บทที่ 67 ความล้มเหลว

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

กำแพงตำหนักมีความสูงมาก…

ตอนปีนขึ้นยังมีก้อนหินให้คอยเหยียบแต่ตอนปีนลงไม่มีสิ่งใดเลย นางรู้สึกว่าหากกระโดดลงไปตรง ๆ น่าจะล้มคว่ำอย่างแน่นอน

ฉินปู้เข่อนั่งบนกำแพงพลางรู้สึกว่าลมกลางคืนที่พัดมาตรงหน้านางในขณะนี้ช่างเศร้าสร้อยเหลือเกิน

ภายในกำแพงคืออ๋องจั่วเสียนที่อันตรายและหมี่โม่หรู่ที่เข้าใจยาก ส่วนนอกกำแพงคือโลกแห่งอิสรภาพ

นางปีนมาถึงตรงนี้แล้วจะยอมแพ้ได้อย่างไร?!

ฉินปู้เข่อมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาคู่งามและในที่สุดก็มีวิธีแก้ปัญหาที่ดี

มีต้นไม้โค้งเติบโตนอกกำแพงอีกด้านของสวนเฉินอวี้

ตราบใดที่นางสามารถปีนข้ามกำแพงใต้ฝ่าเท้านางได้ แล้วเดินผ่านหลังคาห้องนอนของนางก็จะสามารถไปถึงต้นไม้โค้งและปีนต้นไม้ออกไปด้านนอกกำแพงได้

ฉินปู้เข่อหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ยืนขึ้น นางเหยียดแขนออกเพื่อรักษาสมดุลการทรงตัว และมองดูกระเบื้องใต้ฝ่าเท้าของนางก่อนจะเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ

เอ่อ คงจะดีหากนางมีวิชาตัวเบา เพราะนางจะสามารถข้ามกำแพงได้ภายในไม่กี่นาที

ราวกับผ่านไปหนึ่งศตวรรษ ในที่สุดนางก็เคลื่อนจากกระเบื้องผนังเรียบไปบนหลังคาได้

ในตอนนี้เหลือเพียงแค่ขั้นตอนสุดท้าย นางก็จะสามารถเหยียบหลังคากว้างแล้ววิ่งไปยังต้นไม้โค้งได้อย่างรวดเร็ว

“เหตุใดพระชายาถึงปีนกำแพงยามดึก?”

เสียงขุ่นมัวและน่าขนลุกดังขึ้นในหูของนาง

ดวงตาของฉินปู้เข่อเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว หมี่โม่หรู่กำลังยืนอยู่บนหลังคาห่างจากนางไปสองก้าว เขากอดอกมองดูนางอย่างเฉยเมย

นางคร่ำครวญในใจ ฝ่าเท้าของนางเกิดลื่นขึ้นมา และก่อนที่นางจะได้ส่งเสียงออกมานางก็ตกลงมาจากกำแพง

หูของนางได้ยินเพียงเสียงสายลม

แย่แล้ว สูงถึงเพียงนี้ต้องพิการแน่!

ขณะที่นางกำลังรอความเจ็บปวดจากแขนขาที่หัก ก็มีลำแขนโอบรอบเอวของนางแล้วดึงนางขึ้นจากอากาศ

มีเสียงกระเบื้องดังมาจากฝ่าเท้าของนาง ฉินปู้เข่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ปรากฏว่านางถูกหมี่โม่หรู่ดึงขึ้นไปบนหลังคา

“เหตุใดพระชายาถึงปีนกำแพงยามดึก?” หมี่โม่หรู่ทวนคำถามอีกครั้งด้วยรอยยิ้มบริเวณมุมปากของเขา

ฉินปู้เข่อกลอกตาที่เบิกกว้าง “ชมพระจันทร์เพคะ”

“โอ้—” หมี่โม่หรู่เงยมองท้องฟ้าที่มืดมิด “เหตุใดพระชายาถึงลืมเรียกข้ามาร่วมเพลิดเพลินด้วยเล่า?!”

แผนการหลบหนีล้มเหลว ความโกรธผุดขึ้นเดือดพล่านในอกของนางจนแทบหายใจไม่ออก

ในความมืดมิดยามราตรี ฉินปู้เข่อขี้เกียจเกินกว่าจะสงวนท่าที นางนั่งลงแล้วจ้องไปยังหมี่โม่หรู่ “ท่านอ๋องไม่เกรงว่าจะเปิดเผยความลับของตนหรือเพคะ? อย่าลืมว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนท่านเป็นคนพิการนะเพคะ!”

หมี่โม่หรู่ค่อย ๆ ชี้นิ้วให้นางเงยหน้าขึ้นมอง

ฉินปู้เข่อมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย และเห็นว่ามีเปลวไฟสีแดงจำนวนหนึ่งสว่างขึ้นพร้อมกันบนกิ่งไม้ในตำหนักที่อยู่ห่างออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา

ไฟดับลงทันที แล้วบริเวณโดยรอบก็กลับมามืดมิดอีกครั้ง

“อู๋เหินอยู่ทางซ้าย อู๋เยว่อยู่ทางขวา และตรงต้นไม้โค้งที่เจ้าต้องการจะปีนข้ามไปคืออู๋อวิ๋น” หมี่โม่หรู่อธิบายให้นางฟังอย่างอารมณ์ดี “ด้วยพวกเขาแล้วภายในห้าลี้จากตำหนักไม่มีอะไรเล็ดลอดไปได้”

ตาของฉินปู้เข่อกระตุก ดังนั้นเขาจึงพบนางทันทีที่นางแอบออกจากประตูห้องหรือ?

ชายผู้นี้เฝ้ามองตัวเองกลั้นหายใจขณะปีนก้อนหิน และเดินบนกำแพงอย่างระมัดระวังอย่างนั้นหรือ?

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันนอนไม่หลับในตอนกลางคืนจึงออกมาพักผ่อนรับลมยามค่ำคืนเพคะ~” นางรีบปรับน้ำเสียงของนางอย่างรวดเร็ว ซึ่งน้ำเสียงเช่นนั้นทำให้หมี่โม่หรู่ขนลุก

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพระชายากำลังพยายามจะหลบหนี เป็นไปได้หรือไม่ว่าวิธีลงโทษที่ข้าใช้นั้นเบาเกินไป?” หมี่โม่หรู่ลูบคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด “หรือเปลี่ยนวิธีลงโทษเป็นสกัดจุดดี?”

ฉินปู้เข่อลุกขึ้นยืนแล้ววางสัมภาระลงตรงหน้าเขา “หม่อมฉันเปล่านะเพคะ ท่านต้องไม่สกัดจุดหม่อมฉันนะเพคะ!”

“ไม่สกัดจุดเจ้า” หมี่โม่หรู่เดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยรอยยิ้ม และเสียงของเขาก็อ่อนโยนเป็นพิเศษ

ฉินปู้เข่อค่อย ๆ ก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว “ไม่สกัดจุดหม่อมฉันจริงหรือเพคะ?!”

“ใครจะไม่สกัดจุดเจ้ากันล่ะ”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉินปู้เข่อก็นิ่งอยู่กับที่ มีเพียงดวงตาคู่เดียวที่สามารถขยับได้

ทันทีหลังจากนั้น หมี่โม่หรู่ก็อุ้มนางขึ้นในท่าเจ้าหญิงแล้วร่อนลงจากหลังคา และวางนางไว้ในสนามของสวนเฉินอวี้

“ในเมื่อพระชายาต้องการชมพระจันทร์และพักผ่อนรับลมยามค่ำคืน ข้าก็จะไม่รบกวนแล้ว”

หลังจากพูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกจากสวนเฉินอวี้อย่างสบายอารมณ์

“หมี่! โม่! หรู่!” ฉินปู้เข่อต้องการจะตะโกนออกไปดัง ๆ แต่นางทำได้เพียงส่งเสียง ‘อู้อู้’ ที่ฟังไม่ออกเท่านั้น

ขณะที่ฉินปู้เข่อกำลังยืนนิ่ง มือและเท้าของนางก็ชาและรู้สึกเวียนหัวอยู่ตรงนั้น ร่างที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามาหาอย่างแช่มช้า

ฉินปู้เข่อมองชายตรงหน้าอย่างตื่นเต้น น้ำตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย และตาของนางก็ยังคงมองไปยังคนผู้นั้นและกะพริบตาไปมา

ดูเหมือนหมี่โม่หรู่จะไม่เห็นความหวังลึก ๆ ของใครบางคน เขายกยิ้มอ่อนแล้ววางเสื้อคลุมในมือของเขาลงบนไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา และค่อย ๆ ใช้มือจับหลังนางเบา ๆ เพื่อจัดระเบียบผ้าไหมสีฟ้าที่คลุมหลังนางอยู่

“ก้นของพระชายาดูน่าขายหน้า หากพรุ่งนี้เช้าคนรับใช้ในตำหนักมาเห็นเข้าก็ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ข้าจะทิ้งเสื้อคลุมนี้เพื่อกันความเย็นและคลุมไว้นะ”

“อืมมม!” ฉินปู้เข่อยังคงคร่ำครวญขณะมองแผ่นหลังที่กำลังเดินจากไปไกล

เวลาผ่านไปจนเมื่อแสงแรกเริ่มปรากฏบนท้องฟ้าในวันรุ่งขึ้น ซวงหวนก็หาวและเดินออกมาจากประตู

เมื่อมองแวบแรกนางก็เห็นฉินปู้เข่อยืนอยู่ที่ลานบ้านด้วยท่าทางแปลก ๆ

นางตื่นขึ้นทันทีแล้วรีบวิ่งไปข้างตัวของฉินปู้เข่อและเขย่าตัวนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ”

“ช่วยข้าแก้สกัดจุด” เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้วนางพบว่าตัวเองพูดได้แล้วแต่ยังขยับไม่ได้

ซวงหวนลองสัมผัสนางสองครั้งแล้วลังเล “ท่านอ๋องเป็นผู้สกัดจุดหรือเพคะ”

“อืม รีบแก้เร็ว!”

“พระชายา ข้าน้อยขออภัยเพคะ ข้าน้อยไม่อาจแก้วิธีสกัดจุดของท่านอ๋องได้เพคะ มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่จะแก้สกัดจุดด้วยตนเองหรือรอเวลาที่กำหนดแล้วก็จะแก้ได้เองเพคะ” ซวงหวนกล่าวด้วยใบหน้าเศร้า

“ไอ้! คน! เลว!”

เสียงแหลมดังก้องผ่านท้องฟ้าอันเงียบสงบเหนือตำหนักจนนกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องแล้วบินหนีไป

หมี่โม่หรู่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงได้ยินเสียงนั้นไม่ชัดเจนนัก เขาเบ้ปากเล็กน้อยแล้วปรับท่าทางและผล็อยหลับไปอีกครั้ง

ในที่สุดเมื่อแสงแดดส่องลงมาบนใบหน้าของฉินปู้เข่อ นิ้วของนางก็ขยับได้เล็กน้อยและแขนของนางก็ห้อยลงมา

“หมี่โม่หรู่ไม่ใช่สุภาพบุรุษ หากข้าไม่แก้แค้นเรื่องนี้ข้าผู้นี้จะเป็นคนเช่นไร…” ฉินปู้เข่อทิ้งน้ำหนักทั้งตัวของนางไว้บนแขนของซวงหวนแล้วปล่อยให้นางลากเข้าไปในห้อง

นางไม่ได้นอนทั้งคืน อีกทั้งแขนขาของนางยังชาหนึบ และทันทีที่นางสัมผัสเตียงนุ่ม ๆ นางก็หลับตาลงทันทีและผล็อยหลับไป

นอนทั้งวันทั้งคืนจริง ๆ

ดังนั้นเมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อมองดูโลก ท้องฟ้าก็ยังคงสว่างอยู่

“พระชายาเพคะ ท่านอ๋องบอกว่าหากท่านตื่นแล้วให้ไปหาท่านที่ห้องอ่านหนังสือเพคะ” ซวงหวนนำน้ำอุ่นมาเช็ดตัวนางอย่างอ่อนโยน

หลังจากแต่งตัวเสร็จ ฉินปู้เข่อก็กัดซาลาเปาอย่างดุเดือด นางเคี้ยวทุกคำพลางคิดว่ามันเป็นเนื้อของหมี่โม่หรู่ เพื่อระบายความโกรธที่สะสมอยู่ในใจของนางในมื้อเช้า

“น้องสะใภ้ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้เจ้าถูกสกัดจุดหรือ?” เสียงเย้ยหยันดังขึ้นมาจากหน้าประตู

ฉินปู้เข่อไม่ได้หันไปมองแต่หยิบซาลาเปาแล้วขว้างไปที่ประตู “ออกไป!”

“อย่าเลย พี่ชายสามมาที่นี่เพื่อปลอบโยนเจ้า” หมี่ฉงหลบ ‘อาวุธที่ซ่อนอยู่’ และกระโดดไปข้างตัวของฉินปู้เข่อ “เจ้าไม่จำเป็นต้องไปห้องอ่านหนังสือหากเจ้าตามข้ามา”

………………………………………………………………………………