ตอนที่ 97 After Story โลกอีกใบ 3

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

ในป่าแห่งหนึ่ง โศกนาฏกรรมได้เกิดขึ้น

โศกนาฏกรรมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ

ในอ้อมอกของชายหนุ่มที่ร่ำไห้ ชีวิตของหญิงสาวกำลังค่อยๆดับลง

และชายหนุ่มคนนั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย

เขาทำได้เพียงกอดร่างที่ค่อยๆเย็นลงเรื่อยๆของเธอเอาไว้

“นี่เวอร์…ชั้นดีใจนะ…ที่ได้อยู่…กับเธอ…”

“ไม่นะ อย่าตายนะ! ไม่! ไม่…!”

โชคชะตาของทั้งสองคนมันกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?

ทำไมมันถึงจบลงอย่างนี้?

คงจะสายเกินไปที่จะมาคิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดตัวเองเอาไว้ได้…

ชายหนุ่มทำได้เพียงเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

“เวอร์…ชั้นรัก…เธอ…”

เด็กสาว-เอเทอร์น่าฝืนยิ้มออกมา

เธอยังอยากที่จะอยู่กับเขาต่อไป

อยากจะอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน

ไม่ใช่ในฐานะของเซนต์…แต่ในฐานะของเด็กสาวธรรมดา เดินเคียงข้างเด็กหนุ่มตรงหน้า ไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

แต่เป็นเพราะว่ามีเพียงเซนต์เท่านั้นที่สามารถปราบแม่มดลงได้ นี่เป็นหน้าที่ของเธอ บทบาทของเธอ

เธอเข้าต่อสู้…และถึงแม้จะเอาชนะมาได้ ตัวเธอเองก็ได้รับบาดแผลสาหัส

ไม่สิ เธอทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะได้รับบาดแผลสาหัส

เซนต์ผู้ปราบแม่มดจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแม่มดคนต่อไป กลายเป็นศัตรูของมวลมนุษยชาติ

เพื่อที่จะหยุดวังวนนั้นลง…เพื่อให้ผู้คนที่เธอรักและห่วงใยมีอนาคตที่สดใสรออยู่ เอเทอร์น่าเลือกที่จะยอมตายเพื่อที่จะทำลายวังวน

ถ้าจะพูดก็คือ-การฆ่าตัวตาย นี่คือวิธีเดียวที่เธอสามารถคิดออกมาได้

มันผิดพลาดตรงไหนกัน?

ทำไมมันถึงจบลงอย่างนี้?

ม่านตาของเอเทอร์น่าปิดลง และร่างกายของเธอก็ค่อยๆสูญเสียความร้อนไป

เธอต้องการที่จะเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเขา แต่เธอไม่มีแม้กระทั่งเรี่ยวแรงเหลือเพียงพอที่จะทำเช่นนั้น และแล้ว — มือของเธฮก็ร่วงลงกับพื้น

“เอเทอร์น่า…อึก…อืออ…”

เวอร์เนลไม่อาจหยุดหลั่งน้ำตาออกมาได้ เขาทำได้เพียงโอบกอดร่างศพของคนรัก

อย่านะ อย่าตายนะ

อย่าปล่อยให้เขาอยู่บนโลกนี้ต่อเพียงคนเดียว

เขาหวังให้เธอยังมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่นั่นก็ไม่ส่งผลใดๆ เด็กหนุ่มนั้นไร้พลังที่จะสามารถช่วยเธอได้

โชคร้ายนัก ที่นี่ไม่ใช่แม้กระทั่งจุดจบ

เมื่อโศกนาฏกรรมนี้จบลง โศกนาฏกรรมใหม่ก็ได้เริ่มขึ้น

หมอกสีดำหลั่งไหลออกมาจากศพของเอเทอร์น่าในอ้อมกอดของเวอร์เนล

ในตอนนั้นเขาไม่มีแรงใดๆเหลือและไม่แม้แต่จะสังเกตถึงมันได้ จนกระทั่งเขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง บางสิ่งที่ชั่วร้ายค่อยๆรวมตัวกับเหนือศีรษะของตัวเขาเอง – และแล้วเขาก็เห็นมัน

“อะฮะฮะฮะฮะ….อุฟุฟุฟุฟุ…”

ราวกับเมฆสีดำทมิฬปกคลุมท้องฟ้า

ใบหน้าของหญิงสาวจำนวนมากปรากฏขึ้นมาจากร่างของมัน

หนึ่งในนั้นคืออเล็กเซีย แม่มดที่เอเทอร์น่าสละชีวิตตนเองเพื่อทำลาย

ในตอนนั้นเอง เวอร์เนลก็เข้าใจได้

…เจ้านี่เอง! เจ้านี่คือต้นเหตุของทุกๆอย่าง…!

รากฐานของความชั่วร้าย สิ่งที่เปลี่ยนเซนต์ทั้งหลายให้กลายเป็นแม่มด!

ตัวของ”แม่มด”เอง!

เขาใช้ความเศร้าและความโกรธแค้นจากการสูญเสียเอเทอร์น่าเพื่อยกดาบขึ้นมา แต่ในตอนนั้นเอง แม่มดก็ยิงลำแสงสีดำใส่และเป่าตัวเขาปลิวกระเด็นไป

ตัวเขาเองก็ทั้งบาดเจ็บและเหนื่อยอ่อนจากการต่อสู้กับอเล็กเซียมามากแล้ว การโจมตีเพียงครั้งเดียวนั้นมากเพียงพอที่จะทำให้เขาขยับไม่ได้

แต่ว่า เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ? ยังจะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นได้อีก?

ก่อนที่สติของเขาจะหลุดลอยไป เขาก็ได้เห็นฉากที่ไม่น่าเชื่อ

“แม่มด”ใช้รยางค์ของมันยกร่างของเอเทอร์น่าขึ้นมา

“หยุดนะ!…เอา…เอเทอร์น่า…กลับมา…นะ…!”

เขาพยายามที่จะฝืนตัวยืนขึ้นทั้งที่ยังกระอักเลือดอย่างหนัก

แต่ขาของเขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว ไม่สามารถแม้แต่จะกระดิกนิ้วได้

สายตาของเขาข้างหนึ่งกลายเป็นมืดบอด

“เอเทอร์น่า! เอเทอร์…น่า…!”

ปล่อยเธอไปซะ

พอได้แล้ว

เอเทอร์น่าเจ็บปวดมามากเกินพอแล้วนะ เธอทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จ

แต่โชคชะตาก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เธอได้พัก

กระทั่งหลังจากตายไปแล้ว จะให้เธอไปสู่สุขติดีๆไม่ได้หรืออย่างไร?

“บ้าเอ๊ย…บ้าเอ๊ย…!”

เขากัดฟันแน่นจนเลือดไหลออกจากปาก

ดวงตาข้างที่เขาเหลืออยู่ไหลรินน้ำตาสีแดงดุจเลือด ใบหน้าของเขาถูกย้อมไปด้วยความเกลียดชัง

แต่เจ้า”แม่มด”กลับหัวเราะใส่ความโกรธแค้นนั้น

“คยะฮะฮะฮะฮะ! อะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

มันบินขึ้นฟ้าไป ทิ้งไว้แต่เสียงหัวเราะ

ร่างของคนรักของเขาถูกมันดูดกลืนเข้าไป

เวอร์เนลพยายามที่จะเอื้อมมือออกไป แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า

“เอเทอร์น่า…เอเทอร์น่าาาาาาา!!!”

.

ไอ้สลัดเอ๊ย เกมกากฉิบเป๋ง ตูไม่อยากเล่นต่อละนะ

นี่มันเป็นเกมที่ทำให้ผู้เล่นโกรธจนปาจอยทิ้งได้เลยนะ

การโจมตีโดยใช้แสงจากจิตใจผู้คนเป็นสิ่งจำเป็นในการปราบ”แม่มด” -> สภาพของโลกสิ้นหวังเกินจนรวบรวมแสงได้ไม่พอ -> ปราบแม่มดไปได้ -> ทางตัวเว้ย!

แล้วจะให้ตูทำยังไงล่ะเนี่ย?

จะให้ทำยังไงกับบอสที่กระทั่งตัวชั้นก็ยังปราบไม่ได้ล่ะเฮ้ย!

ถ้ามันแค่กันพลังของชั้นได้เฉยๆยังพอว่า อันนั้นมันยังหาทางเพื่อที่จะทะลวงการป้องกันนั้นได้ แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น

ไอ้บอสตัวนี้มันบั๊ก ที่ขนาดเลือดเหลือสูนย์แล้วการต่อสู้มันก็ยังไม่จบ สามารถเจอได้ในเกมที่ทำไม่เสร็จแต่รีบเอามาวางขายให้คนด่าเล่น…รีบๆอัพแพทช์ใหม่สักทีสิวะ

ไงก็เถอะ ไหนๆก็ทำแบบลูกเล็กมาอันนึงแล้ว เอาไปแดรกซะไอ้แม่มดโง่

แสงสว่างวาบกระจายไปทั่ว เสียงหัวเราะของแม่มดเองก็หยุดลง

“สำเร็จรึเปล่า?!”

หยุดเถอะเวอร์เนลซัง ไอ้นั่นมันปักธงให้ฝ่ายศัตรูรอดชัวร์ๆเลยนา

เอาเหอะ ต่อให้ไม่พูดอะไร ชั้นว่าก็ยังจัดการมันไม่ได้อยู่ดี

ร่างของแม่มดสลายไปบางส่วน ทำให้พวกชาวบ้านเชียร์กันใหญ่เลย

โอ้ แบบนี้ความหวังเพิ่มขึ้นแล้วใช่มั้ยเนี่ย อ่ะนะ ก็ยังไม่น่าพออยู่ดี

ทำไงต่อดีล่ะเนี่ย? ในขณะที่คิดแบบนั้น ชั้นก็เห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ด้านในของแม่มดที่ร่างกายถูกเป่าหายไปส่วนหนึ่ง

ขนาด…พอๆกับมนุษย์ รูปร่างเองก็เหมือนกัน

ผมยาวสีเงิน สามารถดูออกได้ว่าเป็นผู้หญิง

หน้าตาสวยเชียว ดูไปก็คล้ายๆนางเอกหลักอย่างเอเทอร์น่าชอบกล

…ไม่ดิ นั่นมันเอเทอร์น่าเลยนี่หว่า?!

“…! เอเทอร์น่า…!”

เวอร์เนลซังก็สังเกตได้เหมือนกัน เขาตะโกนเรียกเธอที่หลับไหลอยู่

แต่ว่าตาของเธอยังคงปิดอยู่ ไม่ตอบสนองอะไรทั้งสิ้น

ยิ่งกว่านั้น…เอเทอร์น่าซัง โป๊อยู่แหละ! นู้ดมาเลย! ไม่มีกระทั่งเศษผ้าช่วยบังไว้!

เยี่ยม! เยี่ยม! …ฟู่ว

เป็น…เป็นวิวที่ดีจริงๆ

…อุ๊บส์ โทษที ไม่ใช่เวลาจะมาหื่นนี่นา ทำไมเอเทอร์น่าถ฿งมาอยู่ในตัวของ”แม่มด”ล่ะ?

ไม่เห็นรู้เลยว่ามีอะไรอย่างนี้ด้วย?

ในตอนที่ชั้นยังคงงงอยู่ แม่มดก็พยายามที่จะกลับมารวมตัวอีกครั้งโดยใช้เอเทอร์น่าเป็นแกนกลาง

โอ้ ไม่ปล่อยให้ทำหรอกนะ

จะคืนสภาพก็ไม่ว่าหรอก แต่อย่าหวังจะเอาร่างของนางเอกหลักเลย

ยิ่งชั้นนี่เป็นแฟนของเอเทอร์น่าซะด้วย จะปล่อยให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้กับร่างของเธอที่ตายไปแล้วแถมยังโป๊อยู่นี่ไม่ได้หรอก

เอ๊ะ? เมื่อกี๊ชั้นยังมีความสุขอยู่เลยเหรอ? หนวกหูน่า? เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละอย่างกัน!

วิชาลับ! ลืมสิ่งที่ไม่ชอบไปให้หมดซะ!

ในขณะที่ชั้นพยายามแก้ต่างให้ตัวเองในกัว มือก็จับเอเทอร์น่าเอาไว้และพยายามที่จะดึงเธอออกมา

–ตึก…ตึก…

“…เอ๊ะ?”

ชั้นชะงักไปชั่วขณะ

ในตอนที่ชั้นจับมือของเอเทอร์น่าซัง ชั้นก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้

มันอ่อนมาก ถ้าไม่ตั้งใจก็จะรู้สึกไม่ได้เลย…แต่ว่ามีอยู่อย่างแน่นอน…

ไม่น่าจะ…ไม่นึกเลย…

“อะฮะฮะฮะฮะ…! ฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…!”

“!”

ชั่วพริบตาที่ชั้นชะงักไปนี่ล่ะที่สำคัญ

“แม่มด”กระชากเธอกลับไปอย่างรุนแรง ทำให้เธอหลุดจากแขนของชั้นไป

ในเวลาไม่นาน แม่มดก็คืนสภาพกลับมาโดยใช้ตัวของเอเทอร์น่าเป็นแกนกลางได้สำเร็จ แล้วก็ค่อยๆถอยห่างออกไป

ใบหน้าของแม่มดบนตัวมันหายไปหน้าสองหน้า แต่เรี่ยวแรงนี่ยังดูไม่ตกลงเลย

แต่ว่า การโจมตีเมื่อครู่มีผลอย่างแน่นอน

อย่างที่ว่านั่นล่ะ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโจมตีธรรมดาๆใส่แม่มด มันเป็นบอสติดบั๊กที่เลือดอยู่ที่ศูนย์มาตั้งแต่แรกแล้ว

แต่แสงจากจิตใจมนุษย์เมื่อครู่สลายคำสาปซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของมันออกไปบางส่วน

แทนที่จะเป็น”การโจมตีที่ลดเลือด” เรียกว่าเป็นการโจมตีที่”ทำลายหลอดเลือด”จะถูกกว่า

ว่าแล้วเชียว น่าจะโยนใส่มันอีกซักอัน

ยังมีสิ่งที่ติดใจชั้นอยู่ ต้องทำให้มันเผยตัวเอเทอร์น่าออกมาอีกรอบ

ตอนแรกก็นึกว่าถึงทางตัน แต่การโจมตีเมื่อครู่ดูจะส่งผลถาวร ที่เหลือก็แค่โยนใส่มันเรื่อยๆจนกลายเป็นตัวไร้พิษสงไปซะ

ตอนที่คิดอย่างนั้น จู่ๆ”แม่มด”ก็หันหลังบินหนีไปเฉยเลย

เอ๊ะ? จะหนีเหรอ? เอาจริงดิ?

มันมีสติพอที่จะคิดหนีด้วยเหรอ?

…ไม่สิ นั่นไม่น่าจะมาจากสติ มันน่าจะแค่ถอยห่างออกไปก่อนเพราะโดนการโจมตีที่ไม่รู้จัก

แต่หนีซะไวเชียวนะแก นี่เป็นเพราะมีส่วนนึงของอเล็กเซียอยู่ด้วยป่ะเนี่ย?

จะให้ตามไปก็ได้นะ…ไม่สิ ต่อให้ตามไปก็ยังจัดการมันไม่ได้อยู่ดี

แสงจากจิตใจน่ะจะต้องรวบรวมมาจากรอบข้าง

ถ้าไม่มีมนุษย์อยู่ใกล้ๆให้รวมแสง ชั้นก็ใช้มันไม่ได้หรอก

ในโลกของชั้นน่ะ มีมนุษย์อยู่ทุกที่ ความหวังในโลกเองก็มีเหลือเฟือ

ในโลกนี้…จะให้ดูดแบบไม่สนสิ่งแวดล้อมหรือสถานที่นี่ก็คงทำไม่ได้

ถ้าชั้นออกห่างจากหมู่บ้านนี้ไป ชั้นก็น่าจะไม่สามารถทำอะไรมันได้

หรือก็คือ ชั้นไม่มีวิธีที่จะจัดการกับแม่มดที่หลบหนีไปได้

พอร่างของ”แม่มด”หายลับสายตาไป เสียงเชียร์หนวกหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

โว้ว ตกใจเลยนะเนี่ย

“อุโอ๊วววว! “แม่มด”ถูกขับไล่ไปแล้ว!”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย! ปาฏิหาริย์ชัดๆ!”

“สุดยอด! พวกคุณนี่สุดยอดเลย!”

“พวกเรารอดแล้ว…”

“ขอบคุณจริงๆ…! ไม่รู้จะตอบแทนยังไงดีเลย…!”

พอได้ยินพวกชาวบ้านพูดแบบนั้นแล้ว ชั้นก็ส่งยิ้มกลับไปเบาๆ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้หัวเราะเปลี่ยนเรื่องไปซะ

จากนั้นก็เริ่มคึกกัน สรรเสริญชั้นใหญ่เลย

อา โดนบูชานี่มันรู้สึกดีจริงๆ

ชั้นน่ะเป็นคนประเภทที่ยิ่งโดนชมก็ยิ่งเหลิงนะจะบอกให้

ว่าแล้วเชียว ไม่ว่าจะโชว์หล่อ แสดงท่าไม้ตาย ตูนี่โคตรเท่ ไปซักกี่ครั้งก็ยังรู้สึกดีเหมือนเดิม

ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ…ทำไมไอ้แว่นโรคจิตมันถึงคุกเข่าวะน่ะ?

ไรอ่ะ? มีอะไรจะขอโทษรึไง?

“โออ…ท่านเซนต์…! เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่กระผมได้พบกับท่าน…!”

“…อืม ตัวชั้นไม่ใช่เซนต์หรอกนะคะ”

ไม่เข้าใจเลยว่าไอ้หมอนี่พูดอะไรอยู่

ต่างจากในโลกของชั้น พอมาโลกนี้นี่ชั้นก็ไม่ได้แสดงตัวเป็นเซนต์ซะด้วยซ้ำ

แต่ไม่รู้ทำไม ไอ้นี่มันถึงยังเรียกชั้นว่าเป็นเซนต์อยู่ดี

พอเวอร์เนลซังเห็นเข้า ก็ทำหน้ารังเกียจแบบสุดๆ

“เฮ้ย ไอ้แว่นโรคจิต แกเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เอลรึไง?”

“ช่างเป็นคำพูดที่โง่เขลานัก กระผมเพียงแค่แสดงออกถึงความตื้นตันที่ได้พบกับท่านเซนต์เพียงเท่านั้น”

“บอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าแกคิดจะลักพาตัวเธอหรืออะไรล่ะก็ ข้านี่ล่ะที่จะบั่นหัวแกเอง”

ฮิเอ๊ ว่าแล้วเชียว เวอร์เนลซังโลกนี้น่ากลัวง่ะ

ก็เข้าใจว่าพยายามจะปกป้องชั้นล่ะนะ

“โอ เซนต์ กรุณาเอ่ยนามที่สูงส่งของท่านให้แก่กระผมได้หรือไม่?”

“ไม่ใช่เซนต์หรอกค่ะ และชื่อของชั้นก็คือ เอลริส ค่ะ”

“โอ้ ช่างเป็นนามที่งดงามเหมาะสมกับเซนต์ มีความหมายที่ลึก…หืม? เอลริส?”

ไอ้แว่นโรคจิตทำท่าเหมือนจะร่ายอะไรยืดยาว แต่พอได้ยินชื่อชั้นปุ๊บ ก็เปลี่ยนมาเป็นทำหน้า”หา?”แทน

หลังจากจ้องหน้าชั้นอยู่พักนึง ก็หัวเราะออกมา

“อย่างนี้นี่เอง เจ้าเศษสวะนั่นคงจะขโมยชื่อของเซนต์ตัวจริงมาใช้… เจ้านั่นไม่พอใจกับแค่การเสแสร้งเป็นเซนต์ แต่ยังกล้าที่จะเหยียบย่ำนามของท่านอีก ยกโทษให้ไม่ได้เลยจริงๆ”

ชั้นนี่หัวเราะลั่นข้างในเลย ตูเป็นคนเดียวกับที่เอ็งเรียกว่าเศษสวะนั่นแหละ

ก็รู้อยู่แล้วอ่ะนะ เอลริสตัวจริงนี่มีแต่คนเกลียดอยู่ทุกที่เลย

“เซนต์ตัวจริงคือเอเทอร์น่าซังต่างหากล่ะคะ ชั้นก็เป็นแค่คนธรรมดาที่มีความสามารถทางด้านเวทมนตร์สูงกว่าคนอื่นเล็กน้อย”

“ข้าไม่คิดว่าระดับของเจ้านี่จะเรียกว่า “เล็กน้อย” ได้หรอกนะ อีกอย่างนะเอล มีเรื่องอยากจะถามหน่อยน่ะ”

ทำไมไอ้แว่นนี่ถึงจะดึงดันให้ชั้นเป็นเซนต์อยู่ได้เนี่ย ทั้งๆที่ก็ไม่ได้แสดงละครแบบที่โลกโน้นแท้ๆเลย

ในตอนที่คิดอย่างนั้น เวอร์เนลซังก็เข้ามาตัดบท

ถึงเขาไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่อะไรชั้นก็เถอะ แต่หน้าน่ากลัวอ่ะ

“การโจมตีครั้งสุดท้ายนั่นมันอะไรกันน่ะ? มันส่งผลกับเจ้านั่นอย่างเห็นได้ชัดต่างจากการโจมตีอื่นลิบลับเลย”

“นั่นคือเวทมนตร์ที่ผสมความรู้สึกด้านบวกเข้าไปด้วยน่ะค่ะ”

“ความรู้สึกด้านบวก?”

“ตั้งแต่แรกแล้ว “แม่มด”ก็คือคำสาปของแม่มดในยุคก่อนๆมารวมกัน เรียกได้ว่าเป็น’ความรู้สึกด้านลบที่ผสมเข้ากับพลังเวทย์แล้วมีตัวตนขึ้นมา’ก็ได้นะคะ และเพราะว่าร่างจริงของมันนั้นเกิดจากพลังเวทย์ การโจมตีใดๆก็ไม่อาจทำร้ายมันได้ ไม่สิ การโจมตีใดๆก็ไม่สามารถสลายคำสาปซึ่งเป็นแก่นของมันได้ และจะสามารถดูดซับพลังเวทย์จากรอบข้างเพื่อฟื้นฟูตัวเองกลับมาได้เสมอ สิ่งเดียวที่เป็นปฏิปักษ์กับคำสาปนั้น ก็คือความรู้สึกด้านบวกค่ะ”

ก็อย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ ว่านี่มันเป็นเหมือนกับเกมกากๆ

บอสมันบั๊ก ตีให้เลือดหมดหลอดมันก็ไม่ตาย ถ้าจะฆ่ามันก็ต้องทำลายหลอดเลือดให้หายไปด้วยเลย

ใครก็ได้ช่วยมาอัพแพทช์แก้บั๊กหน่อยดิ๊

“ทำไมนั่นถึงเป็นอย่างเดียวที่ได้ผลล่ะ?”

“ก็เหมือนการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์นั่นล่ะค่ะ ถ้าบอกว่าตอนที่มีความสุข ก็จะทำให้ความรู้สึกเศร้าหายไป แบบนี้จะเข้าใจง่ายกว่าหรือเปล่านะ? และ”แม่มด”เองก็คือคำสาปของแม่มดทุกยุคทุกสมัยที่มารวมกัน…รวมถึงความสิ้นหวังของพวกเธอ”

“และสิ่งที่จะสามารถสลายความสิ้นหวังนั้นได้ก็คือความหวังซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามสินะ…ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากที่สุดในสถานการณ์ของโลกตอนนี้”

ตามนั้นล่ะ สถานการณ์ในตอนนี้ไม่สู้ดีเท่าไรเลย

ยิ่งแม่มดออกอาละวาด ความสิ้นหวังก็จะยิ่งมากขึ้น และพลังที่จะสามารถใช้ในการต่อกรกับมันได้ก็ลดลง

ยิ่งเวลาผ่านไป “แม่มด”ก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นและมนุษยชาติก็จะอ่อนแอลง ทำให้โอกาสชนะหายไปอย่างสมบูรณ์ในที่สุด

ถ้าจะพูดไปล่ะก็ ต้องบอกว่าตอนที่สู้กันในโลกของชั้นนี่คือสภาพแวดล้อมถือว่าทำให้ฝั่งชั้นได้เปรียบแบบสุดๆเลยอ่ะนะ

อย่างตอนที่ชั้นกะจะฟื้นฟูพลังเวทย์นิดหน่อย พอดูดเข้ามาหน่อยเดียวก็โดนความรู้สึกด้านบวกถาโถมเข้าใส่จนเกือบเปลี่ยนนิสัยชั้นไปเลย

และเพราะว่าชั้นไม่อยากได้ไอ้”ความหวัง”โง่ๆนั่น ก็เลยโยนมันใส่แม่มดไปซะ แล้วก็ชนะมาได้แบบงงๆ ก็ประมาณนั้นแหละ

พอมาตอนนี้ที่ชั้นตั้งใจที่จะรวบรวมแสงจากจิตใจมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็กลับหามาได้ไม่พอซะนี่ เรียกได้ว่ากลับตาลปัตรกันเลย

“ความหวังเป็นภัยต่อมัน…อย่าบอกนะว่า ที่มันมาที่นี่ก็เพราะ…”

“ค่ะ มันรู้สึกได้ถึงความรู้สึกด้านบวกในจิตใจของผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ จึงเดินทางมาเพื่อที่จะทำลายให้สิ้นซากค่ะ”

“อย่ามาล้อกันเล่นนะ…มันไม่แม้แต่จะยอมให้ความสุขเล็กๆคงอยู่ในโลกเลยรึไง?”

เวอร์เนลซังพูดด้วยความเกลียดชัง ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจหรอกนะ

“แม่มด”จะพุ่งตรงไปทำลายความหวังทุกๆที่ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ขนาดชั้นยังบอกเลยว่านั่นมันเลวร้ายมาก

เวอร์เนลซังหรี่ตาดุ ก่อนจะหันมามองชั้น

โอ๊ว น่ากลัวอ่ะ…แต่พอมองดูดีๆ เหมือนเค้ากำลังคาดหวังถึงอะไรบางอย่าง

“…มีวิธี…ที่จะนำร่างของเอเทอร์น่ากลับมาได้บ้างมั้ย…?”

“เวอร์เนลซัง นั่นเป็นเหตุผลที่คุณ…”

“…ใช่แล้ว ข้าไม่สนหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ”แม่มด”หรือว่าโลกนี้…ข้าเพียงต้องการให้เธอกลับมาเท่านั้น ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเอเทอร์น่าไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วน่ะ…และข้าก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสามารถเรียกร้องอะไรได้ แต่ถึงอย่างนั้น! อย่างน้อยที่สุด…ข้าก็หวังให้เธอได้พักผ่อนอย่างสงบ…”

“เวอร์เนล…”

เวอร์เนลซังก้มหน้าต่ำพร้อมแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา

แมรี่เองก็มองเขาอย่างเจ็บปวด

นี่เป็นเหตุผลที่เขาต้องการจะสู้กับแม่มด ถึงแม้ว่าจะไม่มีโอกาสชนะอยู่เลย

จริงอยู่ที่ความเกลียดชังที่เขามีต่อแม่มดก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่เขาต้องการจริงๆก็คือการนำร่างของเอเทอร์น่ากลับมา

แต่ว่านะ มันยังเร็วไปที่จะมาทำหน้าเศร้า

เพราะว่าก่อนหน้านี้ มันมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่าดีใจอยู่ไงล่ะ

“—เอเทอร์น่าซัง เธอยังมีชีวิตอยู่ค่ะ”

ชั้นพูดความจริงออกมาให้ได้ยินชัดๆ

พอบอกไปอย่างนั้น ทั้งสองคนก็อึ้งไปเลย

เวอร์เนลกระพริบตาถี่ๆ มองมาที่ชั้นราวกับไม่อยากเชื่อ

“ชั้นมั่นใจได้ในตอนที่สัมผัสกับเธอก่อนหน้านี้ค่ะ เธออยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า กึ่งตาย แต่วิญญาณของเธอยังไม่หายไปไหน เธอยังอยู่ที่นั่นค่ะ”

“…ไม่อยากจะ…เชื่อ…นั่นเป็นความจริง…เหรอ…?”

“จะเรียกได้ว่าเป็นสภาพที่ใกล้เคียงกับการโดนผนึกก็ได้นะคะ สิ่งที่เราเรียกว่าเวทมนตร์ประเภทความมืดนั้นไม่ใช่การควบคุมความมืดที่แท้จริง แต่เป็นการควบคุม”มิติ”ที่ทำให้กระทั่งแสงก็ไม่อาจส่องผ่านไปได้ต่างหากค่ะ และเอเทอร์น่าซังก็ถูกผนึกเอาไว้ในมิติเช่นนั้น”

ชั้นเคยเห็นอะไรแบบนี้มาสามเคสแล้ว

เคสหนึ่งคือเซนต์คนแรกอัลเฟรียที่โดนแม่มดคนแรกผนึกเอาไว้

เคสสองคือแม่มดอเล็กเซียที่โดนอัลเฟรียจับผนึก

และเคสที่สามก็คือศพของชั้นเองที่โดนอัลเฟรียผนึกเอาไว้เหมือนกันเพื่อรักษาสภาพ

ถ้ารู้เรื่องแล้วมันก็ง่ายๆ

คำสาปของแม่มดน่ะมันเริ่มมาจากแม่มดคนแรก อีฟ การที่”แม่มด”จะมีพลังแบบเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย

ก็จะมีคำถามใหม่ที่ว่าทำไม”แม่มด”ถึงไม่ใช้วิธีเแบบเดียวกับแม่มดในการคุ้มกันตัวเอง…ถ้าให้เดา คิดว่าพลังความมืดของแม่มดตัวนี้น่าจะมาจากเอเทอร์น่าเองซะมากกว่า

“แม่มด”เป็นเพียงคำสาป มันไม่มีพลังที่จะสามารถใช้งานเวทย์ความมืดได้ด้วยตัวเอง จำเป็นต้องใช้เอเทอร์น่าเป็นสื่อกลาง

“นี่เป็นเพียงแค่การคาดคะเนของตัวชั้นนะคะ แต่ชั้นคิดว่าเอเทอร์น่าซังถูกเปลี่ยนเป็นแม่มดอย่างไม่สมบูรณ์ ได้ยินมาว่าเอเทอร์น่าซังและแม่มดอเล็กเซียปลิดชีพกันและกันสินะคะ…แต่ถ้าให้พูดล่ะก็ ตัวอเล็กเซียเองก็ยังเป้นคนที่ตายไปก่อน และการถ่ายทอดพลังแม่มดก็จะเริ่มขึ้นในทันทีที่เธอจากไป”

ถ้าพูดง่ายๆก็คือ

ในรูทเอเทอร์น่าตามที่ชั้นรู้จักน่ะ เอเทอร์น่าและอเล็กเซียโจมตีเข้าหากันแล้วก็ตายคู่

แต่ถึงอย่างนั้น พวกเธอก็ไม่ได้ตายพร้อมๆกัน

หลังจากที่อเล็กเซียตายไป ถึงจะห่างกันไม่ถึงนาที แต่ก็มีเวลาเหลือพอให้เอเทอร์น่าพูดสั่งลากับเวอร์เนลได้

อาจจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ แต่การถ่ายทอดพลังก็ได้เริ่มไปแล้ว

“คิดว่าเวอร์เนลซังคงจะรู้อยู่แล้วนะคะ ว่าพลังแม่มดน่ะมีความสามารถในการคงสภาพไม่ให้ร่างสถิตตายไปอยู่ และนั่นคือพลังที่กันเอาไว้ไม่ให้เอเทอร์น่าซังเสียชีวิตไป แต่บาดแผลของเอเทอร์น่าซังเองก็สาหัสและมันก็ไม่มีความสามารถที่จะฟื้นฟูเธอกลับมาได้ ทำให้ไม่สามารถใช้เธอเป็นร่างสถิตที่แท้จริงได้ แต่ว่า”แม่มด”เป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังเวทย์ที่ไร้ซึ่งสติปัญญาของตนเอง…มันไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเอเทอร์น่าซังในตอนนี้ไม่สามารถนำมาใช้เป็นภาชนะของมันได้ จึงทำได้เพียงกักตัวเธอเอาไว้อย่างนั้น”

จริงๆชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงโป๊อยู่

อาจจะเพราะว่าผนึกไว้แค่ร่างกายของเธออย่างเดียว เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ถือเป็นของนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง

และถ้ามีของนอกอยู่ด้วยจะทำให้ผนึกมีประสิทธิภาพน้อยลง อะไรแบบนั้น

ว่าไปแล้วอัลเฟรียก็โดนจับผนึกตอนที่โป๊อยู่นี่นา

และเพราะว่าตอนที่ชั้นโดนผนึกยังใส่เสื้อผ้าอยู่ เลยหลุดออกมาได้ง่ายๆ

ประมาณว่าถ้าใส่กระจกกันกระแทกบนหน้าจอที่มีฝุ่นเขรอะ จะทำให้อากาศเข้าไปได้ แล้วก็หลุดออกได้ง่ายกว่า อะไรแบบนั้น

“…เธอยังมีชีวิตอยู่…จริงๆใช่มั้ย…ที่ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่น่ะ…?”

“ค่ะ เธอห่างจากความตายไปเพียงก้ามเดียว แต่ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่แน่นอนค่ะ และหากชั้นนำเธอออกมาล่ะก็ มีโอกาสที่ชั้นจะสามารถช่วยเธอเอาไว้ได้ค่ะ”

ถึงจะเป็นชั้นก็เถอะ จะให้ชุบชีวิตคนที่ตายไปนานแล้วก็คงทำไม่ได้หรอก

จะให้ทำให้ศพที่เน่าเปื่อยคืนสภาพกลับมานี่ชั้นก็ทำได้ จะกระดูกแตกทั้งตัวชั้นก็ซ่อมได้ ถึงหัวใจหยุดเต้นไปชั้นก็ยังทำให้มันกลับมาเต้นใหม่ได้ จะให้คืนสภาพสมองที่ตายไปแล้วยังทำได้เลย

แต่ถ้าวิญญาณไปอยู่โลกหน้าแล้วล่ะก็ ชั้นก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก

ถือว่าโชคดีที่วิญญาณของเอเทอร์น่ายังอยู่ดี เธออยู่ในสภาพที่กึ่งตาย แต่ก็ยังไม่ตายจริง

ชั้นยังช่วยเธอได้อยู่

ในตอนที่คิดอย่างนั้น เวอร์เนลซังก็มาจับแขนชั้นเอาไว้

“ขอร้องล่ะ…ช่วยเธอ…ช่วยเอเทอร์น่าให้ได้ทีเถอะ…! ถ้าต้องการอะไร ข้าพร้อมที่จะมอบให้ทุกอย่างเลย…ต่อให้เป็นชีวิตนี้! เพราะอย่างนั้น…”

หืม? อะไรก็ได้เลยเหรอ?

ล้อเล่นน่า ต่อให้ไม่ขอมา ยังไงชั้นก็จะทำอยู่แล้ว

ต่อให้ขอว่าให้ไม่ช่วย ก็ยังจะช่วยอยู่ดีเฟ้ย

ไอ้สถานการณ์แบบพลิกจากแบดเอนด์ไปเป็นแฮปปี้เอนดิ้งนี่ล่ะที่แฟนๆอย่างตูต้องการ

“อะไรก็ได้…สินะคะ? ถ้าอย่างนั้น ช่วยเห็นค่าของชีวิตตนเองให้มากกว่านี้หน่อยเถอะค่ะ คุณจะต้องมีชีวิตต่อไปนะคะ เพราะว่าคุณเป็นที่ที่เอเทอร์น่าซังจะกลับมาหานี่นา”

ชั้นบอกให้เวอร์เนลซังเลิกเดินดุ่มออกไปตายตามใจชอบ แล้วเขาก็จับมือชั้นพร้อมพยักหน้า

เอาล่ะ…แบบนี้มันทำให้ชั้นมีกำลังใจขึ้นมาเลยไม่ใช่รึไง?

ในโลกนั้นน่ะ ชั้นทำอะไรตามใจชอบจนรูทเอเทอร์น่าพังพินาศหมดแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะได้มีโอกาสแก้ตัวในโลกนี้อีก

เอาล่ะ ก็จะพยายามเต็มที่เลยแล้วกัน

ก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าจะจัดการกับแม่มดยังไง…แต่แบบนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาชนะเท่านั้น

ต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการต่อสู้ที่จะมาถึง

อย่างแรกก็รักษาเวอร์เนลซังที่ก่อนหน้านี้ชั้นไม่กล้ารักษา(เผื่อว่าจะกลายมาเป็นปฏิปักษ์กับชั้น)ก่อนเลยน รักษาแขนที่ขาดนั่นก็ด้วย

จู่ๆแสงก็มารวมตัวกันที่แขน ทำเอาเวอร์เนลซังตกใจไปเลย

จริงๆจะไม่ใช้แสงก็ได้น่ะนะ แต่แบบนั้นก็จะได้ภาพคมชัดของฉากที่กระดูก เส้นเลือด กล้ามเนื้องอกออกมาจากแผลแล้วสร้างขึ้นเป็นแขน

พอแสงหายไป แขนใหม่ของเวอร์เนลซังก็ถูกสร้างขึ้นมา

ชั้นรักษาตาข้างที่บอดของเขาให้ด้วย พร้อมกับเอาผ้าปิดตาออก

เออ แต่ชั้นปล่อยแผลเป็นไว้ที่เดิมนะเออ ไอ้นั่นไง ลูกผู้ชายกำเนิดขึ้นจากแผลเป็น ใช่มั้ยล่ะ จะให้รักษาโดยไม่ขออนุญาตนี่มันเสียมารยาท

“ไม่อยากจะเชื่อ…ทั้งแขน….ทั้งตา…”

“ถ้ามีแค่แขนเดียวก็จะโอบกอดเอเทอร์น่าซังได้ลำบาก และถ้ามีตาเดียวก็จะทำให้มองหน้าของเธอไม่ได้ชัดเจนใช่ไหมล่ะคะ ตัวชั้นเลยถือวิสาสะรักษาให้โดยไม่ขอก่อน”

“…ขอบคุณมาก นี่เป็นบุญคุณที่ชาตินี้ข้าคงไม่อาจจะทดแทนได้หมด”

เวอร์เนลใช้มือขวาใหม่เพื่อค้นหาบางสิ่งในกระเป๋าเสื้อ

เขาเอาอะไรสักอย่างออกมาให้กับชั้น

เป็นหินสีฟ้าสะท้อนแสง แต่ก็ไม่เชิงอัญมณี

อะไรอ่ะ พาวเวอร์สโตนเหรอ?

“เอ่อ นี่คือ…?”

“ได้มาในระหว่างเดินทางน่ะ เรียกว่า ออกูราเระ …ว่ากันว่าเป็นกินที่ทำให้คำขอสมหวังได้หนึ่งอย่างน่ะ ข้าพกมันเอาไว้ตลอด อธิษฐานให้ความหวังเป็นจริง ช่วยรับไว้ทีเถอะ ข้ารู้ดีว่าของอย่างนี้น่ะไม่มีค่าอะไรในตอนนี้ แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้ามีอยู่”

“ไม่เป็นไรค่ะ ชั้นไม่ได้ต้องการของตอบแทน…”

“ถ้าข้าถูกรักษาอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ได้ทำอะไรตอบแทนเลยจะทำให้รู้สึกแย่น่ะ ถือว่าเห็นแก่ข้าแล้วรับไว้เถอะนะ”

ดูเหมือนว่ายังไงก็ต้องรับมาแฮะ

หินที่ทำให้ความหวังเป็นจริงเหรอ… ถึงชั้นได้ไปก็ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไรน่ะนะ

เดี๋ยวกลับโลกโน้นแล้วค่อยเอาไปขายแล้วกัน

.

สามวันผ่านไป “แม่มด”ก็กลับมาที่หมู่บ้านนี้อีกครั้งหนึ่ง

อย่างที่คิดเลย แค่รออยู่ที่นี่ มันก็จะกลับมาอีกครั้ง

“แม่มด”จะเพ่งเล็งจุดที่มีความหวังมารวมกันตามธรรมชาติของมัน ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องกลับมาอีก

จากเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว พวกชาวบ้านที่เชื่อว่าถ้าชั้นสามารถขับไล่มันไปได้ ก็มีโอกาสที่จะปราบมันได้เช่นกัน

เพราะแบบนั้น ทำให้ความหวังในหมู่บ้านนี้เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม มันเลยโดดเด่นขึ้นมาในโลกที่สิ้นหวังนี้

จริงๆการที่มันกลับมาที่นี่ทั้งๆที่ครั้งก่อนโดนไปแบบนั้น มันก็โง่น่าดูเลยน่ะนะ…เออ มันก็ไม่ได้มีสติปัญญามาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา

“อะฮะฮะฮะฮะ! อุฟุฟุฟุฟุฟุ!”

มันหัวเราะมาแต่ไกลเลย เหมือนลืมครั้งก่อนไปหมดแล้ว

ถึงแม้มันจะก่อร่างขึ้นมาตอนที่จะบุกเข้าโจมตี แต่ว่าแล้ว จะให้คงสภาพร่างเนื้อเอาไว้ตลอดนี่คงจะยากสินะ

ถ้าทำได้ก็คงไม่ต้องการร่างสถิตล่ะนะ

เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย!

ชั้นเรียนรู้ความผิดพลาดจากครั้งที่แล้ว รอบนี้ชั้นกางบาเรียขนาดประมาณห้าร้อยตารางแมตรเอาไว้เพื่อกันไม่ให้มันหนี

เป็นแบบเดียวกับตอนอเล็กเซีย บาเรียที่กันไม่ให้พลังเวทย์สามารถเข้าออกได้ รอบนี้มันจะได้หนีไม่ได้…

แต่วิธีนี้ก็มีจุดอ่อนอยู่

เพราะว่าบาเรียเองก็จะกันไม่ให้แสงจากจิตใจเข้าออกได้เช่นกัน เท่ากับว่าจะต้องให้หมู่บ้านอยู่ในบาเรียไปด้วย

ชั้นขออนุญาตเจ้าแว่นโรคจิตกับชาวบ้านคนอื่นๆที่ยอมเสี่ยงกับวิธีนี้แล้ว

ชั้นขอให้เวอร์เนลซัง แมรี่ ฟาร่าซัง และไอ้แว่นโรคจิตคอยทำหน้าที่คุ้มกันหมู่บ้านเอาไว้

เท่ากับว่านี่เป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งระหว่างชั้นกับ”แม่มด” ยังไงก็มีแค่ชั้นที่สามารถใช้แสงจากจิตใจได้อยู่แล้ว ก็คงต้องอย่างนั้นล่ะนะ

“The Sun Shines Upon All Alike.”

ชั้นชูมือขึ้นเพื่อรวบรวมแสงจากจิตใจของคนในหมู่บ้านให้กลายมาเป็นลูกบอล

พิทเชอร์ขว้างลูกแรกออกไปแล้วครับท่านผู้ชม!

ชั้นโยนบอลแสงนั้นใส่แม่มด ทำให้ร่างของมันแตกออก

เดี๋ยวมันก็ฟื้นฟูกลับมาได้อยู่ดี ตอนนี้ชั้นก็เตรียมตัวโจมตีรอบถัดไปอยู่

“Fortune Favors The Bold”

ดาบแสงแปดเล่มลอยลงมาจากฟ้าแล้วมาหมุนควงเป็นกงจักรรอบตัวชั้น ก่อให้เกิดเป็นวงแหวน

จากนั้นชั้นก็ย้ายวงแหวนนั้นมาอยู่ด้านหลัง

…หืม? จะทำแบบนั้นไปทำไมเหรอ?

…ก็มันเท่ไม่ใช่รึไงล่ะ? นั่นแหละเหตุผล มีปัญหารึไง?

ชั้นลอยอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้การโจมตีไม่ไปลูกหลงโดนหมู่บ้าน

“กยะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

แม่มดมันคืนร่างกลับมาได้อีกแล้ว แต่รอบนี้หน้าของมันก็หายไปอีกส่วนนึง ถือว่าทำดาเมจได้โอเคเลย

“แม่มด”พยายามที่จะใช้รยางค์โจมตีชั้น แต่ก็โดนดาบแสงรอบตัวชั้นตัดกระจุย

พอดาบพวกนั้นทำหน้าที่เสร็จ มันก็กลับมาหมุนด้านหลังชั้นต่อ

เอาไปแดร๊กซะ! หมัดตะวันลูกที่สอง ตูม!

ร่างของแม่มดกระจุยไปอีกรอบ พวกชาวบ้านก็เชียร์กันใหญ่เลย

เออ เออ ต้องแบบนั้นแหละ ฮึกเหิมกันเข้าไว้

เพราะว่าผลลัพท์ของการต่อสู้นี้ ถ้าจะให้พูด ก็ขึ้นอยู่กับระดับความตื่นเต้นของชาวบ้านพวกนี้นั่นล่ะ

อย่างไอ้วงแหวนแสงที่ชั้นทำนี่ก็เพื่อทำให้คนคิดว่า “นั่นดูแข็งแกร่งสุดๆไปเลย” และ “เราอาจจะชนะก็ได้”

ถึงครึ่งนึงจะเป็นเพราะชั้นอยากทำก็เถอะ

มันเหมือนแข่งประกวดอ่ะ แข่งโดยใช้ความตื่นเต้นของผู้ชมเป็นตัววัด

ถ้าไม่ปล่อยความหวังออกมาเรื่อยๆ ชั้นก็จัดการกับเจ้าแม่มดนี่ไม่ได้หรอกนะ

ชั้นต้องห้ามไม่ให้พวกเขาคิดว่าชั้นอาจจะแพ้ได้

ถ้าใช้แต่วิธีเดิมไปเรื่อยๆจนชาวบ้านเริ่มรู้สึกว่า”หรือจะไม่ไหวจริงๆนะ?”ถ้าตอนนั้นล่ะก็งานเข้าของจริง

ชั้นต้องทำให้ทุกๆคนมีกำลังใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ต้องทำให้มันดูตระการตาที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ไปเลย!”

ชั้นส่งดาบด้านหลังของชั้นไปล้อมรอบ”แม่มด”

จากนั้นก็ยิงลำแสงจากปลายดาบนั้นพร้อมๆกัน ขัดจังหวะปืนใหญ่พลังเวทย์ของแม่มดเอาไว้ด้วยเลย

จากนั้นชั้นก็ดึงดาบกลับมา แล้วก็รวบรวมแสงจากจิตใจเพื่อโจมตีอีกครั้งหนึ่ง

ใช้แบบต่อเนื่องเลยไม่ได้เหรอ? ก็คนมันน้อยอ่ะ จะรวบรวมให้ได้ทีละลูกนี่ก็ลำบากแล้วนา อย่าเรื่องมากดิ

อืม…รู้สึกเหมือนมันใช้เวลารวบรวมนานขึ้นนิดหน่อยแฮะ

เอาเถอะ เอาลูกที่สามไปกินซะ!

ร่างของแม่มดกระจายไปอีกครั้ง ทำให้ตัวของมันค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ

ต่างจากตอนที่สู้กันในโลกของชั้น รอบนี้ตัวชั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ทำให้ไม่เหนื่อยง่ายๆ แต่ใช้ถี่แบบนี้ก็กินแรงไม่หยอกแฮะ

“เธอกำลังสู้อยู่…! สูสีกับแม่มดตัวนั้นเลย!”

“สุดยอดไปเลย! เธอต้องทำได้แน่!”

“แต่ว่า…ไม่ใช่ว่ามันฟื้นตัวกลับมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่าหรอกหรือ…?”

เวรล่ะ ชาวบ้านบางคนเริ่มจะใจเย็นลงจนตั้งคำถามแล้วเนี่ย

งี้นี่เอง…มันอยู่ไกลเกินไปจนไม่สามารถเห็นได้ว่าการโจมตีมันได้ผลสินะ

ชั้นก็บอกให้พวกเวอร์เนลซังคอยอธิบายสถานการณ์เพื่อเพิ่มกำลังใจแล้วน่ะนะ แต่ว่าพวกชาวบ้านที่ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องเวทมนตร์หรือแม่มดนี่คงยากที่จะทำความเข้าใจได้

ชั้นสร้าง”ยักษ์แห่งแสง”(พี่กล้าม)ขึ้นมา ยิงแสงลงจากฟ้าเพื่อสร้างเป็นทุ่งดอกไม้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มกำลังใจ แต่ว่าแล้วเชียว อัตราการรวบรวมแสงจากจิตใจมันค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆเลย

ใบหน้าของ”แม่มด”นี่หายไปเยอะพอสมควรแล้ว ถึงจะเรียกได้ว่าอีกก้าวเดียวก็สำเร็จ แต่ก็เป็นก้าวที่ห่างไกลเหลือเกิน

ตอนที่คิดอย่างนั้น แม่มดก็เริ่มบิดเบี้ยวและสร้างร่างใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง

เป็นเพราะว่าครั้งนี้ชั้นร่ายบาเรียคลุมไว้แล้ว มันเลยไม่น่าจะแยกตัวออกมาเต็มฟ้าแบบในโลกโน้น

และร่างที่มันสร้างขึ้นมาก็คือ…เอาจริงเหรอเนี่ย?

“…ไม่นึกเลยว่าจะเป็นร่างนี้”

เมื่อเห็นร่างของแม่มด ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ

ร่างใหม่ของแม่มดนั้นมีรูปร่างของมนุษย์ ขนาดพอๆกับตัวชั้น

ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก มันไม่ได้สร้างร่างใหม่ออกมา

ที่เจ้า”แม่มด”ทำก็แค่เข้าไปสิงสู่อยู่ในร่างของเอเทอร์น่า

พลังความมืดที่ลอยอยู่รอบตัวของเธอถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นชุดเดรสสีดำ

แปลกจริง…ถ้ามันทำแบบนี้ได้ล่ะก็ ทำไมถึงไม่ทำตั้งแต่แรกล่ะ?

เอเทอร์น่าไม่ควรที่จะสามารถใช้เป็นร่างสถิตได้ด้วยซ้ำ เพราะแบบนั้น”แม่มด”ถึงต้องก่อร่างเนื้อออกมาเองนี่นา ฉากตรงหน้านี้ทำให้ทฤษฎีที่มีมาจนถึงตอนนี้เพี้ยนไปหมดเลย

เอเทอร์น่ายังไม่ตายก็จึง แต่สภาพของเธอในตอนนี้ต้องเรียกว่าเสมือนตาย ไม่น่าจะสามารถใช้เธอเป็นภาชนะได้เลย

แม่มดน่ะมันใหญ่เกินกว่าที่จะสามารถเข้าไปสิงในภาชนะนี้ได้

“…”

อา เป็นความผิดตูนี่เอง

โอเค โอเค เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เป็นเพราะว่าชั้นยิงแสงจากจิตใจใส่มันเรื่อยๆ ทำให้มันอ่อนแอและขนาดเล็กลงจนอยู่ในระดับที่สามารถใช้เอเทอร์น่าเป็นร่างสถิตได้สำเร็จ

…นี่ชั้นโง่รึไงเนี่ย? สถานการณ์แบบนี้มันเลวร้ายที่สุดเลย!

เวรล่ะสิ…งานหยาบแล้วมั้ยล่ะ…ไงต่อล่ะเนี่ย…?