ตอนที่ 78 ของฉัน อย่ากินเลย ฉันขอร้องล่ะ

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 78 ของฉัน อย่ากินเลย ฉันขอร้องล่ะ

ตอนที่ 78 ของฉัน อย่ากินเลย ฉันขอร้องล่ะ

หัวหน้าทีมพลาธิการโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“เธอเป็นอะไรของเธอ มีอะไรที่เธอไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่มบ้าง ทำตัวเหมือนกับว่าคนอื่นรังแกเธอไปหมด ร้องห่มร้องไห้ทั้งวัน เอาแต่โยนงานให้คนอื่นทํา เธอไม่คิดบ้างเหรอว่าเธอเพิ่มภาระให้เพื่อนร่วมทีมของเธอแค่ไหน!”

“ทีมของเราตกหลั่งเลือดมาแปดชีวิตแล้ว เพื่อปูทางให้คนแบบเธอ”

เจียงจิ่นเวยร้องไห้ดังขึ้นไปอีก

หัวหน้าทีมพลาธิการยิ่งโกรธเคือง “เธอเบาเสียงหน่อยได้ไหม! นี่ที่ไม่ใช่ตงหยาง มันสามารถดึงดูดซอมบี้มาได้ตลอดเวลา!”

ไหนเลยเจียงจิ่นเวยจะสนใจอะไรอีก เธอร้องไห้จนหายใจไม่ออก

ดึงดูดทุกสายตาให้มองไป

ซูเถาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเธอก็หันไปทางนั้นเช่นกัน แต่เพราะอยู่ห่างกันจึงได้ยินไม่ชัดเจนว่ากำลังโต้เถียงอะไร

กวานจือหนิงยืนขึ้นและเดินไปด้วยสีหน้าดุดัน

“มีผู้หญิงเยอะก็น่ารําคาญ”

แน่นอนว่าไม่นานหลังจากที่เธอเดินไป สถานการณ์วุ่นวายทางทีมพลาธิการก็เงียบลง

ขบวนรถเดินทางต่อไปตามท้องถนน ระหว่างทางได้พบการจู่โจมของซอมบี้เป็นระลอกเล็ก ๆ เหล่าซอมบี้ผู้หิวโหยราวสิบกว่าตัวที่พุ่งเข้ามาด้วยดวงตาสีแดงเมื่อพวกมันได้กลิ่นผู้คนที่ยังมีชีวิต

สือจื่อจิ้นไม่ได้ลงจากรถ และสั่งให้คนเพียงสามคนเท่านั้นที่ลงไปจัดการ เสียงปืนและเสียงคำรามของซอมบี้ดังกึกก้องขึ้นพร้อมกัน

ซูเถาอยากจะดูขั้นตอนทั้งหมด แต่กลับถูกกวานจือหนิงดึงผ้าม่านลงมา

“อย่าอยากรู้อะไรไปซะหมด ระวังคืนนี้จะนอนไม่หลับ”

ซูเถาทำได้เพียงฟังเสียงการเคลื่อนไหวของภายนอกที่ค่อย ๆ เบาลง แล้วถามอย่างกังวลว่า

“มันจบแล้วเหรอ? มีใครได้รับบาดเจ็บหรือตายไหม?”

จากนั้นเธอก็หันไปปลอบหลินฟางจือ เพราะกลัวว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะกลัว

แต่ไม่คิดเลยว่าดูเหมือนว่าหลินฟางจือจะคุ้นเคยกับอันตรายแบบนี้แล้ว อย่าว่าแต่กลัวเลย เขาไร้ความรู้สึกใด ๆ เช่นเดียวกับตอนกินข้าวและตอนนอน

ซูเถากลืนคําพูดปลอบประโลมกลับเข้าไปในท้องของเธอ

เธอเกือบลืมไปว่าเด็กคนนี้โตมาอย่างอดทนต่อความยากลำบากทุกรูปแบบจากภายนอก

กวานจือหนิงฟังวิทยุสื่อสาร และพูดอย่างใจเย็น

“ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว แค่สัตว์ร้ายสองสามตัว ยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ถนนจากตงหยางของเราไปยังฐานโส่วอันนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ถูกจัดการไปหลายตัวแล้ว แต่ซอมบี้ส่วนใหญ่ซ่อนตัวอยู่ และยังมีซอมบี้วิวัฒนาการที่ฉลาดอีก และพวกมันมักจะวิ่งไปยังที่ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่น้อย”

ได้ยินแบบนั้นซูเถาจึงรู้สึกเบาใจลง

“แต่อย่ามองโลกในแง่ดีเกินไปนะ เพราะถนนที่เราออกจากฐานโส่วอันสู่ฉางจิงนั้นโหดที่สุด ระยะทางก็ไกล มีสถานีเสบียงไม่กี่แห่ง มีเมืองที่ร้างมากมาย ซึ่งมันเอื้อต่อการหลบซ่อนตัวของซอมบี้และมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดในทุกเส้นทางของภารกิจ”

ซูเถาสร้างเงื่อนไขให้กับตัวเอง และพยักหน้า

“เข้าใจแล้ว ถ้าตะวันตกดินฉันจะไม่ลงจากรถ และไม่ทําให้คุณเดือดร้อน”

ตลอดทางจนตกกลางคืน ขบวนรถก็หยุดอีกครั้งเพื่อจัดระเบียบ และไม่ได้พบเจอกลุ่มซอมบี้มากกว่าห้าตัวอีก ทิวทัศน์โดยรอบก็ไม่แตกต่างกันมากนัก

อาหารเย็นเป็นอาหารที่ทีมเสบียงแจกให้ อาหารหลักคือ ขนมปังขนาดเท่ากำปั้นและผักแห้งที่ปิดสนิทหนึ่งห่อ ซึ่งต้องแช่ในชามน้ำ โรยด้วยเครื่องปรุงรส และกินคู่กับขนมปัง

ซูเถารู้สึกว่ามันแห้งฝืดคอเล็กน้อย แต่สําหรับชายร่างใหญ่ก็ถือว่าเป็นอาหารที่น้อยมาก ดังนั้นเธอจึงยัดนมหกขวด และขนมปังไส้ไก่หกห่อลงในกระเป๋าถือ และขอให้กวานจือหนิงนำไปส่งให้สือจื่อจิ้นและคนอื่น ๆ

ก่อนออกเดินทางผู้เช่าได้มอบเสบียงให้เธอมากมาย เช่น ขนมปังไส้ไก่ ไส้กรอกแฮม บิสกิต ลูกเดือย ข้าว แป้ง และอื่น ๆ อีกมาก

ซูเถานํามาด้วยทั้งหมด และเสบียงที่ผู้เช่ามอบให้ก็สามารถให้คนยี่สิบคนพอกินได้เป็นเดือน ๆ ยังไม่รวมถึงข้าวกล่อง บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป เครื่องดื่ม น้ำมันพืชที่มีน้ำหนักสี่สิบกิโลกรัม

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสําหรับสองเดือนทั้งไปและกลับ

มันจะดีมากถ้าสามารถซื้อตู้ขายของอัตโนมัตินอกเมืองเถาหยางได้ จะได้ไม่ต้องนำเสบียงจำนวนมากติดตัวมาไปด้วย

ระหว่างทางที่ออกมาจากพื้นที่จัดการของเถาหยาง ซูเถาเคยลองแล้ว แต่เครื่องจำหน่ายอัตโนมัติไม่ทำงาน และไม่สามารถเติมของได้ ทั้งยังไม่สามารถเชื่อมต่อได้

ทีวีที่ซื้อจากร้านของตกแต่งบ้านเสียบปลั๊กแล้วก็ใช้งานได้ แต่ว่ามันไม่มีสัญญาณ ทำได้เพียงเปิดเล่นวิดีโอออฟไลน์ในเครื่องมือสื่อสาร โดยใช้ฟังก์ชันแชร์ภาพหน้าจอ

ดูเหมือนว่าหากออกมาจากขอบเขตการจัดการของเถาหยางแล้ว ผลิตภัณฑ์อัจฉริยะมากมายต่างก็ไม่สามารถใช้งานได้

ซูเถาจึงแขวนทีวีไว้ที่หน้าต่างด้านหลังของรถและดูวิดีโอออฟไลน์กับหลินฟางจือและเสวี่ยเตา เพื่อฆ่าเวลา

เครื่องมือสื่อสารของเธอก็ไม่มีอะไรให้ดู เธอมีการ์ตูนเพียงไม่กี่เรื่องที่เธอดาวน์โหลดเก็บไว้กล่อมเฉินซีและเฉินหยาง เพื่อปล่อยให้ทั้งสองคนดูไปโดยไม่รบกวนการทำงานของตนกับจวงหว่าน

ในเวลานี้สิ่งนี้ถือว่ามีประโยชน์มาก เพราะหลินจือฟางให้ความสนใจมันมาก เขานั่งดูนิ่ง ๆ ด้วยดวงตาเบิกกว้าง

กวานจือหนิงและสือจื่อจิ้นยังมาไม่ถึงประตูรถก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ จากนั้นก็เห็นทั้งสองคนปรับเบาะให้ราบ เปิดเครื่องปรับอากาศ ห่มผ้าห่มบาง ๆ ในมือก็ถือคุกกี้และลูกอมไว้

สุนัขเพียงตัวเดียวก็ยังได้กินอาหารกระป๋องและนอนหาวอย่างสบายใจ

กวานจือหนิงพูดกับสือจื่อจิ้นอย่างเคร่งขรึม

“พฤติกรรมแย่จริง ๆ พลตรีฉันสาบานได้เลยว่า ฉันไม่ได้เข้าร่วมด้วย”

ซูเถายื่นขนมและคุกกี้ให้พวกเขา “กินไหม?”

เมื่อหลินฟางจือได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเขาที่จ้องมองหน้าจอก็หันไปจับจ้องที่ชามขนม ใบหน้าราวกับเขียนอักษรไว้ว่า ‘ของผม อย่ากิน ขอร้องล่ะ’

สือจื่อจิ้นทำได้เพียงแสร้งเป็นมองไม่เห็น แต่คนที่ไม่ชอบขนมหวานอย่างเขากลับแกะเปลือกขนมออกและโยนเข้าปากทันที

“ดูจบแล้วก็รีบเข้านอนซะ”

จากนั้นเขาก็พูดกับหลินฟางจือที่ใบหน้าดูไม่พอใจและน่าสงสาร

“ดูจบแล้วนายก็ไปนอนที่เบาะข้างคนขับ ไม่ต้องมานอนด้านหลัง”

ซูเถากระแทกประตูรถ “คุณรีบไปเถอะ”

สือจื่อจิ้นกลับไปที่ด้านหน้าของรถ เฉินเหล่าเอ้อร์และคนอีกสองสามคนเพิ่งกินอาหารเสร็จ และเหล่าชายชาญกินเสร็จก็ไม่ได้สนใจ ทิ้งพวกนั้นให้เป็นขยะ และเรียกทีมพลาธิการมาทําความสะอาด

เมื่อสือจื่อจิ้นเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในทีมพลาธิการก็รู้สึกคุ้นตา มองอยู่นานถึงจำได้ว่าเป็นคนจากตระกูลซู

เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป แต่กลับเป็นตั่งซิ่งเหยียนตะโกนออกมาอย่างปากพล่อย

“ฉันเคยเจอเธอใช่ไหม อ๋อ ๆ จำได้แล้ว คนที่ถูกเหล่าต้าของกองพลที่สามไล่เตะใช่ไหม”

เมื่อเขาพูดแบบนี้ เฉินเทียนเจียวก็จําได้ขึ้นมา

เดิมทีผู้หญิงคนนี้ทํางานด้านพลาธิการให้กับกองกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ของกองพลที่สามและเชี่ยวชาญในการกู้คืนอุปกรณ์ของคนตาย

ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะกลัวจริง ๆ หรือเสแสร้ง เธอกระโจนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของผู้นํากองพลและร้องไห้

ใครจะไปรู้ว่าผู้นํากองพลไม่ได้ใส่ใจเลย แถมยังเตะเธออีกด้วย

ต่อมาเรื่องนี้ก็โด่งดังขึ้นมา

เจียงจิ่นเวยหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอถูกเปิดเผยแล้ว และอารมณ์ที่มั่นคงเมื่อครู่ของเธอก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง สิ่งของก็ยังไม่ได้ทำความสะอาดแต่วิ่งร้องไห้ออกไปแล้ว

ตั่งซิ่งเหยียนเกาหัวแกรก ๆ

สือจื่อจิ้นพูดไม่ออก และโบกมือ

“ถ้ามีอะไรทำก็ทำไป แต่ถ้าไม่มีอะไรทำก็พูดให้น้อยหน่อย”

ซูเถาได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงโต้เถียงกันดังมาจากรถของทีมพลาธิการอีกครั้ง

กวานจือหนิงลงจากรถอีกครั้งด้วยสีหน้าดุดัน

“ฉันบอกไปหมดแล้วว่า สถานที่เปิดโล่งแบบนี้หากมีเสียงมนุษย์จะดึงดูดซอมบี้ได้มากที่สุด ทำเหมือนคำพูดฉันเป็นเสียงผายลมเหรอ”

คราวนี้ซูเถาได้ยินอย่างชัดเจนว่าเป็นเจียงจิ่นเวยที่กําลังร้องไห้

เฮ้อ ช่วยด้วย

ความสงบกลับคืนมาอีกครั้งและถึงเวลาเปลี่ยนกะ ขบวนรถเริ่มเดินทางอีกครั้งในตอนกลางคืน

ซูเถาปิดทีวี และไล่ให้หลินฟางจือไปนอนในมิติ

หลินฟางจือที่ยังดูไม่เต็มอิ่มก็เข้าไปในมิติอย่างไม่พอใจ

เมื่อเห็นว่าเขาหายตัวไปแล้ว ซูเถาก็นอนลงและคลุมผ้าห่มเพื่อเปิดแผงระบบ

หากไม่มีสัญญาณบนท้องถนนก็เป็นไปได้ยากที่จะทราบสถานการณ์ของเถาหยางจากจวงหว่าน แต่โชคดีที่ระบบยังสามารถตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์

หลังจากเติมเครื่องจําหน่ายสินค้าอัตโนมัติต่าง ๆ ด้วยคลิกเดียว และจ่ายค่าสาธารณูปโภคตลอดทั้งเดือนพฤษภาคม รวมแล้วมากกว่า 5,300 เหลียนปัง