ตอนที่ 77 ซูเถาแค่หาผู้ชายดี ๆ

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 77 ซูเถาแค่หาผู้ชายดี ๆ

ตอนที่ 77 ซูเถาแค่หาผู้ชายดี ๆ

เมื่อตงหยางและเถาหยางที่อยู่ข้างหลังเล็กลงไปเรื่อย ๆ ทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถก็เริ่มรกร้างอ้างว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายในดวงตาเต็มไปด้วยทรายสีเหลืองในพื้นที่รกร้างว่างเปล่า

ยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวันก็ได้เข้ามาในเขตที่ไร้ผู้คนแล้ว บางครั้งก็ได้เห็นซอมบี้ธรรมดาสองสามตัวเดินไปรอบ ๆ กับลําไส้ที่ห้อยต่องแต่ง

ซูเถาไม่เคยออกมาจากประตูมาไกลขนาดนี้ และเกือบตลอดสิบแปดปีของชีวิตใช้ไปกับโลกสี่เหลี่ยมในตงหยาง ซึ่งตอนนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่มากสำหรับเธอ หญิงสาวนอนลงข้างหน้าต่างและมองมันอยู่อย่างนั้น

กวานจือหนิงขับรถพลางมองไปที่เธอและพูดว่า “มีอะไรให้น่าสนใจกัน”

ซูเถากล่าว “ทุกสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นก็น่าสนใจหมด”

“ยังต้องใช้เวลาเกือบสองวันกว่าจะไปถึงสถานีแรก ฐานโส่วอัน และตลอดสองวันนี้ก็จะเป็นทิวทัศน์แบบนี้ หวังว่าคุณจะยังรู้สึกว่าน่าสนใจ”

นี่เป็นเครื่องเตือนใจซูเถาว่าเธอมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทําอย่างจริงจัง

ผู้อาวุโสเหม่ยได้มอบหมายให้เธอหาคนคนหนึ่งที่ฐานโส่วอัน ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของผู้อาวุโสเหม่ยเมื่อหลายปีก่อนชื่อ—อู๋เจี้ยนอี้

ตามคําอธิบายของผู้อาวุโสเหม่ย ปีนี้เขาน่าจะมีอายุ 72 ปี และก็ไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

ซูเถาบันทึกข้อมูลของอู๋เจี้ยนอี้ในรายการผู้ที่จะติดต่อทีละรายการ เพื่อเตรียมที่จะสอบถามเมื่อไปถึงฐานโส่วอัน

เวลาประมาณบ่ายโมง ขบวนรถหยุดลงบนถนน ทหารพรานสองคนลงมาตรวจสอบในรัศมีสองกิโลเมตร เมื่อไม่พบอันตรายสือจื่อจิ้นก็ขอให้ทุกคนลงจากรถเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน และอำนวยความสะดวกในการเดินทาง

ในเวลานี้ดวงอาทิตย์ได้อยู่ที่จุดสูงสุดแล้ว ซูเถาเพิ่งลงจากรถปรับอากาศ ถูกลมร้อนพัดมาต้อนรับจนเธอต้องถอยเข้าไปในรถโดยไม่รู้ตัว

อากาศข้างนอกน่าจะประมาณ 40 องศาได้!

กวานจือหนิงกระโดดลงจากรถด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยน “ฉันจะไปเรียกให้พวกพลตรีสือมากินข้าว”

เพื่ออํานวยความสะดวกในการรับประทานอาหาร ซูเถาทำได้เพียงต้องเปิดแอร์ให้มากที่สุด และเปิดประตูรถไว้ และให้หลินฟางจือนำโต๊ะอาหารที่พับได้ออกมาแล้ววางไว้ข้างประตูรถ จากนั้นก็นําน้ำที่แช่เย็นไว้ล่วงหน้าออกจากตู้เย็น และกล่องข้าวที่นํามาจากเถาหยาง

เพราะว่ารู้สึกกังวล จึงนำกล่องอาหารมาทั้งหมดยี่สิบกล่อง วางแผนว่าจะกินหมดภายในสองวัน

นอกจากนี้ยังมีอาหารสุนัขกระป๋องสำหรับเสวี่ยเตา

เมื่อสือจื่อจิ้นมาถึง ได้กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารและอากาศเย็นฉ่ำ จึงทำให้ทุกคนที่มาพากันดวงตาแดงก่ำ

เฉินเทียนเจียวและอีกหลายคนแทบรอไม่ไหวที่จะรีบวิ่งไปเข้า ถอดเสื้อผ้าและเพลิดเพลินกับอากาศเย็นสบาย

“บ้าจริง สบายมากเลย เราอุดอู้กันอยู่ในรถจนแทบจะสุกอยู่แล้ว”

สือจื่อจิ้นในเครื่องแบบทหารเคร่งครัดมีสีหน้ามืดมน “ใส่กลับไป สภาพดูเหมือนอะไรก็ไม่รู้”

หลายคนตกใจและรีบใส่เสื้อผ้ากลับไป พลางเหลือบมองไปยังซูเถาอย่างเขินอาย

พวกเขาทำมันด้วยความเคยชิน เมื่อก่อนผู้หญิงทุกคนในขบวนจะถูกปฏิบัติเหมือนเป็นผู้ชาย พวกเขาจึงลืมไปว่าในขบวนครั้งนี้มีพี่สะใภ้อยู่ด้วย

ซูเถาเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก และส่งกล่องอาหารให้พวกเขา

“กินเถอะ เครื่องดื่มและน้ำอยู่ทางนี้ ไม่ต้องเกรงใจนะ พวกเรามีเยอะมาก”

หลายคนรู้สึกขอบคุณมาก เพราะพวกเขาไม่เคยได้กินอาหารที่มีกลิ่นหอมขนาดนี้และยังมีลมเย็น ๆ เป่ามาแบบนี้เลยสักครั้งที่ออกทำภารกิจ

ซูเถากินและดื่มอย่างมีความสุขที่นี่ แต่ผู้ติดตามคนอื่น ๆ กลับกำลังอิจฉา

ทีมพลาธิการทำโจ๊กข้นซึ่งเป็นอาหารหลัก พร้อมผักอบแห้ง และแป้งทอดไส้เนื้อ อาหารไม่ได้แย่ แต่รสชาติไม่ค่อยดีนัก และไม่มีเครื่องดื่มเย็น ๆ และเครื่องปรับอากาศ

เพื่อนร่วมทีมสะกิดแขนของเจียงจิ่นเวยพลางชี้ไปทางซูเถา

“ฉันบอกแล้วว่าอาหารของพวกเขาต้องดีกว่าของเรา ซ้ำยังมีเครื่องปรับอากาศอีก เมื่อครู่ฉันเดินผ่านยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ก็สัมผัสได้ถึงอากาศเย็น ๆ แล้ว ฉันว่าเธอเข้าไปทักทายดีกว่านะ ไม่แน่อาจจะได้ของดีมาก็ได้”

เพื่อนร่วมทีอีกคนก็คล้อยตาม

“ใช่ ๆ และถ้าเถ้าแก่ซูเป็นน้องสาวของเธอจริง ๆ เธอก็อย่าลืมจะหาโอกาสแก้ไขความสัมพันธ์สักหน่อย บางทีน้องสาวของเธออาจให้เข้าไปอยู่ในเถาหยางก็ได้ ไหนเธอบอกว่าพี่ชายอีกสองสองคนต้องการไล่เธอออกจากบ้านไม่ใช่เหรอ ถ้าเธอ สามีและลูกสาวของเธอไม่มีที่อยู่ขึ้นมาคงจะไม่ดีนะ”

ยิ่งเจียงจิ่นเวยฟังมากเท่าไหร่ใบหน้าของเธอก็ยิ่งแย่มากเท่านั้น

“ฉันเคยบอกไปแล้วว่า เธอแค่เข้าไปอาศัยอยู่ในเถาหยางเพราะมีความสัมพันธ์กับพลตรีสือ ไม่ได้เป็นเถ้าแก่อะไร ใครจะอยู่หรือไม่เธอจะพูดอะไรได้ ทำไมฉันต้องไปเอาอกเอาใจเธอด้วย ถ้าอยากไปพวกเธอก็ไปเองสิ”

พูดแล้วก็โยนโจ๊กที่กินไปครึ่งหนึ่งทิ้ง “รสชาติกระดากปากจริง ๆ”

หลังจากนั้นก็เข้าไปในรถด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี

เพื่อนร่วมทีมพึมพํา “ชิงเกา ถ้าฉันเป็นน้องสาวของเธอฉันก็ไม่อยากรู้จักเธอ”

คนข้าง ๆ ก็มาซุบซิบถามว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องกันจริง ๆ เหรอ ดูไม่เหมือนกันเลย”

เพื่อนร่วมทีมยักไหล่ “ใครจะไปรู้ล่ะ เถ้าแก่ซูนั่นก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักเธอจริง ๆ บางทีเธออาจจะโกหก หรืออาจเป็นเพราะความสัมพันธ์นั้นไม่ดีจริง ๆ”

“ถ้าฉันเป็นเธอ ไม่ว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์จะดีหรือไม่ดี ฉันก็จะหน้าด้านเพื่อเข้าไปกินดีอยู่ดีมีเครื่องปรับอากาศ ถึงตายก็ต้องรักษาหน้าไว้ แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่แบบต้องรับกรรมก็ตาม”

เจียงจิ่นเวยที่อยู่ในรถได้ยินทุกอย่างชัดเจน ดวงตาของเธอเริ่มแดงขึ้นด้วยความโกรธ

เธอไม่เข้าใจ เห็น ๆ อยู่ว่าตอนอยู่ตระกูลซู มีแต่ซูเถาที่ร้องขอเธอมาต้องแต่ยังเป็นเด็ก พูดสิ่งดี ๆ มากมายต่อหน้าเธอ เธอถึงเมตตาให้โต๊ะหนังสือและหนังสือเรียน

หากตนไม่มีความสุขก็ทุบตีและกลั่นแกล้งน้องสาวได้ตามที่ใจต้องการ ยังสามารถคว่ำข้าวของเธอที่เพิ่งกินไปได้ครึ่งหนึ่ง และยังสามารถทำลายข้าวของของเธอได้อย่างไร้ยางอาย

ทำไมตอนนี้เธอถึงต้องไปเอาอกเอาใจซูเถาเพื่อที่จะสามารถมีชีวิตที่ดีได้?

ซูเถาก็แค่พบเจอผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง แล้วกลายเป็นหงส์ภายในชั่วพริบตา?

เมื่อคิดถึงตัวเอง เพราะตนต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีงานทําจริงจัง ไม่สามารถซื้อบ้านได้ แล้วยังหน้าหนาเข้ามาอยู่ในบ้านแม่ยาย จนเธอถูกพ่อโกรธ และพี่ชายอีกสองคนเกลียด

แม้ที่ต้องเข้าร่วมกองทัพ เขาก็อยากให้เธอซึ่งเป็นภรรยาที่ต้องดูแลลูกไปแทน ไม่กล้าที่จะไปด้วยตัวเอง พูดมาถึงตอนนี้ก็คือชีวิตของเจียงจิ่นเวยไม่ดีเลย เจอผู้ชายที่น่าผิดหวัง ทำให้เธอไม่ได้มีชีวิตที่ดีเหมือนซูเถา

ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ เธอจึงนอนลงในรถและร้องไห้อย่างชอกช้ำใจ

เพื่อนร่วมทีมเองก็ไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด เอาแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง มีเพียงหัวหน้าทีมเท่านั้นที่ทนไม่ไหว เปิดประตูพูดด้วยสีหน้ามืดมน

“ลงมาทํางาน กินเสร็จแล้วก็ขึ้นรถเธอคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงมาเที่ยวพักร้อนเหรอ?”

เจียงจิ่นเวยทรุดตัวลง เชิดใบหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตา และตะโกนใส่หัวหน้าทีม

“ฉันก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว พวกคุณยังมารังแกฉันอีก ฉันไปยั่วยุพวกคุณตอนไหนกัน!”