บทที่ 33 บ้านสามีทำเกินไป

เหยาเฟิงนึกไม่ออกว่าหญิงชราผมขาวผู้นี้คือใคร เพียงแต่รู้สึกว่าใบหน้าของนางนั้นดูบิดเบี้ยวและยุ่งเหยิง ไม่น่าคบหา

แต่สตรีผู้นั้นกลับเดินตรงมาหาเหยาซูแล้วกลอกตาพลางยิ้มเยาะ “นึกว่าคุณหนูบ้านใด แค่นี้ก็จำข้าไม่ได้แล้วหรือ”

เมื่อเหยาเฟิงนึกขึ้นมาได้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร ความรู้สึกขยะแขยงพลันผุดพรายไปทั่วทั้งร่าง

เหยาซูยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมรอยยิ้ม แต่เมื่อเห็นสตรีนางนี้สีหน้าของนางก็เจื่อนลงและกล่าวเพียงว่า “ท่านแม่”

นางลอบถอนหายใจ เหตุใดตนถึงออกจากบ้านมาวันนี้กัน? ทำให้นางต้องมาเจอแม่หวังซึ่งเตรียมตัวจะก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้

“ข้าไม่กล้าหรอก” เสียงของแม่หวังเฉียบคมแม้แต่น้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความอึดอัด “คำพูดของคุณหนูตระกูลเหยาเป็นสิ่งที่หญิงชราอย่างข้าไม่กล้าที่จะรับ? ข้าคิดว่าคุณหนูตระกูลเหยาคงย้ายมาอยู่ในเมือง และออกซื้อของเที่ยวเล่นทุกวัน ว่าแต่ทิ้งหลานของข้าไว้ที่ใดรึ?”

หลายคนที่ผ่านไปมาต่างจ้องมองเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ว่าเหยาซูไม่อยากจะปะทะฝีปาก ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งเรื่องใดตนเองก็ไม่อาจยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ได้

เดิมทีนางรู้สึกท้อแท้ แต่พอได้ยินแม่หวังพูด ก็ถูกเจตนารมณ์ต่อสู้ดึงขึ้นมาในพริบตา ยิ่งนางได้พบคนชั่วร้ายที่ไร้เหตุผลมากเท่าไร เหยาซูก็ยิ่งดูอ่อนโยนและสุภาพมากขึ้นเท่านั้น

นางชะงักไปครู่หนึ่งราวกับไม่เข้าใจคำพูดชั่วร้ายของแม่หวัง หญิงสาวเพียงแค่พูดว่า “ท่านแม่ท่านพูดเรื่องอะไร วันนั้นข้าให้กำเนิดซานเป่า ฐานะทางบ้านก็ไม่ดี แม้แต่ไข่ไก่ฟองเดียวก็ไม่ให้กิน ข้าจึงไม่มีทางเลือกพาลูกทั้งสามกลับบ้านเกิด…”

ก่อนที่นางจะพูดจบเหยาเฟิงก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “พูดจาไร้สาระอันใดกัน ตระกูลหลินของพวกเจ้ารังแกนางและลูก ๆ ของนาง อาซูเจ้าอย่าไปใจดีกับคนเช่นนี้นัก! ตอนที่กลับมาร่างกายของเจ้าผอมโซ เมื่อท่านแม่เห็นเจ้า นางได้แต่ร้องไห้อยู่หลายคืน!”

เหยาซูอยากจะยกนิ้วให้สหายร่วมกลุ่มอย่างพี่ใหญ่ ทว่าใบหน้าของนางยังคงเรียบเฉยแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่ ท่านอย่าพูดเช่นนั้นเลย…”

แม่หวังรู้เพียงว่าลูกสะใภ้ของนางอ่อนแอและสามารถรังแกได้ ตอนนี้เมื่อนางต้องเผชิญหน้ากับลูกสะใภ้อีกครั้ง และลูกสะใภ้ของนางแสดงออกถึงความหวาดกลัว นางยิ่งไร้ยางอายมากยิ่งขึ้น จึงพูดเสียงดังเถียงเหยาเฟิงออกไปว่า “ใครรังแกนาง? เจ้าพูดดี ๆ นางนั้นงานการก็ไม่ทำ ให้ทำไร่ทำนาก็ไม่ทำ มีแค่นางที่คลอดลูกเป็นคนเดียวหรือ?”

แม่โจวลูกสะใภ้คนรองที่อยู่ด้านข้างก็ช่วยพูดเช่นกัน “ใช่แล้ว! ก็แค่เรียกมาทำอาหารเท่านั้น ถึงกับหอบลูกกลับบ้านแม่! ทำยังกับเป็นคุณหนูใหญ่ อีกทั้งยังอารมณ์ฉุนเฉียว..”

เหยาเฟิงพูดอย่างโกรธเคืองว่า “น้องสาวของข้าเพิ่งคลอดลูก! ท่านหมอบอกว่านางเสียเลือด! หากไม่ใช่เพราะกลับบ้านเกรงว่านางคงจะถูกคนบ้านเจ้าฆ่าตายเป็นแน่!”

แม่หวังเป็นชาวบ้านชนบท สิ่งที่นางไม่กลัวมากที่สุดก็คือการทะเลาะวิวาท เมื่อเห็นสองพี่น้องเป็นเช่นนี้ แม่หวังจึงยืนเท้าสะเอว เสียงของนางดังเพิ่มขึ้นอีก 8 ระดับ และเอ่ยวาจาสกปรกออกมา “จะตายงั้นหรือ เหตุใดเจ้าไม่พูดถึงว่านางทำอะไรกับบ้านของเราเอาไว้ นางทำให้ลูกชายของข้าตาย หากนางตายก็ดี! นางยังพาหลานชายของตระกูลหลินกลับไปตระกูลเหยาอีกด้วย! วัน ๆ ไม่สนใจลูก มาร่อนอยู่ในเมืองขายชาดทาแก้ม เป็นเรื่องที่คนเป็นแม่สมควรทำแล้วหรือ?”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจเหตุการณ์ทันที คนอื่น ๆ คิดว่าหญิงสาวตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ยังไม่มีสามี แต่กลายเป็นว่านางได้ทุกข์ทรมานอย่างมากเมื่ออยู่บ้านสามี จนกระทั่งทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงพาลูก ๆ กลับบ้านเก่า

เมื่อมองไปที่เหยาเฟิงและเหยาซู คนหนึ่งที่ดูสุภาพเรียบร้อยและอีกคนอ่อนโยนงดงาม ตอนนี้พี่ชายของนางโกรธจัดจนหน้าแดงก่ำ แต่นางก็ยังไม่สูญเสียความสง่างาม นางยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ นิ่งเฉย ดวงตาแดงระเรื่อปฏิเสธที่จะพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับบ้านสามี

ตรงกันข้ามกับแม่สามีอย่างแม่หวัง กลับพูดจาทิ่มแทง หยาบคายอย่างไร้เหตุผลนับว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แม้ว่าในยุคสมัยนี้จะมีข้อบังคับมากมายเกี่ยวกับสตรีที่แต่งงานแล้ว แต่สถานการณ์ในตอนนี้ คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าบ้านสามีนั้นทำกับหญิงสาวมากเกินไป

…………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจอพายุลมแรงต้องเป็นต้นอ้อลู่ลมถูกแล้วค่ะ พยายามเป็นนางเอกในสายตาคนอื่น จะได้มีพวกอีกหลาย ๆ คน

ไหหม่า(海馬)