ช่วงใกล้ปลายเดือนสอง กำลังเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่กำลังดี ทุกบ้านในเมืองฝานฮัวต่างพากันเริ่มหว่านเมล็ดเพาะปลูก

หลินซือเย่าหารือกับซูสุ่ยเลี่ยน พื้นที่ที่เหลือหลังเก็บผักหมดแล้วกะว่าจะไถกลบแล้วลงพวกฝ้าย ข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าวเกาเหลียง รอให้ผ่านไปอีกระยะ ต้นข้าวสาลีที่ปลูกหน้าหนาวเก็บเกี่ยวได้ ก็จะปลูกนาข้าวเจ้าทั้งหมด

ซูสุ่ยเลี่ยนย่อมเห็นด้วย

ฝ้ายย่อมต้องปลูก คิดถึงห่อผ้าฝ้ายที่ตนเย็บใช้ครั้งแรกหลายผืนพวกนั้นแล้ว ตอนนี้นางก็ซักจนฟีบแข็งไปหมดแล้ว ฝ้ายขาวยังหาซื้อไม่ได้ตามร้านค้าทั่วไป สำหรับร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปหรือพวกผ้าห่ม แม้มีฝ้ายก็ไม่รับประกันว่าใหม่ หากจะให้ใช้ใยฝ้ายที่ใช้เป็นผ้าห่มแล้วมาใช้ต่อ ตนเองซื้อมาได้ก็คงไม่กล้าเอามายัดห่อผ้าใช้ได้อย่างสบายใจ ผู้ใดจะรู้ว่าคนใช้ครั้งก่อนสกปรกเพียงใด

ดังนั้นหลินซือเย่าจึงวางแผนไว้แล้ว พอเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิก็ปลูกฝ้ายก่อน เตรียมปลูกที่นาครึ่งผืน ตนเองใช้เหลือก็เอาไปขายให้พ่อค้าที่รับซื้อแลกผ้าฝ้ายมาแทน

สำหรับที่นาที่เหลืออีกครึ่งผืน หลินซือเย่าปลูกข้าวโพดสองแปลง ถั่วเหลืองสองแปลง ถั่วลิสงหนึ่งแปลง ข้าวขู่เฉียวอีกหนึ่งแปลง…ข้าวโพดกับถั่วเหลือง กินสดได้ บดเป็นแป้งได้ หากยังมีเหลือก็เอาไปหีบเป็นน้ำมันใช้ได้อีก ถั่วลิสงมีแนวทางการใช้ยิ่งมากกว่า ทั้งกินสด ทั้งคั่วแห้ง ทำน้ำจิ้ม หีบน้ำมัน สรุปหลินซือเย่าเลือกพืชที่ใช้ทำได้หลายอย่างและปลูกง่าย

สำหรับพื้นที่ที่เหลือระหว่างแปลง ก็จะหว่านพวกถั่วต่างๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้นัก เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ ซึ่งเป็นพืชที่ไม่ต้องดูแลมากนัก ขอเพียงคอยตัดกิ่งก้านให้เรียบร้อย พรวนดินสักหน่อย รดน้ำสักนิด ขจัดศัตรูเล็กน้อย…ก็ใช้ได้แล้ว ความจริงก็คือเขาไม่อยากให้สุ่ยเลี่ยนห่างสายตาเขานานนัก

นับประสาอันใดกับอีกสองสามเดือน ลูกหมาป่าสามตัวก็มีกำลังพอจะพาพวกมันขึ้นเขาได้แล้ว เสี่ยวเสวี่ยย่อมพาพวกมันไปเขาต้าซื่อพบราชาหมาป่า ดังนั้นที่บ้านก็จะเหลือแค่เสี่ยวฉุนเฝ้า เขาไม่วางใจ หน้าบ้านมักมีพวกผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาคอยเตร็ดเตร่ด้อมมอง แม้ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับพวกเขา แต่เพียงแค่นี้เขาก็ห่วงความปลอดภัยของสุ่ยเลี่ยนแล้ว

ใครมาแอบด้อมมองบ้านเขากัน ชาวบ้านขี้อิจฉา? สายลับหอเฟิงเหยาส่งมา? เขาสลัดความคาดเดาสองประการแรกทิ้งทันที ชาวบ้านไม่ใช่เพิ่งรู้จักบ้านเขา หากมีความคิดไม่ดีอะไรก็คงไม่รอถึงตอนนี้กระมัง จะว่าไปด้วยฝีมือชาวนาหรือช่างในหมู่บ้านพวกนี้คงไม่กล้าพอมาหาเรื่องเขาแน่นอน สำหรับหอเฟิงเหยา หลินซือเย่าแอบส่ายหน้าปฏิเสธ ด้วยนิสัยอย่างเฟิงชิงหยาย่อมไม่ทำเช่นนี้ หากรู้ว่าตนยังไม่ตาย ย่อมไม่ส่งแค่คนฝีมือกระจอกพวกนี้มาสืบข่าวตนแน่

สามวันต่อมา หลินซือเย่าคาดไว้ไม่ผิด เจ้าพวกกระจอกก็ตกหลุมพรางเขา

“พรรคเฟิงเหลย? พรรคบ้าอะไร?” คิ้วดาบหลินซือเย่ากระตุก มองไปยังชายที่ส่งเสียงร้องดังเพราะแขนผิดรูป ขาถูกขัด ถามอย่างไม่เข้าใจ

“นั่น…นั่นมันพรรคบ้า อา ถุย ถุย…แน่นอนไม่ใช่พรรคบ้า…โอย…พี่จ้าว พี่เตะข้าทำไม!” หนึ่งในนั้นส่งเสียงร้องดังก่อนจะสะบัดหน้าไปมา

“อะไรบ้าไม่บ้า ระวังพี่ใหญ่ถลกหนังเจ้าทิ้ง! ท่าน…ท่านจอมยุทธ์ พรรคเฟิงเหลย…คือพรรคที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฝานลั่ว ท่านคงไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินกระมัง” ดูแล้วเจ้าสามคนนี้คนที่มีสิทธิ์พูดได้มากที่สุดก็หันมาอธิบายกับหลินซือเย่า

“ใช่เลย พวกเราพรรคเฟิงเหลยตั้งอยู่เมืองฝานลั่วมาห้าหกปีแล้วนะ ทำไมไม่เคยได้ยิน!” ชายคนสุดท้ายคนนั้นส่งเสียงตะโกนขึ้น

“ท่านจอมยุทธ์ เป็นความผิดของพวกเราพี่น้อง…โทษพวกนางที่ควรตายไม่พูดให้กระจ่าง…คือว่า…ท่านวางใจ พวกเราจะกลับไปเรียนให้พี่ใหญ่รู้ จะไม่…ไม่มารบกวนท่านอีกเด็ดขาด จริงนะ ข้าสาบาน คือว่า ท่านปล่อยพวกเราสามคนไปเถอะนะ?” ชายคนที่มีสิทธิ์พูดมากที่สุดเหมือนขอร้องและรับปากพร้อมทำท่าสาบานกับหลินซือเย่า

“พวกนางที่ควรตายคือใคร” หลินซือเย่าน้ำเสียงสังหารเย็นเยียบ ทำให้ทั้งสามคนอดหนาวสั่นไม่ได้

ทั้งสามคนสบตากัน ก่อนที่ชายคนที่มีสิทธิ์พูดมากที่สุดจะงึมงำตอบว่า “พวกนาง…เหมือนว่า…เหมือนว่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ในเมือง”

“ให้พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”

หลินซือเย่ากำหมัดแน่น จ้องด้วยสายตาคาดเดาเย็นเยียบ

“คือว่า…ท่านจอมยุทธ์โปรดไว้ชีวิต…ไว้ชีวิตด้วย…ข้าน้อยเพียงแต่รับคำสั่งพี่ใหญ่ มาจับตัวแม่นางผู้นั้น…เอ่อ..สำหรับว่าจับกลับไปทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับข้าน้อย” ชายสามคนสบตากันอย่างหวาดกลัว ล้วนมองออกถึงแววตาน่ากลัวของอีกฝ่าย โอย มารดามันสิน่า ชายตรงหน้านี้แท้จริงเป็นใครกัน ยังฝีมือสูงกว่าพี่ใหญ่ตนอีก ดูสิ แค่ดีดนิ้ว เขาสามคนก็ขาหักแขนหักกันอนาถสาหัสแล้ว หากยังมาอีกสักหมัด ใช่ว่าชีวิตน้อยๆ นี้คงได้ไปพบยมบาลแล้วไหม?! ฮือ…ฮือ…

หลินซือเย่าจ้องมองพวกเขาทั้งสามคน สองมือแนบกายกำหมัดแน่น สายตาคาดเดาทั้งโมโหทั้งเย็นเยียบแลดูน่ากลัว

ลู่หว่านเอ๋อร์ตัวดี! มาหาเรื่องเขาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ว่า ครั้งนี้ถึงกับจ้างคนมาจับสุ่ยเลี่ยน ครั้งนี้เกินขอบเขตเขามาแล้ว เยี่ยม! เขาไม่สังหารสตรี ไม่ได้หมายความว่าไม่ลงมือสั่งสอนสตรี!

“กลับไปบอกพี่ใหญ่พวกเจ้า หากยังกล้ามาหาเรื่องที่เมืองฝานฮัวอีก ข้าจะไปทลายพรรคเฟิงเหลยให้ราบคาบ” เขาจ้องมองจนทั้งสามคนเหงื่อเย็นหลั่งท่วมตัว ทิ้งวาจาข่มขู่ไว้ก่อนจะหันหลังกระโดดหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

เขามีความสามารถแท้จริง ทลายพรรคเฟิงเหลยให้ราบ! ทั้งสามคนเห็นหลินซือเย่าหายไปในพริบตาต่อหน้าพวกเขา ก็ปาดเหงื่อเย็นที่ไหลท่วมใบหน้า พากันประคองกันและกันเดินออกจากเชิงเขาซิ่วเฟิง เมื่อครู่ถูกหลินซือเย่าจับมาโยนกองไว้ที่นี่เพื่อสอบปากคำ ตอนนี้ล้มลุกคลุมคลานกลับเมืองฝานลั่ว รีบไปรายงานพี่ใหญ่

……

ณ บ้านหลังใหญ่ดูทรุดโทรมทางตะวันตกของเมืองฝานลั่ว

ประตูใหญ่มีป้ายสีดำมันวาวแขวนไว้ด้านบน เขียนว่า ‘พรรคเฟิงเหลย’ ด้วยอักษรตัวเต็มเป็นระเบียบ ที่นี่ก็คือพรรคที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฝานลั่ว ที่ตั้งใหญ่ของพรรคเฟิงเหลย

เปรี๊ยะ!

“ไร้เหตุผลสิ้นดี!”

เสียงถ้วยชาถูกบีบแตก พี่ใหญ่พรรคเฟิงเหลยตอนนี้อายุราวสี่สิบกว่า หวาอวี๋เอ๋อร์ขนคิ้วหนาเป็นปื้นตบโต๊ะเสียงดังด่าลูกน้องสามคนที่คุกเข่าก้มหน้าตัวสั่นหวาดกลัว “ไม่ใช่ให้พวกเจ้าไปสืบข่าวหรือ ใครให้พวกเจ้าทำการพลการ?!”

“พี่…พี่ใหญ่ ท่านไม่ใช่บอกให้พวกเราพลิกแพลงตามสภาพการณ์หรือ” หนึ่งในนั้นทำใจกล้าเถียง “แม่นางนั่นหนักไม่เท่าไร…”

“ยังกล้าเถียง! เหอะๆๆ พวกเจ้าสามคนอย่าออกไปไหนอีก อยู่ในพรรคนี่ จะได้ไม่สะดุดตา!” หวาอวี๋เอ๋อร์โมโหจนค้อนตาคว่ำ โบกมือให้สามคนที่แสนไม่ได้เรื่องไสหัวออกไป

“พี่ใหญ่ พวกอาจ้าวหวังดี เดิมคิดว่าจับแม่นางนั่นกลับมาได้ก็จะได้เอาไปแลกเงิน ใครจะรู้ว่าจะมีจอมยุทธ์ฝีมือสูงส่งโผล่ออกมากันเล่า? คนเราไหนเลยจะสู้ฟ้าลิขิต!” เจ้าสี่ข้างกายหวาอวี๋เอ๋อร์ปลอบใจพี่ใหญ่ที่กำลังหงุดหงิด

มีใครถูกคนมาชี้หน้าว่าจะมาเหยียบที่ตนเองให้ราบคาบแล้วจะยังสบายอกสบายใจกันอีกได้ คิดว่าพี่ใหญ่ตนถือว่าเป็นหัวหน้าพรรคที่ใจกล้าน้อยนักแล้ว หากเป็นพี่ใหญ่ ‘พรรคเถี่ยหม่า’ นั่นคงได้นำพี่น้องไปเหยียบเมืองฝานฮัวแล้ว

อ้อ แน่นอนเพราะพี่ใหญ่ตนยังมีมารดาเจ็ดสิบกว่าที่ต้องดูแล ชีวิตย่อมสำคัญไม่ใช่หรือ

“หวังดี? หวังดีกับผีน่ะสิ! พวกขยะไร้สมอง ข้าว่าพวกเขาคงเห็นนางสะสวยมากกว่าเลยคิดลงมือก่อน เชอะ! พวกกเฬวรากไม่ฟังคำสั่ง!” หวาอวี๋เอ๋อร์โมโหฮึดฮัดด่าอีก

ที่เขารับงานคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ก็เพราะเห็นแก่เงินห้าสิบตำลึงก้อนโตของนาง แม้ผิดหลักการที่ตนตั้งไว้ว่าไม่แตะต้องสตรีและเด็กก็ตาม แต่นั่นมัน…ห้าสิบตำลึงนะ เพียงพอให้พี่น้องพรรคเขาได้อยู่สบายกันไปอีกสามปีห้าปีโดยไม่ต้องรับงานอื่นเลยนะ

แต่…เอ่อ…ผู้ใดจะจะรู้ว่าไปล่วงเกินเอาคนที่พวกอาจ้าวบอกว่าแค่ดีดนิ้วเดียวแขนขาพวกเขาสามคนก็หัก นี่จะทำอย่างไรดี หากปฏิเสธงาน เงินห้าสิบตำลึง…ก็จะไร้วาสนากับตนแล้ว แต่ไม่ปฏิเสธก็ไม่ได้ อีกฝ่ายข่มขู่มาขนาดนี้ หากตนยังคิดไปหาเรื่องแม่นางนั่นที่เมืองฝานฮัวอีก พรรคเฟิงเหลยที่ตนสร้างมากับมืออย่างยากลำบากหลายปีมานี้ก็คงจบสิ้นกัน นี่ไม่ใช่ว่าหาเรื่องใส่ตัวเองหรือ! แม้ว่าพี่น้องในพรรคส่วนใหญ่จะเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดา แต่ตนเองยังมีมารดาชราต้องดูแล ดังนั้น…

“เจ้าสี่ ไปบอกคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ เราไม่รับงานแล้ว ให้นางมารับเงินมัดจำคืน” หวาอวี๋เอ๋อร์ชั่งน้ำหนักดูแล้ว ตัดสินใจว่าวีรบุรุษควรรู้อะไรควรไม่ควร ในใจเจ็บปวดที่ต้องปล่อยยี่สิบตำลึงคืนกลับไป ยังไม่ทันกำให้ร้อนเลยก็ต้องคายคืนไปแล้ว

“พี่ใหญ่? อ้อ อ้อ อ้อ ได้ ข้าไปเดี๋ยวนี้เลย” เจ้าสี่วิ่งออกจากห้องโถงไปทันที แค่ไปบอก ง่ายจะตาย ปีนกำแพงไปบอกสาวใช้ตระกูลลู่ก็เสร็จ แต่ว่าทำไมพี่ใหญ่ยอมปล่อยเงินห้าสิบตำลึงไปกันนะ? พรรคเฟิงเหลยทุกคนมีผู้ใดไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ชอบก้อนเงินขาวๆ ที่สุด จะว่าไปใครไม่ชอบเงินบ้าง?! เจ้าสี่เป็นหนุ่มน้อยหัวไวอายุราวยี่สิบต้นๆ เกาหัวแกรกๆ ออกจากประตูหน้าพรรคเฟิงเหลย วิ่งไปยังตระกูลลู่ในเมืองเมืองฝานลั่ว

……

“อาเย่า เมื่อครู่คนพวกนั้น…” ซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้าลงมองหลินซือเย่าที่กำลังนวดยาให้ข้อมือนางที่ถูกกระชากจนเขียว นางอดถามอย่างสงสัยไม่ได้

“พวกเขา…จำคนผิด” เขาพยายามระงับอารมณ์โมโหคุกรุ่นในใจลง ปลอบนางน้ำเสียงแหบพร่า

“อ้อ” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า จากนั้นก็รู้สึกเป็นห่วงตามมา “ก็ไม่รู้ว่ามาหาใครกัน เห็นจุดประสงค์การมาของพวกเขาแล้วไม่น่าจะดี” หากหลินซือเย่ามาช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่แน่นางอาจถูกพวกเขาลักพาตัวไปแล้ว อย่างไรคงไม่ได้ลักพาตัวไปเป็นแขกกระมัง?! หากว่าจับผิดคน อย่างนั้นพวกเขาต้องการจับตัวเด็กสาวบ้านไหนกัน

“ไม่ต้องกังวล พวกเขาจำผิดหมู่บ้าน ตอนนี้ไปจากเมืองเราแล้ว” หลินซือเย่าอุ้มนางวางบนเตียง ซูสุ่ยเลี่ยนทั้งตกใจทั้งเจ็บตัวมา ไม่นานก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเขาที่ปลอบประโลมนางอ่อนโยน

ตกดึก ชายชุดดำปิดหน้าค่อยๆ กระโดดลอยตัวออกจากเมืองฝานฮัวไปอย่างไร้เงา มุ่งไปยังบ้านตระกูลลู่ในเมือง…