอกนาง มีอะไรกับแม่หม้ายนั่น ก็ถือว่านางวาสนาน้อย นางก็คงต้องยอมรับชะตา

จากนั้นนางเถียนยังรับของขวัญปีใหม่จากไหลโหย่วหมิงได้อย่างสบายใจ ยังเอาผลไม้แห้งและขนมแป้งไม่น้อยให้เขานำกลับไป

อีกสิบวัน ก็จะวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง เทศกาลบัวลอยอีกแล้ว เมืองชิงเทียนเชิญคณะงิ้วมาอีกแล้ว ชาวบ้านรอบๆ ที่รู้ข่าวก็จะเอาเก้าอี้ไม้ และพกห่อถั่วลิสงเม็ดแตงไปนั่งแทะดูงิ้วเฮฮากันที่เมืองชิงเทียน ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าก็ถูกเถียนต้าเป่า เถียนนิว และสี่ชุ่ยลากไปด้วย

ทั้งขบวนเดินไปคุยเล่นกันไป ระหว่างทางยังอาศัยรถเทียมวัวของผู้ใหญ่บ้านนั่งไปด้วย จึงมาทันฉากสุดท้ายพอดี

หลังจบฉากสุดท้าย ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่ากำลังมองหาเถียนนิวที่หายตัวไปตั้งแต่มาถึงลานงิ้ว ก็เห็นเถียนนิวขอบตาแดงเดินกลับมา

“หลิวเสี่ยวฟางชั่วร้ายจริง!” นางพ่นไฟด่าออกมา

ที่แท้หลิวเสี่ยวฟางแอบหลงรักไหลโหย่วหมิงมานานแล้ว ร้อนใจที่กำลังจะเลยวัยออกเรือนแล้ว กำลังจะบอกให้ครอบครัวนางไปให้แม่สื่อทาบทามจับคู่ให้ ก็ได้ยินว่าได้คุยกับบ้านเถียนไปแล้ว หลิวเสี่ยวฟางพอรู้ก็เกิดความไม่พอใจ รู้สึกว่าเถียนนิวแย่งสามีนาง จึงได้คิดหาทางแยกพวกเขาออก กว่าจะหาทางแต่งเรื่องที่พอมีเหตุผลขึ้นมาได้ หวังว่าเถียนนิวจะถอนหมั้น นางจะได้สวมรอยแทน ไม่คาดคิดว่าเถียนนิวถึงกับยังคงจะแต่งกับไหลโหย่วหมิง หลิวเสี่ยวฟางจึงโมโหระเบิดความในใจออกมาด้วยความอัดอั้น และถูกไหลโหย่วหมิงที่แอบมาดูเถียนนิวได้ยินเข้าพอดี ยามนี้ไม่เพียงแต่ไม่อาจได้แต่งกับไหลโหย่วหมิง แม้แต่ความเป็นเพื่อนกับเถียนนิวมาแต่เด็กก็หมดไปด้วยเช่นกัน

ในเมื่อเรื่องกระจ่างแล้ว เถียนนิวเองก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไหลโหย่วหมิงอย่างไม่ปิดบัง หน้าแดงกล่าวกับเขาว่า “ขอโทษ”

ไหลโหย่วหมิงไม่ได้โมโหเถียนนิว หนึ่ง เขาไม่ได้ชอบหลิวเสี่ยวฟาง พบกันสองสามครั้งมักรู้สึกว่านางเป็นคนช่างวางแผน สอง เขากับแม่หม้ายหวางผู้นั้นไม่ได้มีอะไรกัน ก็แค่เข้าใจผิด พูดกระจ่างแล้วก็จบ แต่เรื่องนี้ทำให้เขาได้รู้นิสัยของเถียนนิวว่า เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา รู้เหตุรู้ผล ดังนั้นจึงยิ่งชอบเถียนนิวขึ้นอีกหลายส่วน

เถียนนิวนับได้ว่า ‘ทุกข์ก่อนรับโชคใหญ่’ ได้รู้นิสัยแท้จริงของเพื่อนวัยเด็ก และสามีในอนาคตให้ความสำคัญกับนางมากขึ้น

ซูสุ่ยเลี่ยนรู้ที่มาที่ไปเรื่องนี้ก็สูดปากไม่อยากเชื่อ

ทำไมมักมีสตรีเช่นนี้ อย่างเช่นลู่หว่านเอ๋อร์นั่น ยังมามีหลิวเสี่ยวฟางนี่ หรือไม่รู้ว่าโลกนี้บางเรื่อง โดยเฉพาะวาสนาคู่ครอง ล้วนกำหนดไว้แล้ว ร้องขอไม่ได้?!

……

หลายวันนี้หลินซือเย่าทำงานเสร็จก็จะมาเป็นเพื่อนซูสุ่ยเลี่ยนร่างแบบปักในห้องหนังสือ ในมือพลิกตำราอ่านเรื่องการทำนาเพาะปลูก

ควรมอบความดีความชอบให้กับเจ้าอาวาสที่เลี้ยงดูเขามาเก้าปี ให้เขารู้หนังสือไม่น้อย ต่อมาตอนไปฝึกวิชาที่เขาเสวียนอู่สามปี เพราะต้องท่องเคล็ดวิชาไม่น้อย จึงได้อาศัยโอกาสตอนนั้นจดจำตัวอักษรยากๆ ได้ไม่น้อย

ตอนนี้หนังสือที่อยู่ในบ้าน มีส่วนหนึ่งเป็นเขาซื้อมา สุ่ยเลี่ยนชอบอ่านเรื่องแปลก ประเพณีท้องถิ่น ส่วนเขาย่อมเลือกที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่นพวกเพาะปลูก หรือพวกอาหารที่ไม่ควรกินด้วยกัน…

ทุกครั้งที่เขาหอบหนังสือออกมานั่งอยู่หน้าโต๊ะ ข้างมือก็จะมีกาน้ำชาข้าวขู่เฉียวดำร้อนๆ ถึงกับรู้สึกเหมือนว่าเมื่อยี่สิบสามปีก่อนของเขาเป็นเพียงความฝันฉากหนึ่ง ชีวิตสุขสบายตอนนี้จึงเป็นเรื่องจริง

หลินซือเย่าส่ายหน้า ในใจแอบนึกขำไม่หยุด หากว่าพวกซือทั่วรู้เข้าว่าตอนนี้เขาถึงกับมาใช้ชีวิตมีความสุขที่หมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ มีเวลาว่างสบายๆ ไม่รู้จะมีสีหน้าอย่างไร คิดถึงหน้าตาที่แต่ไรมาเย็นเยียบราวภูเขาน้ำแข็งของพวกเขาแล้ว หลินซือเย่าก็ไม่อยากนึกภาพต่อ

ก็เหมือนเขาเอง หากปีก่อนมีคนทำนายว่าตนจะมีเคราะห์ และคนที่ช่วยตนไว้ก็คือคุณหนูบอบบางอรชรอ้อนแอ้นเรี่ยวแรงไม่มีผู้หนึ่ง เขาก็คงหัวเราะฮึใส่หน้า หากทำนายไปอีกว่าเขาจะแต่งงานกับคุณหนูผู้นี้ และดำเนินชีวิตเรียบง่ายพอเพียงเป็นชาวนาช่างปักผ้ากันไป เขาก็คงยิ่งไม่พอใจใส่ แต่ความจริงก็พอดีเป็นเช่นนี้ เขายังรู้สึกดีใจกับผลเช่นนี้มากด้วย

ซูสุ่ยเลี่ยนในช่วงนี้นอกจากเย็บเสื้อฤดูใบไม้ผลิบางๆ สองตัวแล้ว ก็ว่างไม่มีอะไรทำ ก็เลยลองเล็งหาแบบใหม่ๆ เช่นผลเฉ่าเหมย[1]ป่าเป็นพวงร้อยรัดพร้อมดอกผล แมวเล่นม้วนไหมพรม ลูกหมูนอนพุงพลุ้ยตากแดด…สรุปแบบปักชุดนี้มีพื้นหลังเหมือนกัน ก็คือผลไม้ดอกไม้เบ่งบานกับความเบิกบานในฤดูใบไม้ผลิ

สี่ชุ่ยที่ตามป้าเหลามาอวยพรปีใหม่ พอเห็นแบบปักพวกนี้ก็ดีใจมาก เข้าไปอ้อนขอให้ซูสุ่ยเลี่ยนวาดให้นางสักสองภาพ ภาพหนึ่งเป็นดอกหลีฮวาบานเต็มต้นกิ่งก้านงอกงามหลังฝนในฤดูใบไม้ผลิ ภาพหนึ่งเป็นภาพสุนัขไล่ผีเสื้อ ถือแบบปักกลับบ้านไปปักอย่างร่าเริง บอกว่าจะเอาไปปักไว้บนชุดฤดูใบไม้ผลิที่จะเป็นของตอนออกเรือน

ใช่ วันแต่งสี่ชุ่ยใกล้เข้ามาแล้ว วันที่สิบแปด เดือนสาม

ซูสุ่ยเลี่ยนกำลังคิดเตรียมของขวัญออกเรือนให้สี่ชุ่ย ควรให้อะไรดีนะ งานปัก? ฝีมือสี่ชุ่ยเองก็ไม่เลว เงินก้อน? จะดูบ้านๆ ไปไหม?

ซูสุ่ยเลี่ยนขมวดคิ้วมุ่น…

……

ย่างเข้าเดือนสองแล้ว

วันที่ห้า เสี่ยวเสวี่ยก็คลอดเป็นลูกหมาป่าสามตัว ล้วนขนสีขาวปลอดราวหิมะ ไม่มีสีอื่นแทรกสักนิด เทียบกับเสี่ยวเสวี่ยแล้วยังขาวกว่าอีกหลายส่วน น่าจะเพราะว่าเป็นราชาหมาป่ากระมัง อย่างไรกลุ่มหมาป่าเลือกราชาก็ย่อมเลือกหมาป่าขาวไว้ก่อน ตอนนี้เสี่ยวเสวี่ยคลอดลูกหมาป่าขนสีขาวเหมือนกัน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหนึ่งในนี้ย่อมต้องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของราชาหมาป่ารุ่นต่อไป

เสี่ยวเสวี่ยคลอดแล้ว ราชาหมาป่าแอบมาดูครั้งหนึ่ง ย่อมมาในยามวิกาลเงียบสงัดไร้ผู้คน เลียขนลูกตนเองอย่างรักใคร่ เป็นนานกว่าจะยอมจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์

หลินซือเย่าแอบรู้ว่า รอให้ลูกหมาป่าสามตัวนี้อยู่ได้ด้วยตัวเองได้ ต้องตามราชาหมาป่าไปแน่ ดังนั้นจึงไม่ได้หยุดการมาแอบมาดูของราชาหมาป่า เพียงเตือนด้วยสายตาไปว่า ไม่ให้อยู่นาน ไม่ให้ทำลายข้าวของ

ราชาหมาป่าเหมือนเข้าใจส่ายหัวส่ายหางให้เขา เข้าไปเลียลูกสามตัวกับเสี่ยวเสวี่ยต่อ

พอยามโฉ่วก็ต้องจากที่นี่กลับเขาต้าซื่อไปอย่างไม่อาจตัดใจ

……

วันที่สิบเก้า เดือนสอง ว่ากันว่าเป็นวันประสูติพระโพธิสัตว์กวนอิม วัดชิงอวี้ วัดแห่งเดียวนอกเมืองฝานลั่ว ตั้งอยู่ทางชานเมืองเมืองฝานลั่ว ห่างจากเมืองฝานฮัวยี่สิบลี้ มีคนมาบูชากันมาก

วันก่อนสี่ชุ่ยมาชวนซูสุ่ยเลี่ยนไปไหว้พระที่วัดชิงอวี้กับนาง ซูสุ่ยเลี่ยนแอบยิ้มไม่กล่าวอันใด ในใจก็รู้ว่านางต้องการไปขอพรให้ชีวิตแต่งงานสมบูรณ์ดี ตนเองแต่งงานไปแล้ว แต่ถ้าหากมีโอกาสได้ไปเดินเที่ยวที่วัดสักครั้งก็ไม่เลว อย่างไรอีกสองสามวันที่บ้านก็ต้องเริ่มยุ่งกับงานเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิกันแล้ว

“พี่สุ่ยเลี่ยน พี่อาเย่าไปด้วยกันหรือ” สี่ชุ่ยเหลือบมองหลินซือเย่าข้างกายคอยปกป้องซูสุ่ยเลี่ยน เอียงหน้าไปกระซิบข้างหูซูสุ่ยเลี่ยน

ไม่ใช่นางไม่ให้หลินซือเย่าตามไป แต่ความจริง พวกนางไปวัดชิงอวี้ต้องคุกเข่าไหว้พระโพธิสัตว์ พอลองคิดถึงหน้าตาเขาที่มีแต่ความเย็นเยียบเฉยชาราวกับน้ำแข็ง แม้ว่าในวัดนั้นมีโพธิสัตว์อยู่จริงก็คงต้องถูกเขาทำตกใจวิ่งหนีไปแน่

จะว่าไป นางยังคิดจะแอบลอบถามคำสอนเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานจากซูสุ่ยเลี่ยน แม้ว่าแม่ของนางจะบอกนางทุกเรื่องราวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีปัญหาเล็กๆ ที่ต้องการคนมาไขข้อข้องใจให้นาง คิดถึงว่าซูสุ่ยเลี่ยนเพิ่งแต่งงานเมื่อปีที่แล้ว น่าจะเป็นคู่สนทนาที่เหมาะสมที่สุด แต่ตอนนี้มีหลินซือเย่าอยู่ด้วย วาจาเหล่านี้จะถามออกไปอย่างไรกัน!

ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นใบหน้าสี่ชุ่ยขมวดมุ่น ท่าทางลำบากใจ ก็รู้สึกขำหรี่ตามองไปยังหลินซือเย่าที่ไม่รู้เรื่องด้วยอยู่ข้างๆ พลางปลอบใจนางอ่อนโยนว่า ‘เขารอพวกเราอยู่นอกวัด’ ไม่ให้เขาไป จะเป็นไปได้อย่างไร ในความคิดหลินซือเย่า ที่ที่คนเบียดเสียดแน่นเช่นนั้นเกิดเรื่องได้ง่ายที่สุด เขาจะปล่อยให้ผู้หญิงตัวน้อยสองคนไปกันเองได้อย่างไร

สี่ชุ่ยได้แต่พยักหน้า

ผู้ใดให้คนเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันมากเล่า แม้ว่าเพียงแค่วันเดียวก็ไม่อยากแยกจาก โอย หากคนที่นางแต่งงานด้วยดีกับนางขนาดนี้จะดีขนาดไหนกัน แต่แม่ของนางบอกว่า ชายที่ดีกับภรรยามากเกินปกติทั่วไปอย่างหลินซือเย่า นางอย่าได้หวัง ไม่อย่างนั้นก็ทำตัวเองขุ่นข้องเองโดยแท้ ดังนั้นวันนี้ไปวัดชิงอวี้ก็เพื่อขอพรให้มีชีวิตที่สงบสุข นางจะได้อธิษฐานด้วย แน่นอนว่าขอให้ตนเองมีชีวิตแต่งงานที่ดีงามสมบูรณ์

……

ทั้งสามคนไปปากทางหมู่บ้านหารถม้าอาศัยได้คันหนึ่ง ไม่ถึงชั่วยามก็มาถึงเชิงเขาวัดชิงอวี้ที่ควันธูปตลบอบอวลไปหมด ซูสุ่ยเลี่ยนถึงกับสงสัยว่าที่นี่เป็นศูนย์รวมชาวเมืองฝานลั่วหรือ ไม่เช่นนั้นทำไมมองไปทำไมมีแต่กำแพงมนุษย์ กำแพงมนุษย์ และก็กำแพงมนุษย์วนขึ้นเขากันเต็มขนัด นางแอบนึกหวาดขึ้นมาจริงๆ

“หาที่พักผ่อนกันก่อน ชั่วยามครึ่งนี้เข้าวัดไม่ได้แน่” หลินซือเย่าเสนอกับสี่ชุ่ย รั้งซูสุ่ยเลี่ยนไปยังรอบนอกที่มีคนน้อยกว่า

“สวรรค์! ทำไมข้ารู้สึกว่าอยู่ๆ อยากจะเป็นลมขึ้นมา เมืองฝานลั่วมีคนมาจากไหนมากมายเช่นนี้!” สี่ชุ่ยรีบตามพวกเขาไป มาถึงก้อนหินที่สลักคำว่า วัดชิงอวี้ แววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

“คิดว่าเพราะวันนี้เป็นวันพิเศษกระมัง” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มกล่าวอย่างไม่คิดอะไร วันที่สิบเก้า เดือนสอง วันเกิดพระโพธิสัตว์กวนอิม แม้ชาวเมืองซูโจวเองก็คึกคักเช่นนี้เหมือนกัน อย่าว่าแต่วัดวาอารามเลย แม้แต่เขตการค้าต่างๆ ก็ล้วนอาศัยจังหวะนี้ขายของที่เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์กวนอิม

“แต่ปีก่อนข้าตามท่านแม่ข้ามา ไม่ได้มีคนเยอะอย่างนี้นี่!” สี่ชุ่ยส่ายหน้า ยังคงแปลกใจมองไปรอบๆ เหมือนหวังว่าจะพบสาเหตุที่ทำให้ต่างจากปีก่อน

……

“วันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนมากอย่างนี้! ข้าว่าพวกเรากลับกันเถอะ!”

“ใช่ ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไร ไม่สู้กลับบ้านไปทำกับข้าวดีกว่า ข้าคิดว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมก็คงให้อภัยพวกเรา”

“ก็ใช่ ต้องโทษพวกที่ปิดวัดไหว้ในวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นตระกูลสูงศักดิ์ขุนนางใหญ่ไหนมาครองวัดไป ไม่ให้พวกเราเข้า…”

“เจ้าไม่ได้ยินมาหรือ เหมือนเป็นชนชั้นสูงจากเมืองหลวงเฟิงเฉิง”

“เชอะ แล่นมาที่ห่างไกลของพวกเราไหว้พระ? น่าขันจริง!”

“จริง…เมื่อวานข้าได้ยินเจ้าหลี่หัวโตที่เฝ้าประตูเมืองบอก…พวกเจ้าอย่ามาทำไม่เชื่อ เจ้าหลี่หัวโตเป็นคนอารักขาพวกเขาเข้าเมืองมา”

“โอย เชื่อไม่เชื่อแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา ช่างเถอะ ข้ากลับบ้านไปทำกับข้าวดีกว่า ไม่อย่างนั้นตาแก่ที่บ้านคงบ่นไม่หยุดแน่ อาอวี้ เจ้าล่ะ”

“ข้าย่อมตามเจ้ากลับสิ”

“อย่างนั้นข้ากลับกับพวกเจ้าด้วยละกัน คนเยอะอย่างนี้ วันนี้อย่าได้คิดเข้าไปในวัด”

“เช่นนั้นไปกันเถอะ”

“ไปเถอะ”

……

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” สี่ชุ่ยได้ฟังก็พอเดาได้คร่าวๆ

คิดว่าวัดชิงอวี้ถูกชนชั้นสูงจากเมืองหลวงเฟิงเฉิงมาปิดวัดไหว้คนเดียวแล้ว ดังนั้นชาวบ้านในและ

นอกเมืองฝานลั่วจึงได้แต่รออยู่นอกวัด มิน่าจึงมีผู้คนต่อแถววนเวียนนับร้อยเมตรขึ้นวัดชิงอวี้รอเข้าไปไหว้พระในวัดกัน

ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้าเข้าใจเช่นกัน

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าวัดที่ห่างไกลอย่างเมืองฝานลั่ว ถึงกับดึงดูดคนจากแดนไกลมาไหวเพื่อขอพรได้

ครั้งนี้ชื่อเสียงวัดชิงอวี้น่าจะยิ่งดังมากขึ้น นางอดยิ้มไม่ได้

“สี่ชุ่ย ยังจะรอไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนหันไปมองสี่ชุ่ยที่มองไปรอบๆ ความเห็นนางว่าควรกลับบ้านดีกว่า ตอนนี้ก็บ่ายแล้ว ไม่รู้ต้องรออีกนานเท่าไรจึงจะถึงตานาง

จะว่าไปพระโพธิสัตว์กวนอิมน่าจะเหนื่อยหน่อยนะ ถูกชนชั้นสูงเช่นนี้มาปิดวัดไหว้ครึ่งวัน ยังมีสาวๆ มากมายทั้งมีอายุและอ่อนวัยมาคุกเข่าพอพร พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เหนื่อยล้าจะยังมีแก่ใจมาจดจำคำขอร้องเล็กๆ ของตนเองหรือ?! พอคิดเช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็อดแอบแลบลิ้นในใจไม่ได้

“ช่างเถอะ ไว้รอพรุ่งนี้คนน้อยค่อยมาใหม่ คนเยอะอย่างนี้ เห็นก็กลัวแล้ว” สี่ชุ่ยแลบลิ้นส่ายหน้า ล้อเล่นน่า ด้วยร่างกายอย่างนางสองคน แม้ชนชั้นสูงนั่นไปแล้ว ตนเองจะเบียดกำแพงมนุษย์ด้านหน้าที่แค่เห็นก็ขนลุกนี้ไปได้อย่างไร เกรงว่าคงยากมาก

“ตกลง อย่างนั้นพวกเรากลับกันเถอะ วันหลังข้าค่อยมาเป็นเพื่อนเจ้าอีก” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็เห็นด้วยพยักหน้า เอียงคอยิ้มสบตากับหลินซือเย่า จากนั้นทั้งสามคนก็เดินออกไปรอบนอก

—————————————–

[1] สตรอว์เบอร์รี