บทที่ 32 คนที่คุ้นเคย
แม่เฒ่าเหยากำชับกับเหยาซูว่าพรุ่งนี้จะต้องซื้อของอะไรบ้าง แล้วพูดกับลูกสะใภ้ทั้งสองว่า “พรุ่งนี้อาจวนช่วยข้ากวาดลานบ้าน ส่วนอาเว่ยนำเสื้อผ้าที่ควรซักในบ้านออกมา ควรซักล้างแล้วเอาออกมาตากแดด…”
วันขึ้นปีใหม่ของทุกปีก็เป็นเช่นนี้ พี่สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาคุ้นชินกลับคำสั่งของแม่สามี ในขณะที่เหยาซูนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ รู้สึกเพียงว่าผู้เป็นมารดานั้นทำงานอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและจัดแจงทุกคนได้อย่างชัดเจน
นางอดคิดไม่ได้ว่า…
หากตนพาลูก ๆ ออกไปอยู่ตามลำพัง จะจัดการบ้านให้เหมาะสมเช่นนี้ได้หรือไม่?
แม้ว่านางจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเมืองสองสามวันที่ผ่านมา แต่นางก็ได้ยินคำพูดที่ไม่ดีบางอย่างในหมู่บ้านตระกูลเหยา
ในยุคสมัยนี้ลูกสาวที่แต่งงานไปแล้วแล้วพาลูก ๆ กลับมาอาศัยที่บ้านเดิมนานวันเข้าก็จะมีคนนินทา
พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ได้อย่างไร เพียงทว่าไม่อยากทำให้ครอบครัวของตัวเองลำบากเพียงเพราะเรื่องซุบซิบนินทาของผู้อื่น
แต่เหยาซูย่อมคิดถึงบิดามารดาพร้อมพี่ชายและพี่สะใภ้ของนางเสมอมา ในขณะที่หญิงสาวอาศัยอยู่ในตระกูลเหยา นางก็รู้สึกเสียใจมาก
ตอนนี้นางมีเงินอยู่ในมือแล้วย่อมคิดที่จะย้ายออกไปอยู่ตามลำพัง เพียงแต่คำพูดนี้เกรงว่าปีหน้าจะต้องแอบหาบ้านดี ๆ และค่อย ๆ คุยกับบิดามารดา
….
วันรุ่งขึ้นเหยาเฟิงและเหยาซูได้พาเด็ก ๆ ทั้งสี่คนเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้า
แม้ในวันนี้จะไม่ใช่วันขึ้นปีใหม่ ทว่าเนื่องจากใกล้สิ้นปีแล้ว ในเมืองจึงมีสินค้าปีใหม่ขายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นกิจการร้านผ้าตระกูลเหยาเองก็ดีขึ้นเช่นกัน
เหยาเฟิงและเหยาซูพาเด็ก ๆ ไปที่ร้านผ้าตระกูลเหยา ดื่มชาพูดคุยกับเถ้าแก่หลิวเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของพวกเขาก่อนที่จะไปเดินซื้อของปีใหม่
เมื่อเดินไปตามถนน ดวงตาของเหยาต้าหลางและเหยาเอ้อหลางก็ติดอยู่กับร้านค้าและแผงลอยที่ครึกครื้น พวกเขากระโดดโลดเต้นมองซ้ายทีขวาทีและยังคงมองไปเรื่อย ๆ
กว่าจะมาถึงเมืองได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญ เหยาซูจึงไม่ได้เหนี่ยวรั้งเด็ก ๆ ไว้ข้างกาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามความปลอดภัยก็ต้องมาเป็นอันดับแรก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเหยาซูก็พูดอย่างจริงจังว่า “ต้าหลาง เอ้อหลาง มาช่วยอาได้หรือไม่”
เมื่อเด็กทั้งสองคนได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากัน เมื่อเห็นท่าทางของเหยาซูก็อดไม่ได้ที่จะเงียหูฟังอีกครั้ง “ท่านอาท่านพูดว่าอย่างไรนะ…”
เหยาซูยิ้มบาง ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ต้าเป่า และ เอ้อเป่า เคยมาในเมืองเพียงครั้งเดียว แค่อาคนเดียวเกรงว่าจะดูพวกเขาสองคนได้ไม่ทั่วถึง ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสองช่วยอาดูน้อง ๆ ไม่ให้หลงทางตกลงไหม? โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องสาวที่ยังเด็กมาก พวกเจ้าต้องดูแลนางให้ดี”
เด็กทั้งสองคนรู้สึกว่ามีภาระสองชิ้นบนไหล่ของพวกเขาแม้ว่าจะไม่หนัก ทว่าก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเดินช้าลง
“ไม่มีปัญหาขอรับ”
“ท่านอาวางใจเถอะ พวกเราจะดูแลน้อง ๆ เอง”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาตอบตกลงอย่างจริงจัง เหยาซูดึงอาจื้อและอาซือจากนั้นพูดกับพวกเขาว่า “ไปเล่นกับลูกพี่ลูกน้องเถอะ จำคำที่แม่พูดเอาไว้อย่าแยกจากกัน จงยืนอยู่ในตำแหน่งที่แม่มองเห็นเสมอ”
พวกเขาพยักหน้า
อาจื้อจึงจูงน้องสาวเดินไปหาญาติผู้พี่ทั้งสองคน
หลังจากนั้นต้าหลางและเอ้อหลางก็หันมาสนใจน้องชายและน้องสาวมากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะเดินอย่างสนุกสนาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
อาจื้อและอาซือเป็นเด็กที่รู้ความ แน่นอนว่าย่อมไม่วิ่งเถลไถลไปไหน
แผนการของเหยาซูก็คือแท้จริงแล้วนางกลัวว่าหลานชายทั้งสองคนจะเล่นสนุกจนเกินไปและหายไปจากสายตาของนาง นอกจากนี้อาจื้อยังเคยชินกับการดูแลน้องสาว ดังนั้นนางจึงวางใจมอบอาซือให้เขาดูแล
เมื่อเหยาเฟิงเห็นเด็กทั้งสี่คนเดินด้วยกัน เขาก็เงียบไม่บ่นอะไรอีก และหันมาคุยกับเหยาซู “ข้าอยากจะให้พี่สะใภ้ทั้งสองของเจ้าได้มาเห็น! เมื่อก่อนตอนพาเด็กทั้งสองมาเที่ยวเล่นในเมือง ผู้ใหญ่สามคนยังไม่สามารถดูแลพวกเขาได้ ทว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสี่คนไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแลอีก”
เหยาซูยิ้มและกล่าวว่า “ต้าหลางและเอ้อหลางอายุพอ ๆ กัน แม้จะเรียกว่าเป็นพี่น้องกัน ทว่าเหมือนกับเพื่อนเล่นกันมากกว่า หากพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันเป็นไปได้ว่าจะวิ่งไปทั่วเมือง แต่ตอนนี้พวกเขามีน้องชายและน้องสาวมาด้วยแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะดูแลน้อง ๆ แล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิงประหลาดใจและตระหนักได้ทันที “เพราะแบบนี้นี่เอง”
เด็ก ๆ เดินนำหน้าเหยาเฟิงและเหยาซูที่กำลังซื้อของที่จำเป็นสำหรับปีใหม่ สองพี่น้องเดินไปและซื้อของด้วยกัน เหยาเฟิงมองไปก็บ่นไปว่าอักษรคู่ที่เขียนอยู่บนแผงลอยนั้นไม่สวยงามเอาเสียเลย
เหยาซูยิ้มพลางกล่าวว่า “เหตุใดเราไม่ซื้อกระดาษแล้วให้พี่รองเขียนล่ะ เขาเก่งเรื่องอักษรเป็นอย่างมากไม่ใช่หรือ!”
“ในวันขึ้นปีใหม่ มีงานมากมายเกี่ยวกับการตรวจตราในเมืองเพราะมีคนมากมายเข้ามาในในช่วงเวลานี้ พี่รองของเจ้ายุ่งมาก หากสามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ เขาก็จะสามารถเขียนอักษรได้หลายภาพเช่นกัน”
เหยาเฟิงเดินไปและพูดไปรอบ ๆ แผงขายกระดาษ พวกเขาวางแผนที่จะซื้อกระดาษสีแดงเพื่อไปตัดเอง
เหยาซูยิ้มพลางพูดว่า “สงสัยต้องไปจับพี่รองมาเขียนอักษรมงคลให้ได้!”
เจ้าของร้านรู้จักกับสองพี่น้องตระกูลเหยาดี เมื่อได้ยินว่าเหยาเฉาสามารถเขียนอักษรโชคลาภได้เขาจึงกล่าวทักทาย “คุณชายใหญ่เหยา คุณหนูเหยา สวัสดีขอรับ! ร้านของเรามีกระดาษสีแดงที่ตัดเสร็จแล้วสามารถนำกลับไปเขียนได้… เมื่อรวมกับผงทองมันจะงดงามยิ่ง”
เหยาเฟิงเลือกของหลายอย่างตามคำแนะนำของเจ้าของร้าน “หากพี่รองของเจ้าไม่ยอมเขียน ข้าจะให้อาซูเป็นคนเขียน แต่คนที่มีลายมือที่ดีที่สุดในตระกูลของเราก็คือท่านพ่อ…”
ยังพูดไม่ทันจบพวกเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของคนหลายคนเดินเข้ามาหาพวกเขา
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เป็นวิธีเลี้ยงเด็กที่แยบคายมากค่ะอาซู
ใครมาหากันนะ
ไหหม่า(海馬)