ไม่รู้ทำไม จู่ๆชั้นก็สามารถมองเห็นโลกของ”บุปผานิรันดร์ร่วงโรย” หรือก็คือโลกของเกมที่ชั้นคุ้นเคยได้ ในตอนที่เห็นเวอร์เนลและแมรี่กำลังตกที่นั่งลำบาก ชั้นก็คิดขึ้นมาแบบว่า ถ้าแค่ชั้นอยู่ตรงนั้นนะ! อะไรงี้ แล้วก็โดนวาร์ปมาที่นี่เฉยเลย นี่ตูยังงงอยู่เลยนะเนี่ย

นี่ชั้นใช้เวทย์เทเลพอร์ตโดยที่ไม่รู้สึกตัวรึเปล่า? แต่ก็ไม่น่าใช่ ขนาดชั้นเองนี่ จะให้เคลื่อนย้ายข้ามโลกแบบนั้นก็ยังถือว่าเกินมือ

ตั้งแต่แรกแล้ว โดยปกติแล้วถ้าใครก็ตามที่ไม่ใช่แม่มดใช้เวทย์เทเลพอร์ต ก็คงไม่รอดกลับมาด้วยซ้ำ เป็นสกิลขยะดีๆนี่เอง

แต่ไหนๆก็มาแล้ว ชั้นเลยได้โชว์เหนือกระทืบพวกปีศาจเล่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แล้วก็โดนเวอร์เนลถามว่าเป็นพระเจ้ารึเปล่า? แต่พอบอกชื่อตัวเองไปปุ๊บ บรรยากาศก็มาคุขึ้นมาทันทีเลย

จิตสังหารที่แผ่ออกมาจากสายตาของเวอร์เนลนี่ไม่ใช่เล่นๆเลยนะเนี่ย จะว่าไป เวอร์เนลฝั่งนี้จะไม่ต่างจากเวอร์เนลที่ชั้นรู้จักมากไปหน่อยเรอะ? ไอ้หมอนี่ใครเนี่ย? อย่างกับคนละคนกันเลย ระดับนี้นี่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนลุคแล้วมั้ง

เอาจริงๆเวอร์เนลในเกมนี่ก็ไม่ได้มีคาแรคเตอร์แบบตายตัวน่ะนะ อยู่ที่ว่าผู้เล่นเลือกตัวเลือกไหนบ้าง อุปนิสัยของตัวเอกก็จะโดนเปลี่ยนไปตามนั้น

แต่นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะเนี่ย จากกับผ่านโลกาวิบัติมาอะไรแบบนั้นเลย

พอลองดูดีๆนี่ก็ใช่ว่าจะไม่หลงเหลือเค้าเดิมอยู่เลยอ่ะนะ ก็แค่ขมวดคิ้วบ่อยจนดูเหมือนหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาอะไรประมาณนั้นเอง

ยิ่งกว่านั้นตากับแขนยังหายไปอย่างละข้าง แถมแรงกดดันนี่ก็ไม่น้อยเลยนะ

เมื่อกี๊ยังจัดการมิโนทอร์ได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียวอยู่เลย ถึงเจ้าตัวนั้นจะไม่ถึงกับเป็นระดับบอสก็เถอะ แต่ก็มีความสามารถราวๆมินิบอสเลยนะ นี่มาถึงขั้นนี้ได้ยังไงเนี่ย?

ขนาดในโลกชั้นเอง มิโนทอร์ก็ยังถือเป็นปีศาจระดับสูงที่รับใช้อเล็กเซียอย่างใกล้ชิดเลย

แต่จัดการฆ่ามันได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียวนี่…ไม่ต้องสงสัยเลย เวอร์เนลซังคนนี้นี่ต้องเลเวลตันไปแล้วแน่ๆ

ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ เค้าน่าจะจัดการอเล็กเซียได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างสบายๆเลย

เออใช่ แต่ตอนที่ชั้นฮีลให้เค้านี่ ชั้นตั้งใจไม่รักษาตากับแขนให้นะเออ

ถ้าให้พูดแบบเมต้าหน่อยล่ะก็…พอพวกตัวละครเบียวๆแบบนี้ขาดสิ่งที่ทำให้ดูเบียวไป ก็จะกากลง…ล้อเล่นน่ะ แต่ถ้าชั้นรักษาเค้าแบบหายเป็นปลิดทิ้งนี่ มันก็จะน่าสงสัยใช่มั้ยล่ะ มันไม่ใช่อะไรที่ใครจะทำได้นี่นา

ถ้าจะให้เดาล่ะก็ นี่คงจะเป็นเวอร์เนลซังหลังจากจบเนื้อเรื่องหลักของเกม…เป็นเนื้อเรื่องหลังจบรูทเอเทอร์น่า

ก็เป็นไปได้ที่จะเป็นรูทอื่นน่ะนะ เอาจริงๆไม่ว่ารูทไหนก็น่าจะมาจบที่”แม่มด”ตัวนี้กันหมด แต่จริงๆจะรูทไหนก็ช่างเถอะ

สิ่งสำคัญก็คือ คนคนนี้รู้จักกับเอลริส(ตัวจริง) และมองเธอเป็นศัตรูอย่างแน่นอน

มีโอกาสที่เขาจะพุ่งเข้าโจมตีชั้นอยู่นะเนี่ย

จะให้โกหกเรื่องชื่อไปก็คงได้แหละ บอกไปว่าชื่อ ฟุโดว นิอิโตะยังได้เลย แต่แบบนั้นมันอาจจะทำให้มีปัญหาภายหลังได้

บอกไปตั้งแต่แรกนี่แหละ ดีกว่ามาโดนเปิดโปงภายหลัง

เพราะอย่างนั้น ทำให้ตอนนี้ชั้นตกเป็นเป้าหมายรังสีอำมหิตของเวอร์เนลซัง

“เอลริส…อย่างนั้นรึ…?”

เวอร์เนลแค่นเสียงพร้อมกับสายตาที่เฉียบคมขึ้น

ตาที่เหลืออีกข้างกลอกไปมาจนแทบจะเหลือแต่สีขาว…ไม่ดิ มันแค่ขาวอยู่ตั้งแต่แรกแล้วนี่นา นี่ยังใช้งานได้จริงเหรอเนี่ย น่ากลัวอ่ะ

เส้นเลือดบนหน้าปูดโปน ไอ้แบบนี้สินะที่เรียกว่าหน้ายักษ์น่ะ

นี่ใบหน้าของคนเรามีเส้นเลือดอยู่ขนาดนี้เชียวรึเนี่ย…?

แต่ไม่นานนัก ใบหน้าของเขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม จากนั้นก็หัวเราะแห้งๆออกมา

“…ไม่มีทางหรอกมั้ง”

เวอร์เนลซังเกาหัว ทำท่าเหมือนจะเข้าใจอะไรได้ จากนั้นก็จ้องหน้าชั้นอีกรอบ

ครั้งนี้ไม่ส่งแรงกดดันอะไรออกมา

“โทษนะ พอดีว่าเจ้ามีชื่อเหมือนกับคนที่ข้าเคยรู้จักน่ะ ถึงจะมีชื่อเหมือนกัน แต่ก็เป็นคนละคนกันล่ะนะ”

ดูเหมือนว่าเขาจะคิดไปว่าชั้นแค่มีชื่อเหมือนกันเฉยๆ

ก็นะ เอลริสของโลกนี้ก็น่าจะตายไปนานแล้ว แถมรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเราก็ค่อนข้างจะต่างกัน จะให้บอกว่าเป็นคนเดียวกันก็คงจะเชื่อได้ยาก

จริงๆถ้าบอกไปว่าเป็นคนเดียวกันแต่มาจากโลกคู่ขนานอาจจะดีกว่าก็ได้…แต่จะให้อธิบายเรื่องของโลกคู่ขนานให้กับคนในยุคสมัยนี้เข้าใจได้ก็ออกจะยากเกินไปหน่อย

ก็ไม่รู้จะแก้ยังไงเหมือนกัน เอาเป็นว่าปล่อยให้เข้าใจผิดไปอย่างนั้นน่าจะดีกว่า

เอาจริงๆถ้าบอกไปว่าเป็นคนเดียวกันนี่ มีแต่จะเพิ่มโอกาสโดนโจมตีซะเปล่าๆ…ไม่ใช่ว่าชั้นกลัวจิตสังหารเมื่อกี๊หรอกนะ ไม่เลยนะเออ

มะ-มะ-มะ-ไม่ได้กลัวหรอกนะ แค่นี้น่ะทำให้ชั้นกลัวไม่ได้หรอก

“คนที่มีชื่อเดียวกับตัวชั้น…คนคนนั้นเป็นคนอย่างไรหรือคะ?”

“เป็นเศษสวะในคราบมนุษย์ที่ไม่เหมือนกับตัวเจ้าเลย เคยได้ยินเรื่องของเซนต์เอลริสบ้างมั้ย?”

“…นิดหน่อยน่ะค่ะ”

“ถ้าจะพูดง่ายๆ ก็เป็นอีนังสารเลวที่ใช้อำนาจของเซนต์ในทางมิชอบ ทั้งๆที่มันไม่ใช่เซนต์ตัวจริงซะด้วยซ้ำ เป็นเพราะเจ้านั่นนี่ล่ะ ที่ทำให้ชื่อเสียงของเซนต์ตกต่ำมาจนถึงตอนนี้”

“ตอนนี้เธอคนนั้นอยู่ที่ไหนหรือคะ?”

“นรก”

ไม่ปิดบังความเกลียดเลยแฮะ แทนที่จะบอกว่าตอยไปแล้ว กลับบอกอย่างชัดเจนเลยว่าลงนรกไปแทน

ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่เขามีต่อเธอได้เลย ก็กึ่งๆว่าเป็นคนเดียวกันนี่นะ

“นรก… หรือคะ? มีโอกาสที่เธอจะยังรอดอยู่บ้างไหมคะ?”

“ไม่เลย ทางเรายืนยันศพของเจ้านั่นเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างนึง…”

ในตอนที่พูดอย่างนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

ความโกรธ…ล่ะมั้งนะ

แต่เป็นความโกรธที่ทำให้ปากบิดเบี้ยวจนดูเหมือนยิ้ม เผยเขี้ยวให้เห็นเหมือนจะกระโดดเข้ากัดคอศัตรู

“ถ้ามันยังรอดอยู่ละก็ ข้านี่ล่ะจะทำให้มันตกนนรกทั้งเป็น ก่อนที่จะฆ่ามันจริงๆซะ”

ฮิเอ๊

ใบหน้าของเวอร์เนลซังกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเกลียดเอลริส(ตัวจริง)มากแค่ไหน

เอาเป็นว่าเลิกพูดอะไรไม่จำเป็นแล้วโฟกัสที่การรวบรวมข้อมูลดีกว่า

ชั้นคิดว่านี่น่าจะเป็น ฉากต่อจากเนื้อเรื่องเดิม…หรือก็คืออนาคตที่ไม่มีชั้นอยู่ ซึ่งยามาโตะซังเคยคาดการณ์เอาไว้

หลังจากที่เอเทอร์น่าจากไป “แม่มด”ก็ก่อร่างออกมาและทำให้โลกเกือบล่มสลาย…เป็นฉากที่มาหลังจากตอนจบ โลกหลังเกมที่ยามาโตะซังเองก็ไม่รู้จัก

ถ้าเป็นในเกมล่ะก็ ก็คงจะมีออปชั่นให้เล่นแบบ New Game+ แต่ในความเป็นจริงๆน่ะไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ชีวิตของพวกเวอร์เนลก็ยังดำเนินต่อไป

แต่นั่นก็แค่การคาดเดาของชั้นล่ะนะ

 ตอนนี้ต้องรวบรวมข้อมูลจากพวกเวอร์เนลซังให้ได้มากที่สุดก่อน

หลังจากคำถามมากมาย ชั้นก็ยืนยันได้แล้วว่าทฤษฎีของชั้นนั้นเป็นความจริง

และก็ยืนยันว่านี่เป็นโลกหลังจากจบรูทเอเทอร์น่า

แน่นอนว่าก็ไม่ได้ถามไปตรงๆหรอกนะ ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้น่าสงสัยว่า “ทำไมเธอถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้?” ขึ้นมาได้ ชั้นแค่ใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วตะล่อมให้เขาตอบคำตอบที่ชั้นต้องการออกมา แต่ปัญหาหลักที่ชั้นอยากจะรู้มากที่สุดก็ยังไม่รู้วิธีแก้

ชั้นจะกลับไปโลกเดิมได้ยังไง

จริงๆจะให้อยู่ที่โลกนี้ไปเลยก็เป็นไปได้แหละ…แต่ไม่อยากอ่ะ

โลกที่สภาพเป็นอย่างนี้คงจะกินหรูอยู่สบายไม่ได้ แถมถ้าจู่ๆชั้นก็หายไปล่ะก็ สต๊อกโกะที่บ้านได้ร้องไห้อีกแน่เลย

ช่วงนี้ชั้นได้เรียนรู้แล้วว่าจิตใจของสต๊อกโกะจังค่อนข้างจะเปราะบาง

เป็นประเภทที่ถ้าโดนก็อบลินจับไปก็จะพูดทำนองว่า “คุ ฆ่าข้าซะสิ” แต่จากนั้นพอโดนของเข้าให้ก็จะติดใจ

ชั้นอยากจะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะให้ทำยังไงดี

ถ้าปราบ”แม่มด”ได้นี่ ชั้นจะกลับไปได้มั้ยนะ?

“เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ”

“เป้าหมายของตัวชั้นคือการปราบแม่มดค่ะ”

ก็ไม่รู้หรอกว่าถ้าปราบมันไปแล้วจะได้กลับโลกเดิมรึเปล่า อาจจะไม่เกี่ยวกันด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องลองทุกความเป็นไปได้เท่าที่จะทำได้

เอาจริงๆชั้นก็น่าจะชนะมันได้แหละ เคยชนะมาแล้วรอบนึงด้วย แถมยังรู้จุดอ่อนของมันอีก

ยิ่งกว่านั้นตัวชั้นในครั้งนั้นยังโดนจำกัดพลังไว้ด้วยอายุขัยที่เหลือน้อย ไม่ใช่ฟูลพาวเวอร์เอลริสด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้น่ะชั้นมีอายุขัยอยู่เหลือเฟือจนไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นแล้ว นี่แหละร่างสมบูรณ์ของเอลริสจัง

ชนะได้แน่ กะฮ่าฮ่า

“ต้องการที่จะปราบ”แม่มด”สินะ…ถ้าอย่างนั้นก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันเลย ทำไมถึงไม่มาเดินทางด้วยกันล่ะ?”

โอ้ ชั้นโดนชักชวนให้เข้าร่วมปาร์ตี้แฮะ

คงจะอยากจะคอยจับตาดูชั้นล่ะมั้ง

ก็เข้าใจได้แหละ ในสายตาคนอื่นนี่ ชั้นคงจะน่าสงสัยน่าดูเลย

อยู่ๆก็โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แถมยังชื่อเอลริสอีก

ไม่มีจุดไหนเลยที่ชั้นไม่ดูน่าสงสัย

คงอยากจะให้ชั้นอยู่ใกล้ตัวเข้าไว้ จะได้ตัดสินได้ถูกสินะ

จะให้ปฏิเสธไปก็ใช่ที่ ถ้าอย่างนั้นก็จะยอมตามไปด้วยช่วงนึงแล้วกัน

ยิ่งได้เจอกับแม่มดเร็วแค่ไหนก็ยิ่งดี จะได้สู้ให้มันเสร็จๆซะ

“ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ตัวชั้นยินดีค่ะ”

ชั้นยื่นมือออกไปหา

เวอร์เนลซังจับมือชั้นโดยไม่ลังเล แต่แมรี่ดูจะจับมือโดยที่ยังระแวงชั้นอยู่

ตั้งแต่ที่ได้เจอกันนี่ เธอยังไม่ได้พูดอะไรกับชั้นเลย คงจะระวังตัวอยู่ล่ะมั้ง

ตั้งแต่แรกเธอก็เป็นสายคูลเดเระพูดน้อยอยู่แล้วนี่นะ ก็คงต้องรอให้เธอเปิดใจด้วยตัวเอง

เพราะแบบนั้น…ถึงแม้ความประทับใจแรกพบจะย่ำแย่เพราะว่าชื่อของชั้น แต่ชั้นก็จะแสดงให้เห็นเองว่าตัวชั้นและเอลริส(ของจริง)น่ะ เป็นคนละคนกัน

.

“While There is Life, There is Hope.”

วิชาลับ เอาศัพท์ฝรั่งมาตั้งชื่อท่ามั่วๆให้ดูเท่

ชั้นรวบรัมเวทมนตร์มาไว้ที่ฝ่ามือและกระจายมันออกไปเพื่อรักษาพวกตัวประกอบทั้งหลายในบริเวณนั้น

ตั้งแต่ที่ชั้นได้เจอกับเวอร์เนลซังและแมรี่ นี่ก็ผ่านมาได้เดือนนึงแล้ว

ตอนนี้เรามาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนึงในระหว่างเดินทาง ทั้งหมู่บ้านมีแต่คนเจ็บป่วยแถมยังเต็มไปด้วยบรรยากาศหนักอึ้ง เพื่อที่จะคลายบรรยากาศนั้น ชั้นเลยเอาคนมารวมตัวกันแล้วรักษาให้มันเสร็จทีเดียวไปเลย

ถึงแม้เราจะมาอยู่ได้แค่วันเดียว แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าพวกชาวบ้านนี่ตากลายเป็นปลาตายกันไปหมด มันทำให้ชั้นรู้สึกไม่ดีเลยอ่ะ ก็จะช่วยๆไปหน่อยละกัน

“ขอบคุณจริงๆครับ…ขอบคุณ…”

“อย่างกับฝันไปเลย…ที่สามารถยืนบนขาของตัวเองได้อีกครั้งแบบนี้”

พวกคนที่โดนรักษานี่คือก้มกราบแทบเท้าชั้นเกือบทุกคน แต่เห็นสภาพคนพวกนี้ที่อ่อนแอจนคิดว่าน่าจะตายจากการโดนเอากิ่งไม้จิ้มทีเดียว ไอ้แบบนี้มันไม่ได้ทำให้ชั้นรู้สึกดีหรอกนะ

ตอนที่ชั้นเพิ่งกลายเป็นเซนต์ตัวปลอมของโลกนั้นนี่ก็ว่าสถานการณ์แย่แล้วนะ อันนี้คือคนละระดับกันเลย

อาจจะฟังดูเหมือนเรื่องตลกนะ แต่ชาวบ้านทุกคนที่ชั้นเจอนี่คืออยู่ในสภาพที่จะตายแหล่มิตายแหล่มันทุกคนเลย ทุกๆคนมีผ้าพันแผลอยู่รอบตัว อย่างกับมัมมี่ ไม่สิ ออกไปทางซอมบี้มากกว่าด้วยซ้ำ นี่มันนรกรึยังไงกัน?

อาหารก็ไม่มี ถ้าเราเอาอาหารมากินต่อหน้าพวกเขาล่ะก็ ได้กลายเป็นโจรเข้ามาแย่งอาหารเราแน่ มันแย่ถึงขนาดนั้นเลยล่ะ

อันนี้คือไม่ใช่คิดไปเองนะเออ ตอนที่เดินทางกับเวอร์เนลซังและแมรี่ก็เจอแบบนั้นมาหลายครั้งแล้ว

มันมีเคสที่ทั้งหมู่บ้านกลายเป็นโจรกันหมด แล้วเวอร์เนลซังก็จับล้างบางทั้งหมู่บ้านเพื่อป้องกันตัว ฮิเอ๊

เพราะอย่างนั้น เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้คนเข้ามาแย่งอาหาร และเพื่อที่ชั้นจะได้กินข้าวได้อย่างสงบสุข ชั้นจึงใช้เวทย์เร่งพีชผลให้โตขึ้น และก็เอาเนื้อนกปีศาจที่ปราบได้มาต้มซุปแจกจ่าย

ก็ปรุงด้วยเกลือเพียวๆอ่ะนะ ทำแบบโคตรมักง่ายเลย

ช่วยไม่ได้นี่นา เกลือน่ะจะหาจากเท่าไรก็ได้จากน้ำทะเล แต่เครื่องปรุงอื่นนี่มันไม่มีให้ใช้อ่ะนะ

สถานการณ์แบบนี้จะไปมีมิโสะหรือโชยุให้ใช้ได้ยังไงกันล่ะ

จะให้บอกว่า”เผอิญไปเจอวัตถุดิบ”ก็ไม่ได้ซะด้วย

…ก็นั่นแหละ วัตถุดิบที่ใช้มันมีรสตามธรรมชาติอยู่แล้ว…อันนี้คือดีสุดเท่าที่ทำได้ในตอนนี้แล้ว…ทั้งที่เป็นซุปแต่ก็ไม่มีเครื่องปรุงให้ใช้ด้วย…

ถ้าทำเป็นข้าวต้มไข่มันน่าจะดีกว่านี้อ่ะนะ เอ๊ะ? ไข่ไม่มีเพราะว่าฆ่าไก่กินไปหมดแล้ว… ข้าวก็ไม่มีตั้งแต่แรก… งั้นแหละ

“ขอบคุณจริงๆครับ…ขอบคุณ…”

“อร่อย…อร่อยสุดยอดเลย…”

“ที่ได้กินอาหารจริงๆแบบนี้มันผ่านมานานเท่าไรแล้วนะ…”

พวกชาวบ้านดูจะซาบซึ้งกันสุดๆเลยอ่ะ ทั้งๆที่ทำให้แบบลวกๆเอง

โอะ…โอ้ว…ทำเอารู้สึกผิดที่ทำไปแบบมักง่ายเลยแฮะ

โลกนี้น่ะเละเทะไปหมด ต้องบอกว่ามนุษยชาติตกอยู่ในขั้นวิกฤติแล้ว

เวอร์เนลซังบอกว่าตอนนี้หมู่บ้านไหนก็เหมือนกันหมด

ว่าไปแล้วก็จริงนั่นแหละนะ

เอาจริงๆต้องบอกว่าหมู่บ้านนี้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลยก็ได้

ชั้นใช้เวทย์เร่งโตให้พวกเขามีพืชผลไว้กินไปอีกสักพักนึง

ตอนที่เรากำลังจะไปนี่ ทุกๆคนก็มากล่าวขอบคุณกันใหญ่เลย ชั้นก็ตอบกลับไปราวๆว่า “ถึงแม้เวลานี้จะยากลำบาก แต่ก็ขอให้อย่ายอมแพ้ในชีวิตนี้จนถึงที่สุดนะคะ” หรือ “ถึงแม้คืนวันนี้จะมืดมิด แต่จะต้องมีแสงสว่างรอพวกเราอยู่แน่นอนค่ะ” ไม่ก็ “พวกคุณทุกคนก็เหมือนหญ้าแฝก จะโดนเหยียบสักกี่ครั้งก็จะลุกขึ้นมาได้”

โทษที อันท้ายโกหกน่ะ ถึงจะเป็นชั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรแบบนั้นออกไปหรอก

“ขอบคุณจริงๆครับ…ขอบคุณ…”

ไอ้คนตรงนั้นพูดแบบเดิมมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้วนา

ก็กะจะตบมุกไปแบบนั้น แต่ก็หยุดตัวเองไว้ได้ก่อน

เอาจริงๆทุกคนก็พูดคล้ายๆกันหมดนั่นแหละ

“จะไม่ลืมบุญคุณของพวกท่านเลย”

“ขอให้ปลอดภัยนะคะ…”

เราออกจากหมู่บ้านนั้นและเดินทางเพื่อตามหา”แม่มด”ต่อ

พวกเขาโบกมือลาจนเราหายลับสายตาไป

ไม่สิ พอใช้พลังของโหรดู จนถึงตอนนี้ก็ยังโบกอยู่เลย

“สุดยอดไปเลยนะเอล อย่างกับเป็นท่านเซนต์ตัวจริงเลย”

เวอร์เนลซังพูดด้วยรอยยิ้ม แต่นั่นมันกระแนะกระแหนกันรึเปล่าน่ะ

ประมาณว่า “ชื่อเหมือนเซนต์ตัวปลอมแท้ๆ แต่กลับโดนปฏิบัติเหมือนเป็นตัวจริงเลย 555+” ไรงี้

เออใช่ แล้วก็เวอร์เนลซังเรียกชั้นว่า เอล แทนที่จะเป็น เอลริสนะ

คงจะเกลียดชื่อนั้นเข้าไส้จริงๆนั่นล่ะ เข้าใจเลย

“ใช่แล้ว… เอลน่ะสุดยอดเลย”

คนที่พูดแบบนั้นด้วยสายตาใสบริสุทธิ์ก็คือแมรี่

เธอเรียกชั้นว่าเอลเหมือนกับเวอร์เนลซัง แต่เราก็สนิทกันกว่าเดิมมากแล้วน่ะนะ

ก็นะ ชั้นทุ่มสุดตัวเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าชั้นไม่เหมือนกับเอลริสที่พวกเขารู้จักนี่นา

แต่ทั้งหมดนั้นก็คงจะสูญเปล่าถ้าชั้นบอกไปว่าตัวเองเป็น”เอลริสจากโลกคู่ขนาน”

แต่พวกเขาเข้าใจว่าชั้นเป็นแค่คนชื่อเหมือนเท่านั้นเอง

แต่จะว่าเป็นคนละคนกันก็ได้อ่ะนะ ยังไงเนื้อในก็คนละคนกันจริงๆ

หลังจากที่เดินทางผ่านไปหลายวัน เราก็มาถึงหมู่บ้านถัดไป

เพราะว่าเราเดินทางด้วยเท้า เลยขอโกงนิดหน่อยด้วยการใช้เวทย์บัฟไม่ให้เกิดอาการเหนื่อย

สายนักเวทย์อย่างแมรี่ก็ถูกใจน่าดูเลย

 แต่เวอร์เนลซังบอกว่า”ตัวข้าไม่ได้อ่อนแอจนถึงขนาดต้องใช้เวทมนตร์กับเรื่องหยุมหยิมแบบนั้น” เลยไม่ได้ร่ายบัฟให้

แต่ชั้นก็ยังใช้เวทย์ชำระร่างกายใส่เค้าโดยที่ไม่ถามความคิดเห็นน่ะนะ

โทษนะ แต่ในฐานะอดีตชาวญี่ปุ่นสมัยใหม่แล้ว เรื่องกลิ่นนี่ทนไม่ได้จริงๆ

“หมู่บ้านใหญ่เลยนะคะเนี่ย”

ชั้นพูดถึงหมู่บ้านที่อยู่สุดลูกตานั่นล่ะ

จนถึงตอนนี้ หมู่บ้านที่เราเดินทางผ่านมาล้วนอยู่ในสภาพย่ำแย่หมด

จะเรียกพวกมันว่าเป็นหมู่บ้านยังยากเลย เรียกว่าเศษซากของสถานที่ที่เคยเป็นหมู่บ้านน่าจะถูกกว่า

เป็นสภาพรกร้างที่ไม่มีชีวิตชีวาอยู่แม้แต่น้อย

หมู่บ้านที่เรากำลังจะเข้านี่เรียกว่าเป็นเมืองขนาดย่อมยังได้เลย

ผู้คนเดินไปเดินมาข้างในอยู่ไม่น้อย แถมดูจะไม่มีศพกองอยู่เกลื่อนกลาดด้วย

“อา ตกใจเลยล่ะ ไม่นึกว่าในโลกที่เป็นแบบนี้ยังจะมีหมู่บ้านเช่นนี้อยู่อีก”

เวอร์เนลซังกล่าวอย่างมีความสุข

การที่ยังมีสถานที่ที่มนุษยชาติยังคงสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ตามปกติ นับเป็นข่าวดีสำหรับเขาอย่างมาก

มียามเฝ้าอยู่หน้าประตูหมู่บ้าน เขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นเวอร์เนลซัง

เขากระพริบตาไปมา ก่อนที่จะถามเหมือนต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง

“หรือว่า…คุณคือเวอร์เนลซังไม่ใช่หรือครับ?”

“…เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่า? ขอโทษนะ ไม่คุ้นหน้าเลย”

“อ้า! ไม่แปลกหรอกครับที่จะไม่รู้จักอัศวินธรรมดาอย่างตัวผม แต่ผมรู้เรื่องของคุณดีครับ ผมเองก็อยู่ด้วยในศึกต่อสู้กับอเล็กเซียและสงครามป้องกันเมืองหลวง อา ถึงแม้ว่าตอนที่สู้กับอเล็กเซีย ผมจะได้สู้แต่กับลูกสมุนระดับล่าง แถมตอนที่สู้กับแม่มดก็โดนกวาดจนสลบในทีเดียวก็เถอะครับ…”

ดูเหมือนว่าคุณยามคนนี้จะเคยเป็นอัศวินมาก่อนนะ

ถึงแม้ว่าองครักษ์ทุกคนจะตายเกลี้ยง แต่พวกอัศวินธรรมดายังพอมีคนที่รอดอยู่

ที่เวอร์เนลซังจำเขาไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอก…จะให้จำอัศวินทุกคนก็คงไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ คุยกันรึก็ไม่เคย

ในทางตรงข้ามกัน ดูเหมือนว่าทุกๆคนจะรู้จักเวอร์เนลซัง ก็เป็นองครักษ์ส่วนตัวของเซนต์เอเทอร์น่านี่นะ

“น่าขันเหลือเกิน เหล่าองครักษ์ผู้มากความสามารถกลับต้องมาตาย ในขณะที่คนอ่อนแออย่างพวกเรากลับเหลือรอด…”

คุณยามพูดด้วยความรู้สึกผิด ส่วนเวอร์เนลซังก็ตบบ่าของเขาอย่างเงียบๆ

ถึงแม้จะไม่ได้พูดให้กำลังใจอะไร แต่ก็ดูเหมือนว่าจะส่งความรู้สึกไปถึงได้น่ะนะ

คุณยามผงกหัวตอบ เหมือนกับว่าทั้งสองคนกำลังคุยกันด้วยสายตาลูกผู้ชายเลยแฮะ

“ในตอนนี้ตัวผมรับหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของหมู่บ้านเออร์บาซเซียแห่งนี้หลังจากที่ได้หัวหน้าหมู่บ้านช่วยเอาไว้น่ะครับ ว่าไปแล้ว ทำไมคุณถึงมาที่นี่รึครับ?”

“ได้ยินข่าวการพบเห็น”แม่มด”น่ะ เลยตามมันมาถึงที่นี่”

“แม่มด…หรือครับ แต่ว่านั่น…?”

“ไม่ต้องถามหรอก…นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าเหลืออยู่”

“…งั้นหรือครับ”

ดูเหมือนคุณยามคงอยากจะพูดเรื่องที่สู้กับ”แม่มด”ไปก็ไม่ชนะ แต่เวอร์เนลซังก็หยุดเขาไว้ก่อน

ก็นะ แม่มดมันเป็นบอสที่ปราบด้วยวิธีปกติไม่ได้นี่นา

เวอร์เนลซังรู้อยู่แล้วว่าตัวเองชนะมันไม่ได้ ไม่ต้องให้ใครมาบอกเลย

ขนาดตอนชั้นสู้กับมันนี่ มันยังกลับมาได้ทั้งๆที่โดนจับไปปล่อยในอวกาศเลยเชียวนะ…

“โอ้ เรามีแขกมารึมอฟคุง?”

“หะ-หัวหน้าหมู่บ้าน!คุณผู้ช่วยก็อยู่ด้วย!”

โอ้ ดูเหมือนนี่จะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่พูดถึงอยู่เมื่อกี๊สินะ

พอมาปุ๊บก็ทำเอาทางเข้าหมู่บ้านคึกคักขึ้นมาเลย

ดูเหมือนว่านักเดินทางจากภายนอกจะไม่ได้เจอกันบ่อยสินะ เลยคอยดูพวกเราอยู่ห่างๆ

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม 70 ไม่สิ 80 เปอร์เซ็นต์ของสายตาถึงตกมาที่ตัวชั้น ถึงจะชินแล้วก็เถอะนะ

หัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ชายตัวสูง ผมสีดำมัดเป็นหางม้า

ผมเรียบแปล้ สวมใส่แว่นที่ร้าวเล็กน้อย

นี่มันไอ้แว่นโรคจิตนี่หว่า?!

“แกคือซัปเปิ้ลไม่ใช่เรอะ?!”

ใจตรงกันเลยนะเวอร์เนลซัง อยากจะถามแบบนั้นเป๊ะเลย

“โย่ เจ้าคือ…เวอร์เนล?!”

ดูเหมือนเจ้าแว่นโรคจิตก็ตกใจไม่แพ้กันเลย

ว่าไปแล้วเจ้าหมอนี่ในโลกนี้คือเวอร์เชั่นที่ลักพาตัวเอเทอร์น่า โดนเวอร์เนลตื้บ จากนั้นก็โดนไล่ออกจากสถาบันนี่นา คงจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนั่นแหละ

ต่างจากเอลริส ชะตากรรมของซัปเปิ้ลหลังโดนไล่ออกไปเคยถูกกล่าวถึง แค่หายไปจากเนื้อเรื่องเฉยๆ…แต่ดูเหมือนจะรอดมาได้สินะ อึดจังนะแก

“มีอะไรน่ะ? ทำไมเสียงดังจัง?”

ผู้หญิงที่เดินตามเจ้าแว่นโรคจิตชะโงกหัวออกมา

คงจะเป็นคุณผู้ช่วยที่บอกสินะ

ผิวของเธอออกจะสากไปบ้าง แต่แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนสวย

ผมสีน้ำตาล หน่มน้มมีน้ำมีนวล…

…ฟาร่าซังไม่ใช่เหรอน่ะ?!

“เจ้าเองก็ฟาร่าเซนเซย์ไม่ใช่รึไง?!”

“แหงะ เวอร์เนล!”

พอเวอร์เนลซังตะโกนปุ๊บ ก็ดูเหมือนจะจำกันได้ทันที

อ้า เพราะว่านี่เป็นรูทของเอเทอร์น่า ฟาร่าซังเลยยังมีชีวิตอยู่สินะ

พอเวอร์เนลซังเอื้อมมือไปที่ด้ามดาบ ทั้งเจ้าแว่นโรคจิตและฟาร่าซังก็ยกมือปรามในทันที

“ดะ เดี๋ยว! เราไม่มีเหตุผลให้สู้กันแล้วนะ!”

“ใช่แล้ว! แถมตัวชั้นก็โดนแม่มดควบคุมอยู่ในตอนนั้นด้วย นายก็รู้ไม่ใช่เหรอ?!”

ทั้งสองคนตื่นตระหนกสุดขีด แต่หน้าตึงเครียดของเวอร์เนลซังก็ยังไม่คลายลง

เขาก็รู้ดี ว่าถ้าจัดการสองคนนี้ไป จะสร้างความลำบากให้กับหมู่บ้านนี้อย่างมาก

ถึงจะเอื้อมมือทำท่าเหมือนจะชักดาบก็จริง แต่ก็คงไม่คิดที่จะสู้ เวอร์เนลซังไม่ได้โง่ถึงขนาดนั้น

แต่ถึงอย่างนั้น ความสัมพันธ์ที่เขามีต่อสองคนนี้ก็ยังแย่อยู่ดี… โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้เอเทอร์น่าที่รักต้องลำบากนี่ คงจะให้พูดว่า”งั้นก็ลืมๆเรื่องในอดีตแล้วมาญาติดีกันเถอะ”ไม่ได้

เพราะอย่างนี้เขาเลยไม่รู้จะทำตัวยังไงดี

ถ้าเป็นแบบนี้ คงต้องให้บุคคลที่สามเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยสินะ

“ใจเย็นก่อนค่ะเวอร์เนลซัง สู้กันที่นี่ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกค่ะ”

“…ถ้าเอลพูดถึงขนาดนั้นก็ช่วยไม่ได้”

พอห้ามไป เวอร์เนลซังก็ยอมผละมือออกจากดาบ

จากนั้น พอเราทั้งสองคนหันไป…

“หัวหน้าหมู่บ้าน! บนฟ้า! บนฟ้า! …มีเมฆสีดำลอยอยู่!”

อ๊า—เว้ย! อะไรอีกวะเนี่ย?! จะจบสวยอยู่แล้วเชียว

มีสาวสวยตกลงมาจากฟ้ารึไง? ถ้าเป็นงั้นก็ดีไป ถ้าไม่ใช่ก็ไม่สนหรอกเว้ย

กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดเกราะวิ่งมาจากอีกฟากของหมู่บ้าน

คงจะเป็นหน่วยลาดตระเวน แต่สีหน้าแบบนั้น คงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา

ทำหน้าอย่างกับโลกจะแตก หน้าซีดปากสั่นมาเชียว

พอทุกๆคนหันไปในทิศทางนั้น สีหน้าก็กลายเป็นแบบเดียวกัน

ไอ้แว่นโรคจิตและฟาร่าซังมีสีหน้าบิดเบี้ยว แมรี่ก็ดูจะหวาดกลัวขึ้นมา

ในหมู่ทุกๆคน มีเพียงเวอร์เนลซังเท่านั้น ที่แสยะยิ้มออกมา

ห่างออกไปจากหมู่บ้านระยะหนึ่ง…คือเมฆสีดำทะมึนลอยอยู่บนฟ้า

ทว่านั่นไม่ใช่แค่เมฆธรรมดา ใบหน้าของเหล่าแม่มดทั้งหลายปรากฏขึ้นมา ส่งเสียงหัวเราะสยองดังไปทั่ว

“อะฮะฮะฮะฮะฮะ…คยะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

ไง “แม่มด”ซัง ไม่ได้เจอกันนานเลยเน่อ

ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายเดือน แต่เสียงหัวเราะนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ

“ทำไม”แม่มด”ถึงมาที่นี่… นี่มันต่างจากเส้นทางที่หัวหน้าหมู่บ้านคาดคะเนไว้เลย…”

เสียงของคุณยามสั่นเครือ ดูเหมือนว่าอยู่ๆแม่มดก็ออกนอกเส้นทางแล้วตรงมาที่นี่แทน

ดูเหมือนว่าเจ้าแว่นโรคจิตสะสังเกตการเดินทางของแม่มดและคิดว่าจุดนี้จะเป็นส่วนที่ปลอดภัยไปอีกสักพัก

แต่มันก็ยังมาทางนี้อยู่ดี

จะให้คาดเส้นทางของมันก็คงทำไม่ได้หรอก มันเหมือนกับว่าตั้งใจเล็งมาที่นี่เลย

แต่ว่า เสียใจด้วยนะ นี่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้น ไม่ช้าก็เร็ว

ร่างจริงของมันคือความรู้สึกด้านลบ และมันเกลียดความรู้สึกด้านบวกอย่างเช่นความหวังเข้าไส้ และที่ไหนที่มีความหวัง ก็จะตกเป็นเป้าหมายของมัน

และในปัจจุบัน ในโลกที่เป็นเช่นนี้ หมู่บ้านแห่งนี้คือสถานที่ที่มีความรู้สึกด้านบวกมารวมตัวกันมากที่สุด

ถ้าหากมองจากมุมของแม่มดแล้วล่ะก็ คงประมาณว่า “อ๊ะ ตรงจุดนี้ความหวังเริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องทำลายมันซะ” เลยกลายเป็นอย่างนี้ไงล่ะ

“จังหวะดีเลย ไม่ต้องเสียเวลามาคอยหาตัวแก โย่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไอ้เวร… ชั้นตามหาแกมาตั้งนานแล้ว…!”

เวอร์เนลซังส่งยิ้มที่ดูอันตรายออกมา เส้นเลือดปูดโปนจนเห็นได้ชัด

จริงอยู่ที่เขาเป็นตัวเอกที่จะมีอุปนิสัยเปลี่ยนไปตามที่ผู้เล่นเลือก แต่นี่มันไม่เอ็กซ์ตรีมไปหน่อยเหรอ?

เวอร์เนลซังปล่อยออร่าสีดำออกมาและห่อหุ้มดาบด้วยสิ่งนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถควบคุมพลังของแม่มดในตัวได้อย่างชำนาญแล้ว

“แม่มด”ไม่ได้ใส่ใจเวอร์เนลซังเลย ตั้งใจจะมุ่งเข้าหาหมู่บ้านอย่างเดียว ส่วนเวอร์เนลซังก็พุ่งตรงเข้าใส่มัน

“โอ๊ววววววววว!!!”

เวอร์เนลซังคำราม และใช้ดาบที่ห่อหุ้มด้วยพลังความมืดนั้นฟันใส่แม่มด ถึงดูเหมือนจะทำอะไรไม่ได้ก็เถอะ

ครั้งแล้วครั้งเล่า ดาบยักษ์ของเขาฟันผ่านร่างของมันไป

แต่แค่นี้น่ะทำอะไร”แม่มด”ที่สร้างขึ้นจากพลังเวทย์ไม่ได้หรอก

มันเป็นตัวที่จะได้รับความเสียหายจากความรู้สึกด้านบวกที่หักล้างเท่านั้น ฟันไปกี่ครั้งก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

ยิ่งกว่านั้นเวอร์เนลซังยังเต็มไปด้วยความเกลียดชังซึ่งเป็นความรู้สึกด้านลบ มีแต่จะเสริมพลังมันเข้าไปอีก

ว่าไปนี่มันก็โกงจริงๆนั่นแหละ

สิ่งที่มันทำนี่มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายเกลียดตัวเอง แต่การโจมตีด้วยความเกลียดชังก็ทำอะไรมันไม่ได้อีก

“คย๊าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

แม่มดใช้รยางค์ของมันเพื่อโจมตีเวอร์เนลซัง

เวทย์น้ำแข็งของแมรี่ช่วยกันได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ทั้งหมด เวอร์เนลซังยังโดนการโจมตีนั้นเข้าอยู่ดี

เวอร์เนลซังกระอักเลือดออกมา แต่ก็ไม่พอที่จะทำให้เขาหยุดโจมตีได้

สมกับเป็นตัวละครเวลตันจริงๆแฮะ

แม่มดสร้างใบหน้าขึ้นมาหลายหน้าและส่งลำแสงออกจากปาก

ถ้าจำไม่ผิด นั่นเป็นการโจมตีที่เป่าโกเลมของเจ้าแว่นโรคจิตหายไปในทีเดียวนี่นา

ลำแสงนั้นพุ่งเข้าใส่เวอร์เนลและสร้างแรงระเบิดและควันขึ้น

“เวอร์เนล!”

แมรี่ตะโกนทั้งน้ำตา

แต่ในเวลานั้นเอง เวอร์เนลซังก็ตะโกนออกมาจากกลุ่มควันและฟันเข้าใส่แม่มดอีกรอบ

เลือดไหลท่วมตัวเลย แต่ก็ยังดูจะขยับไหวอยู่

เวอร์เนลซังแสยะยิ้มทั้งๆที่สภาพเป็นแบบนั้น

“ทำได้แค่นี้เหรอท่านแม่มด?! ข้ายังไม่ตายนะโว้ย!”

เวอร์เนลซังคนนี้นี่สุดยอดเลยนะเนี่ย

สมกับเป็นตัวเอกเวลตัน เหนือมนุษย์จริงๆ

ทั้งๆที่มีเลือดเนื้อแบบมนุษย์แท้ๆ แข็งยิ่งกว่าโกเลมอีกนะเออ

…อุ๊บส์ แย่ล่ะ เอาแต่เพลินกับการดูจากนอกวง อึ้งกับพลังของเวอร์เนลซังจนลืมเลยเนี่ยว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ชั้นจะมาคอยดูอย่างใจเย็น

โทษนะที่มาขัดจังหวะอิ่มหนำกับความสิ้นหวังน่ะ แต่จะจัดการแกเดี๋ยวนี้แหละ

นี่ควรจะเป็นอีเวนท์แบบบังคับแพ้ล่ะนะ…แต่โชคร้ายหน่อยนะ เพราะว่าชั้นอยู่ที่นี่แล้ว

อาจจะดูไม่ดีซักหน่อยที่มาขัดจังหวะบอสแบทเทิล แต่คงไม่เป็นไรแหละ

อย่างแรกเลย ชั้นยิงลำแสงขนาดใหญ่ใส่แม่มดเป็นการเปิดตัว

ลำแสงนั้นทะลุร่าง”แม่มด”ไปจนสุดลูกหูลูกตา สร้างเป็นระเบิดขนาดย่อมๆตรงจุดปลายทางนั้น

“…ฮะ.. เอล…?!”

เวอร์เนลซังช็อกไปเลยแฮะ

ชั้นไม่เคยโชว์ท่าแบบนี้ให้เห็นนี่นะ

แม่มดคืนร่างกลับมา และใบหน้าของแม่มดทุกๆคนก็หันมาทางชั้น

ชั้นถูกมองว่าเป็นศัตรูบัดเดี๋ยวนั้นเลย

มันยิงลำแสงจำนวนมากออกมา แต่แค่นั้นทำอะไรชั้นไม่ได้หรอก

ชั้นไม่ต้องหลบด้วยซ้ำ แค่ใช้บาเรียกันเอาไว้เพื่อแสดงถึงความห่างชั้น

ยิ่งกว่านั้นชั้นยังยิงลำแสงมาจากท้องฟ้า เบิกเมฆสีดำออกให้กลายเป็นฟ้าโปร่ง และใช้เวทย์เร่งโตเพื่อทำให้พืชแถวๆนั้นงอกขึ้นมา

ไงล่ะ? จากมุมมองของคนธรรมดานี่ คงจะเจ๋งน่าดูเลยสิ เปลี่ยนทุ่งร้างเป็นทุ่งหญ้าในชั่วพริบตาเนี่ย

“นี่มัน…ปาฏิหาริย์รึอย่างไร…?”

“โอะ โอววว…โอววว…! กระผมคิดไม่ผิดไปเลย… มี’เซนต์ตัวจริง’อยู่จริงๆด้วย!”

คุณยามอึ้งไปเลย ส่วนไอ้แว่นโรคจิตนี่พล่ามบ้าอะไรก็ไม่รู้

ก็นะ เมื่อกี๊น่ะไม่ได้มีไว้แค่โชว์เฉยๆ

อย่างที่บอก ถ้าจะจัดการแม่มดก็จำเป็นต้องใช้ความรู้สึกด้านบวก…ว่าง่ายๆก็คือการเขวี้ยงแสงจากจิตใจผู้คนใส่มัน

แต่ในโลกแบบนี้น่ะ แสงที่ว่ามันหาได้ยาก

เราต้องทำให้มั่นใจว่าผู้คนจะเกิดความหวังขึ้นมาในจิตใจ 

เท่านี้ก็เตรียมการเสร็จแล้ว ที่เหลือก็แค่จัดการมันซะ

เอาล่ะทุกคน! ขอพลังให้เราด้วย![ล้อบอลเกงกิ]

“The Sun Shines Upon All Alike.”

ชั้นยกมือขึ้นเหนือหัว รวบรวมพลังเวทย์จากรอบด้าน

เพราะว่าตัวชั้นรับความรู้สึกด้านลบไม่ไหว เลยต้องเอามารวมกันทีมือแทนที่จะดูดเข้าตัว แล้วก็ยิงใส่มันทั้งอย่างนั้นเลย

รอบที่แล้วนี่ตูเกือบโดนชำระล้างแน่ะ…ไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองหรอกนะ

แสงที่มารวมกันที่มือชั้นเจิดจ้าอย่างกับพระอาทิตย์ดวงเล็กๆ

เอาไปเลยเจ้าแม่มด! ด้วยการโจมตีนี้…

ด้วยการโจมตีนี้…นี้…

—อา เวรล่ะสิ น่าจะไม่ไหวว่ะ…

ตอนที่ชั้นกำลังจะปิดฉากมัน ก็สังเกตได้ถึงความผิดพลาดของตัวเองขึ้นมา

ใช่ ด้วยพลังที่ชั้นมีอยู่ตอนนี้ ยังไม่พอจะจัดการมันได้เลย

ถ้าจะให้พูดก็คือ แสงจากจิตใจผู้คนที่มีอยู่ตอนนี้น่ะมันไม่เพียงพอที่จะเอา”แม่มด”ลงได้

ก็พอจะรู้แหละว่าทำไม

คนมันไม่พอน่ะสิ แค่นั้นแหละ

รอบที่แล้วน่ะเป็นแสงจากผู้คนทั้งประเทศเชียวนะ แถมยังเป็นช่วงที่คนกำลังไฮป์สุดๆหลังจากที่ชั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมา แสงในตอนนั้นนี่เข้มข้นกว่าในครั้งนี้หลายเท่า

รอบนี้ชั้นรวบรวมจากแค่คนในหมู่บ้านนี้เท่านั้น แถมชื่อเสียงชั้นก็ไม่มีในโลกนี้

เออ คือชื่อเสียงของเอลริสนี่มันก็มีอ่ะนะ ในทางเลวร้ายน่ะ…

ไม่มีทางที่จะรวบรวมแสงจากจิตใจให้พอได้เลย ส่วนไอ้ดวงอาทิตย์จิ๋วในมือชั้นนี่…

ถ้าโชคดีก็อาจจะสร้างความเสียหายแบบถาวรให้กับมันได้ล่ะมั้ง

แต่ก็นั่นล่ะ…จะให้จัดการ”แม่มด”ได้ในครั้งนี้น่ะ…เป็นไปไม่ได้เลย…

แย่ล่ะสิ…เอาไงต่อดีล่ะทีนี้