ตอนที่ 98 After Story โลกอีกใบ 4(จบ)

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

เอาละไง เป็นปัญหาแล้วมั้ยล่ะ

ขนาดในโลกที่ความหวังมีอยู่เพียงน้อยนิดนี้ ชั้นก็ยังสามารถยิงแสงจากจิตใจใส่มันไปได้หลายครั้งจนต้อนมันจนมุมได้ในที่สุด แต่คาดไม่ถึงเลย…ว่ามันจะไปหลบอยู่ในร่างของเอเทอร์น่าแบบนี้

ถึงมันจะไปหลบอยู่ในร่างของเอเทอร์น่าชั้นก็ยังสามารถจัดการมันได้นั่นแหละ ปัญหาก็คือ…ชั้นไม่มีวิธีที่จะสามารถทะลวงการป้องกันของเอเทอร์น่าได้

เซนต์และแม่มดมีความสามารถในการควบคุมมิติ ทำให้การโจมตีของศัตรูไม่สามารถเข้าถึงตัวได้เลย

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีแต่เซนต์ที่สามารถปราบแม่มดได้

ในตอนที่”แม่มด”เป็นร่างที่สร้างขึ้นจากพลังเวทย์ล้วนๆน่ะ มันจะไม่มีความสามารถแบบเดียวกัน ทำให้การโจมตีของชั้นเป็นผลได้

ก็ประมาณว่าเอาการป้องกันไร้เทียมทานไปแลกกับบั๊กอมตะนั่นแหละ

เซนต์เองก็มีการป้องกันแบบเดียวกันที่ทำสามารถได้รับบาดแผลจากการโจมตีของแม่มด หรือปีศาจที่มีพลังของแม่มดอยู่เท่านั้น

เมื่อก่อนชั้นมีพลังแม่มดที่ได้มาจากเวอร์เนล ทำให้การโจมตีของชั้นเข้าถึงตัวได้…แต่ตอนนี้ชั้นไม่มีของแบบนั้นอยู่แล้วเว้ย

ตอนที่ดึงอเล็กเซียออกมาจากผนึกน่ะ ชั้นทำลายมันทิ้งไปหมดแล้ว

…ช่วยไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ?! ก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้อีกนี่หว่า!

เพราะว่าไม่ต้องรับตำแหน่งเซนต์อีกแล้ว เลยคิดว่าโยนมันทิ้งไปก็ไม่น่าจะเป็นอะไรแท้ๆ

“…”

เอเทอร์น่าชูมือขึ้นมาและยิงกระสุนเวทย์เข้าใส่ชั้น

ชั้นส่งดาบจากด้านหลังออกไปตัดและพุ่งตรงเข้าใส่เธอ แต่ก็กระดอนออกมาโดยไม่ได้ทำความเสียหายแม้แต่น้อย

เอาไงดีล่ะ? ตอนนี้กลายเป็นว่าทั้งคู่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย

การโจมตีของเอเทอร์น่าทำอะไรชั้นไม่ได้เพราะระดับพลังมันต่างกันเกินไป ส่วนชั้นก็ไม่สามารถทะลวงการป้องกันของเธอไปได้

เราทั้งสองคนจ้องหน้ากัน ตอนที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ใครซักคนก็มาสะกิดไหล่ชั้น

“…เวอร์เนลซัง”

“ขอโทษนะเอล แต่จากนี้ไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ข้าไม่คิดที่จะยกบทบาทนี้ให้กับใครทั้งนั้น”

เวอร์เนลซังดูเหมือนว่าจะรู้สึกถึงสถานการณ์นี้ได้ จึงเสนอตัวเข้ามาช่วย

นี่ถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะเลย

เพราะว่าเวอร์เนลซังครอบครองพลังแม่มดอยู่ จึงสามารถทะลวงการป้องกันของเธอไปได้

อุตส่าห์บอกไปว่า “ขอฝากหมู่บ้านด้วยนะคะ(สีหน้าจริงจัง)” ถ้าไปขอให้มาช่วยนี่มันจะดูเห่ยใช่มั้ยล่ะ ดีนะที่เสนอตัวออกมาเอง

“เวอร์เนลซังคะ ถ้าเป็นไปได้ช่วยจับตัวของเธอเอาไว้โดยไม่ทำร้ายเธอได้ไหมคะ?”

“…มีแผนงั้นรึ?”

“ค่ะ ถ้าไปได้ด้วยดีล่ะก็ คิดว่าคงจะช่วยเอเทอร์น่าซังได้…ทำได้หรือเปล่าคะ?”

เวอร์เนลก้าวออกไปข้างหน้า มุมปากของเขายกขึ้น โชว์ความเป็นลูกผู้ชายออกมาผ่านแผ่นหลัง

“วางใจได้เลย”

สิ้นประโยคนั้น เขาก็พุ่งตัวออกไป

ไอ้หยะ เวอร์เนลซังคนนี้จะเท่ไปไหน

ถึงจะไม่สนใจผู้ชายในเชิงแบบนั้นก็เถอะ แต่ฮาร์ดบอยอย่างนี้ก็ไม่เลวแฮะ

เอเทอร์น่ายิงลำแสงจำนวนมากเข้าใส่เวอร์เนลซัง แต่ก็หยุดเขาไว้ไม่ได้เลย

“โอ๊วววววววว!”

เวอร์เนลซังคำรามเหมือนกับสัตว์ป่า และใช้เกรทซอร์ดบนหลังปัดป้องลำแสงจำนวนมากที่พุ่งเข้ามา

เอ๋ ปัดการโจมตีของเซนต์/แม่มดได้ง่ายๆงี้เชียว…มนุษย์คนนี้มันอะไรกันเนี่ย?

จริงๆถ้ามองดีๆก็จะเห็นว่าปัดได้ไม่หมดหรอก แต่ถึงลำแสงจะยิงถากแขนขาไป ก็ไม่ทำให้เขาชะลอลงแม้แต่นิดเดียว

เอเทอร์น่ากระโดดถอยหลังไปเพื่อเว้นระยะห่างพร้อมกับยิงกระสุนเวทย์ใส่

แต่เวอร์เนลซังก็สามารถกระโจนผ่านมันมาได้อย่างง่ายดาย

ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับความเสียหายเลย เสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่นี่คือขาดรุ่ยหมด แต่ความเร็วก็ไม่ยอมตกลง

ขนาดโดนยิงเวทมนตร์อักระยะเผาขนแบบนั้นก็ยังหยุดเขาไว้ไม่ได้

นี่เฮียคนนี้แกเป็นตัวละครเกมต่อสู้ที่เปิดซุปเปอร์อาร์เมอร์ไว้รึไง?

“พอซะที…รีบๆคืนเธอมาได้แล้วโว้ยยยย!”

เวอร์เนลซังตะโกนอย่างดังจนเส้นเลือดตามตัวปูด และในที่สุดเขาก็เข้าถึงเอเทอร์น่า

เขากอดรัดเธอเอาไว้ แต่แน่นอนว่าการโจมตีจากเอเทอร์น่าก็ยังไม่หยุดลง

การโจมตีจากระยะนั้นรุนแรงพอที่จะทำให้เวอร์เนลกระอักเลือดออกมา แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย

“นี่เอเทอร์น่า…ในที่สุดก็ได้ตัวเธอสักที…ขอโทษที่ให้รอนานนะ แต่จากนี้ไป ผมจะไม่ปล่อยเธอไปอีกแล้ว”

“…..เว…อร์…”

เอเทอร์น่าพูดเสียงเบาในอ้อมออกของเวอร์เนลซัง

ได้ไงวะนั่น?! ทำไมถึงพูดออกมาได้ทั้งๆที่อยู่ในสภาพกึ่งตาย+โดนผนึกอยู่อ่ะ?!

หรือว่าผนึกโดนคลายออกด้วยพลังความมืดของเวอร์เนลซัง…?

ถ้างั้นนี่ก็เป็นโอกาสของชั้นแล้ว ชั้นบินไปอยู่ด้านหลังของเวอร์เนลซัง และแตะตัวเขา

นี่เป็นแบบเดียวกับตอนที่ชั้นทำในโลกนั้น ยืมใช้พลังความมืด

แต่เพราะว่าชั้นไม่ใช่เซนต์ ถ้าชั้นดูดมันเข้าตัวมาอีกล่ะก็ อายุขัยก็จะโดนลดลงแบบคราวก่อน

เพราะแบบนี้ รอบนี้ชั้นจึงใช้ร่างของเวอร์เนลซังเป็นสื่อกลางเพื่อที่จะขับไล่”แม่มด”ออกจากร่างของเอเทอร์น่าซะ

“โอะ….โอวววว…..”

“แม่มด”ที่ถูกไล่ออกมาพยายามที่จะกลับเข้าร่างของเอเทอร์น่าอีกครั้ง

แต่ว่าเวอร์เนลซัง—ด้วยมือเปล่า—จับตัว”แม่มด”เอาไว้ได้

เขามองไปที่แม่มดพร้อมกับแสยะยิ้ม

“โย่… ถึงตอนจบของแกแล้วไอ้เวร อย่าคิดที่จะมาเกาะแกะเธออีกเลย ไปตายซะเถอะ…!”

“อะ…อ๊าาาาา…”

เวอร์เนลซังยิ้มแยกเขี้ยว จากนั้นก็เฮดบัต เอาหัวชนใส่แม่มด

ไม่ใช่แค่รั้ง สองครั้ง หรือสามครั้ง…แต่เป็นสี่ครั้งด้วยกัน จนเลือดโชกหน้าผาก แต่เขาก็ไม่ยอมหยุด

ในการโจมตีครั้งที่ห้า “แม่มด”ก็ถูกขับไล่ออกจากเอเทอร์น่าฌโดยสมบูรณ์ และพยายามที่จะหนี

เอ๊ะ…แบบนี้ก็ได้เหรอ…?

ตัวเอกเวลตันน่ากลัวอ่ะ

“เอล!”

“…ค่ะ!”

เมื่อกี๊อึ้งไปพักนึง แต่ชั้นก็ตอบสนองได้ทันท่วงที ชั้นเอื้อมมือไปอยู่บนตัวของเอเทอร์น่าและร่ายเวทย์

แน่นอนว่านั่นเป็นเวทย์รักษา

ชั้นรักษาบาดแผลให้เธอ พร้อมกับทำให้ระบบในร่างกายกลับมาทำงานอีกครั้ง

และแล้วเอเทอร์น่าก็เปิดตาขึ้นมา ในขณะที่เวอร์เนลซังยิ่งกอดเธอแรงขึ้น

“เวอร์…เจ็บอ่ะ…”

“ยัยบ้าเอ๊ย…รู้มั้ยว่าทำให้ผมเป็นห่วงแค่ไหน…!”

อึ้ม เป็นฉากที่ดีจริงๆ แบบนี้แหละที่ชั้นอยากจะเห็น

เอเทอร์น่าซังกลับมาโป๊เหมือนเดิม เวอร์เนลซังเลยนำผ้าคลุมมาปิดไว้ให้

อ๊ะ…น่าเสียดาย…

เท่านี้เราก็ชิงตัวเอเทอร์น่ากลับมาได้แล้ว และ”แม่มด”ก็กลับไปอยู่ในสภาพอ่อนแออีกครั้ง

ก็เหลือแค่อย่างเดียวที่ต้องทำ

ขอโชว์ออฟหน่อยละกัน!

ชั้นยกมือขึ้นมาเพื่อรวบรวมแสงจากจิตใจผู้คนอีกครั้ง

รอบนี้รวมแสงได้เร็วกว่าครั้งไหน

ต้องบอกว่าส่วนใหญ่แล้วก็มาจากจิตใจของเวอร์เนลซังและเอเทอร์น่านั่นแหละ

พลังแห่งรัก อะไรประมาณนั้นเลย

และตบท้ายด้วยความรู้สึกของชั้นเอง… ความรู้สึกถูกเติมเต็ม เหมือนว่าเรื่องที่คาใจอยู่ในที่สุดก็ถูกคลี่คลายสักที

และแล้วชั้นก็เข้าใจ ว่าอะไรกันแน่ที่คาใจชั้นอยู่?

ตั้งแต่แรกเลย ก่อนที่ชั้นมาเกิดใหม่น่ะ เป็นตอนที่ชั้นกำลังหัวเสียสุดๆจากฉากจบของรูทเอเทอร์น่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

ที่ชั้นต้องการน่ะ ตั้งแต่แรกแล้ว ก็คือ “แฮปปี้เอนดิ้งของเวอร์เนลและเอเทอร์น่า”

นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ชั้นทำอะไรหลายๆอย่างที่โลกนั้น แต่เพราะความเลินเล่อ รูทเอเทอร์น่าเลยหายวับไปซะอย่างนั้น และแฮปปี้เอนดิ้งที่ได้มาก็ไม่ค่อยจะเหมือนกับที่วาดฝันไว้ซักเท่าไหร่

ก็ใช่ว่าจะไม่พอใจกับเรื่องนั้น

แต่สุดท้ายชั้นก็ไม่สามารถทำให้ทั้งสองคนไปถึงแฮปปี้เอนดิ้งที่แท้จริงได้

ที่ชั้นทำก็แค่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลกนั้น…ไม่ได้ส่งผลอะไรกับโลกในเกมที่ชั้นเคยเล่นเลย

ยามาโตะซังก็เคยบอกไว้ ถ้าโลกที่ชั้นเล่นในเกมคือโลก A และโลกที่ชั้นไปเกิดใหม่คือโลก B

—ก็แปลว่าในท้ายที่สุด ชั้นก็ไม่สามารถช่วยทั้งสองคนในโลก A ได้

เพราะอย่างนั้น รับไปซะ”แม่มด”เอ๋ย!

นี่คือความรู้สึกของชั้น…ชั้นคนนี้!

ความตื้นเขิน ความโลภ ความปรารถนา และความคิดไปเอง! ความดื้อรั้นของชั้น ความใจแคบของชั้น ความไม่ยอมถอยของชั้น ความไม่ยอมรับของชั้นที่ทำให้ส่งสแปมเมลไปหาคนสร้างเกมว่าอยากจะเห็นแฮปปี้เอนดิ้งของตัวละครที่ชอบ แต่สุดท้ายก็โดนตอบกลับมาอย่างลวกๆจากนั้นก็โดนแบน! ความน่ารังเกียจ หนีความจริง และน่ารำคาญที่ชั้นเอาไปสร้างเป็นกระทู้บ่นเป็นสิบบนเน็ต! ความโง่เขลา และความน่าสมเพชที่ไปตั้งกระทู้แบบว่า “ใครก็ได้ช่วยเขียนแฟนฟิคที่เอเทอร์น่าได้รับฉากจบแฮปปี้เอนดิ้งที” และก็โดนตอบกลับมาว่า “เขียนเองสิวะไอ้โง่”! ความสิ้นหวังและความโกรธจนทำให้เกิด “ก็พวกนายบอกให้ชั้นเขียนเองนี่” และความอับอายที่หลังจากลงแฟนฟิคไปแล้วก็มีแต่คอมเมนต์จำพวกว่า “อย่าเขียนเป็นสคริปต์ดิ” “อ่านยากว่ะ” “ขยะ” “เด็กประถมยังเขียนได้ดีกว่า” “ดูไม่ออกเลยว่าใครกำลังพูดอยู่” “อย่าสลับไปมาระหว่างการบรรยายบุคคลที่หนึ่งกับบุคคลที่สามบ่อยๆสิ” แล้วก็ “พล็อตนี่ตื้นเชียะ ไม่มีความเป็นออริจินอลเอาซะเลย”

นี่แกทำบ้าอะไรฟะฟุโดว นิอิโตะ! คือมันก็นับว่าเป็นตัวชั้นได้นั่นแหละ แต่ไอ้ประวัติศาสตร์ดำมืดแบบนี้ทำให้ไม่อยากจะนับเป็นคนเดียวกันเลยเว้ย!

พอก้าวข้าวความรู้สึกพวกนั้นมาได้ ชั้นก็ได้รับมันมา

—อะไรซักอย่าง ที่คล้ายๆกับความหวังแต่ก็ไม่เชิง ไม่รู้ว่าจะนับเป็นส่วนนึงของแสงจากจิตใจดีรึเปล่า

“อ๊าาาาา! ม่ายยยยยย!!!”

ชั้นโยนดวงอาทิตย์เล็กๆนี้เข้าใส่”แม่มด”ทำให้มันกรีดร้องอย่างโหยหวน

ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่เสียงกรีดร้องนี่ดูจะปนรังเดียจมากกว่าครั้งที่แล้วยังไงก็ไม่รู้

และแล้ว “แม่มด”ก็ปริแตกออกและสลายกลายเป็นผง…คำสาปของแม่มดรุ่นแรกจบลง และหายไปกับสายลม

“…จบแล้วใช่มั้ย?”

“ค่ะ ไม่มีตัวตนของแม่มดอยู่อีกต่อไปแล้ว”

เวอร์เนลซังถามมาอย่างนั้น และชั้นก็พยักหน้าตอบหลับไปอย่างมั่นใจ

ชนะแล้ว! บทพิเศษเคลียร์!

0ะว่าเป็นชัยชนะที่ใสสะอาดก็ไม่เชิง ปิดฉากด้วยการที่ชั้นโยนอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจเข้าใส่ของที่น่ารังเกียจเหมือนกันแล้วก็นะมาได้ แต่เฮ้ ชนะก็ถือว่าชนะนั่นล่ะ

ถ้าแค่ชนะก็พอแล้ว เย่!

…กะ ก็ขอเครดิตนิดนึงดิ ไอ้ความรู้สึกนั่นมันก็คล้ายๆความหวัง…ล่ะมั้งนะ..

…ก็แค่ความหวังที่น่ารังเกียจนิดหน่อย

“โอะ…โอวววว! ในที่สุดแม่มดก็ถูกกำจัด! นี่คือปาฏิหาริย์แห่งเซนต์!”

“ก็บอกแล้วไงคะว่าไม่ใช่เซนต์น่ะ…”

เจ้าแว่นโรคจิตดูจะดีใจมากจนแทบมากราบเท้าชั้น แต่เซนต์ตัวจริงอยู่ตรงโน้นเว้ย

ฟาร่าซังทำหน้าแบบอ่านยาก จากนั้นก็ลากเจ้าแว่นโรคจิตขึ้นมา

มีบ่นพึมพำด้วยว่า “ทำไมชั้นถึงตกหลุมรักไอ้หมอนี่เนี่ย?”

ห๊ะ? เอ๊ะ? ทั้งสองคนในโลกนี้มีความสัมพันธ์แบบนั้นเหรอ?

เป็นคู่ที่คาดไม่ถึงเลยแฮะ

ในส่วนของตัวเอกและนางเอกก็…

…อู๊ว

ทั้งๆที่ทุกคนมองอยู่แท้ๆ แต่ร้อนแรงจังเลยนะทั้งสองคน

จนตอนที่เวอร์เนลซังกับเอเทอร์น่าก็ยังไม่แยกออกห่างจากกันสักนิดเลย

“อ๊ะ…เอล? นี่คือ…”

“เอ๊ะ?”

ตอนที่ชั้นกำลังพอใจกับการมองเวอร์เนลซังและเอเทอร์น่าอยู่ แมรี่ก็เรียกชื่อชั้น ทำให้ชั้นสังเกตได้ว่ามีอะไรกำลังเกิดขึ้นกับตัวชั้น

จู่ๆร่างของชั้นก็เปล่งแสงสีทองอร่ามออกมา

นั่นทำให้ชั้นรู้ตัว ว่าเวลาของชั้นในโลกนี้กำลังจะหมดลงแล้ว

“…ดูเหมือนว่าชั้นจะต้องกลับไปยังที่ที่ชั้นจากมาแล้วล่ะค่ะ”

อย่างนี้นี่เอง

ชั้นเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงถูกส่งมาที่โลกนี้

ตั้งแต่แรกแล้ว เซนต์คือตัวตนที่โลกสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับแม่มด

แต่พอมาถึงจุดนี้ กลายเป็นว่าเซนต์คนปัจจุบันถูก”แม่มด”จับตัวไว้ทำให้ไม่มีเซนต์คนใหม่เกิดขึ้นมา และต่อให้เกิดมาได้ ก็ไม่มีทางที่จะสามารถจัดการกับ”แม่มด”ได้อีก

พอหมดทางออก…โลกนี้เลยเรียกตัวชั้นมาช่วย

น่าจะอย่างนั้นนะ

“จะไปแล้วเหรอ?”

“ค่ะ ตั้งแต่แรกแล้ว ตัวชั้นน่ะมาจากโลกอื่นที่แตกต่างจากโลกนี้ ถูกเรียกมาที่นี่เพื่อที่จะต่อกรกับ”แม่มด” แต่…ดูเหมือนว่าหน้าที่นั้นจะสำเร็จลงแล้วล่ะค่ะ”

ถ้าจะพูดง่ายๆ ชั้นก็เป็นเหมือนลูกจ้างชั่วคราว

โลกนี้เจอทางตันแล้วก็แบบว่า “โลก B ม่อนช่วยด้วย!” แล้วทางโลก B ก็เลยให้ยืมตัวชั้นมาแบบ “ช่วยไม่ได้เลยน้าโลก A คุงเนี่ย”

ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะคุยกันแบบนี้เลยรึเปล่า แต่ผลลัพท์ก็ได้มาแบบนี้แหละ

“ท่านผู้ครอบครองพลังเทียบเทียมกับเทพเจ้า ถูกส่งลงมาจากสวงสวรรค์เพื่อช่วยโลกใบนี้…อย่างที่คิดเลย ท่านคือเซนต์ที่แท้จริง..”

ไอ้แว่นโรคจิตมันพูดบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย

ขี้เกียจตบมุกมันแล้วอ่ะ ปล่อยไปละกัน

ยังมีเรื่องที่ชั้นต้องทำก่อนจะกลับ

ปกตินี่คนอย่างชั้นไม่คิดจะทำโอทีให้ฟรีๆหรอกนะ แต่รอบนี้เป็นกรณีพิเศษแล้วกัน

ต้องบอกว่าถ้าชั้นไม่ทำอะไร ถ้าปล่อยไว้แบบนี้นี่โลกนี้ก็ไม่รอดหรอก

ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มานานแล้วแฮะ ใส่พลังเวทย์ที่ชั้นมีทั้งหมดลงไปในเวทย์รักษาและเวทย์เร่งการเจริญเติบโตของพืช! เต็มพิกัด!

จากนั้นชั้นก็ดูดซับพลังเวทย์จากรอบๆเข้ามาเพื่อขั้นตอนต่อไป

โลกนี้น่ะมันกว้าง ปกติแล้วเวทมนตร์ของชั้นก็คงจะไปได้ไม่ไกลถึงขนาดนั้นหรอก ชั้นเลยจะเปลี่ยนเวทย์นี้ให้อยู่ในรูปของภูติและปล่อยให้พวกมันบินไปเอง

ถ้ากลัวว่ามันจะลอยไปที่ไหนที่ไม่มีใครอยู่ก็ไม่ต้องห่วง

เพราะว่าชั้นน่ะมีตาทิพย์ของโหรอยู่

เอาล่ะ เท่านี้ก็เตรียมการเรียบร้อยแล้ว เอาให้มันตระการตาไปเลย

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด!

.

นั่น คือปาฏิหาริย์

เอลริสกางมือออก แล้วแสงจำนวนมากก็กระจายออกมา

วงแหวนแห่งแสงขยายใหญ่ขึ้นโดยมีเธอเป็นศูนย์กลาง และทุกๆที่ที่แสงนั้นผ่านทาง ล้วนได้รับการเปลี่ยนแปลง

หญ้างอกขึ้นมาบนผืนดินที่รกร้างและแห้งแล้ง ทุ่งนาที่ถูกปีศาจเผาจนวอดวายกลับมาเหลืองอร่ามอีกครั้ง

ดอกไม้ผลิบานในทุกๆที่ แหล่งน้ำใดที่เคยเน่าเหม็นก็กลับมาใสสะอาด

ท้องฟ้ามืดทมิฬถูกย้อมกลับเป็นสีคราม แสงส่องสว่างไปทั่วทุกหนแห่ง

ผู้ใดที่เจ็บป่วยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ผู้คนทั่วทั้งโลกจับจ้องไปยังภูติแห่งแสงที่บินผ่านฟากฟ้า

และแล้วภูติเหล่านั้นก็จมลงไปยังภูเขา ป่าไม้ แม่น้ำ หรือทะเล ราวกับเป็นการสละชีวิตเพื่อคืนชีพธรรมชาติ

ผู้คนที่เห็นฉากเหล่านั้น ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เริ่ม ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้นำ…ต่างกุมมืออธิษฐานให้กับปาฏิหาริย์นั้น

“นี่คือทั้งหมดเท่าที่ชั้นจะสามารถทำได้แล้วค่ะเวอร์เนลซัง โลกใบนี้ยังคงมีปัญหาอยู่อีกมากมาย และชีวิตที่สูญเสียให้กับแม่มดไปนั้น ก็ไม่สามารถนำกลับคืนมาได้อีก แต่ถึงอย่างนั้น ชั้นรู้ดีค่ะ ถ้าเป็นพวกคุณล่ะก็ จะต้องมีอนาคตที่สดใสรออยู่แน่”

“…ยัยบ้าเอ๊ย ที่เธอทำไปน่ะ มันมากเกินพอแล้ว”

เวอร์เนลทำได้เพียงหัวเราะให้กับพวกพ้องที่ทิ้งของขวัญอำลาชิ้นใหญ่เอาไว้ให้

หนี้บุญคุณที่เขาไม่มีวันชดใช้หมด มีแต่จะขยายใหญ่ขึ้น

เขาอยากจะตอบแทนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เธอก็กำลังจะลาโลกใบนี้ไปแล้ว

ถ้าเช่นนั้นอย่างน้อยที่สุด เขาก็อยากที่จะให้เธอได้จากไปอย่างไร้ซึ่งกังวล เพราะแบบนั้น เขาจึงยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน รอยยิ้มที่เขาไม่เคยแสดงออกมาตั้งแต่วันที่เสียเอเทอร์น่าไป

“ไม่ต้องห่วงหรอก เราจะจัดการที่เหลือเอง อาจจะมีปีศาจหลงเหลืออยู่บ้าง แต่อย่างน้อยจำนวนของพวกมันก็จะไม่เพิ่มไปมากกว่านี้แล้ว ในส่วนที่ยังเหลืออยู่…ก็เป็นหน้าที่ของพวกเรา ผู้คนของโลกใบนี้”

เวอร์เนลพูดอย่างมั่นใจ ในขณะที่เอลริสเองก็ยิ้มตอบ

ทั้งสองคนจับมือแบบเชคแฮนด์กัน ส่วนแมรี่ก็กอดเอลริสแน่นราวกับไม่อยากให้เธอไป

แสงรอบกายของเธอค่อยๆเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าเวลาใกล้จะหมดลงทุกที

ในตอนนั้นเอง เอลริสก็อุทาน”อ๊ะ”ขึ้นมา เหมือนว่าจะเพิ่งนึกเรื่องอะไรออก

“เกือบลืมบอกไปเลยค่ะ ถ้ามีโอกาสล่ะก็ ช่วยไปที่ประเทศเกาะออดินารี่ ฟุกุเทนด้วยนะคะ เซนต์คนแรก ท่านอัลเฟรียถูกผนึกเอาไว้ที่นั่น ถ้าเป็นเอเทอร์น่าซังก็น่าจะสามารถปลดปล่อยเธอออกมาได้อย่างแน่นอนค่ะ เธอคนนั้นน่าจะสามารถเป็นกำลังให้กับพวกคุณได้”

“เซนต์คนแรกเหรอ…เอาจริงดิ? นึกว่าถูกเปลี่ยนเป็นแม่มดไปแล้วซะอีก”

“เธอคนนั้นเป็นกรณีพิเศษน่ะค่ะ ส่วนรายละเอียดขอให้ไปถามเจ้าตัวเอง”

“เข้าใจล่ะ…ขอบคุณนะ ถ้ามีเซนต์อีกคนล่ะก็ ก็ถือว่าช่วยได้มากเลย ขอสัญญาเลยว่าจะปลดผนึกเธอออกมาให้ได้อย่างแน่นอน’

แม่มดอาจจะหายไปแล้ว แต่การรบระหว่างมนุษยชาติและเหล่าปีศาจก็ยังคงอยู่

ในกรณีนี้ เซนต์คนแรกจะเป็นกำลังรบที่จำเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม คำพูดของเอลริส ได้เปลี่ยนความสงสัยของเวอร์เนลให้กลายเป็นความแน่ใจ

“เอาล่ะ…ถ้าอย่างนั้น เอล ฝาก’ตัวผม’ที่ฝั่งนั้นด้วยนะ”

“…รู้ตัวตอนไหนคะเนี่ย?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเวอร์เนล เอลริสก็แสดงอาการตกใจออกมา

เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น เขาก็มั่นใจ

เธอคนนี้คือเอลริส ไม่ใช่แค่คนชื่อเหมือน แต่เป็นคนคนเดียวกันจากโลกอื่น

“ในตอนที่ข้าแนะนำตัวเองน่ะ เจ้าก็ทำท่าตกใจใช่มั้ยล่ะ? เจ้าคงจะรู้จักตัวข้าที่แตกต่างออกไปจากในตอนนี้ ถ้าจะให้เดาล่ะก็ ‘เวอร์เนล’ที่เจ้ารู้จักคงจะยังเป็นนักเรียนอยู่สินะ”

“…ก็ราวๆนั้นล่ะค่ะ”

“เจ้าเป็นคนบอกเองนี่ว่าตัวเองน่ะมาจากโลกอื่นที่แตกต่างจากโลกนี้”

เอาจริงๆแล้ว เวอร์เนลก็ยังคิดว่าเธอคงจะเป็นคนละคนกับเอลริสของโลกนี้อยู่ดี อาจจะต่างกันมาตั้งแต่แก่นเลย

อย่างน้อยที่สุด เอลริสที่เวอร์เนลรู้จักน่ะ เป็นคนที่เน่าไปจนถึงเนื้อใน

แค่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไปก็ไม่น่าจะเปลี่ยนได้ถึงขนาดนี้

ที่แตกต่างกันได้ถึงขนาดนี้ เวอร์เนลคิดว่าวิญญาณของทั้งสองคนน่าจะไม่เหมือนกันด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย ไม่ว่าจริงๆแล้วเธอจะเป็นใครมาจากไหน แต่สำหรับเขาแล้ว เธอไม่ใช่เศษสวะตนนั้น แต่เป็นพวกพ้องคนสำคัญที่ไม่อาจหาใครมาแทนที่ได้

“เกลียดชั้นรึเปล่าคะ?”

“อย่าล้อเล่นน่า เจ้าก็คือเจ้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไอ้ตัวแบบนั้นเลยสักนิด เจ้าคือพวกพ้องและผู้มีพระคุณ เท่านั้นก็เกินพอแล้วล่ะ”

เวอร์เนลและเอลริสยิ้มให้แก่กันและกัน นั่นทำให้เอเทอร์น่ารู้สึกหึงหวงขึ้นมาและอิงตัวแนบชิดกับแขนของเวอร์เนล

เธอไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่มีสีหน้าที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า “คนนี้น่ะของชั้นนะ”

เซนต์ตัวปลอมจากโลกอื่นยิ้มให้กับเซนต์ผู้เป็นเช่นนั้น

“ดูแลเธอดีๆนะคะ”

“ต่อให้ไม่บอกอย่างนั้นก็จะทำอยู่แล้ว”

พอเอลริสพูดอย่างนั้น เวอร์เนลก็คว้าเอเทอร์น่าเข้ามากอด

ไม่จำเป็นต้องบอกเลย ตัวเขาเป็นของเอเทอร์น่า และเอเทอร์น่าก็เป็นของเวอร์เนล ราวกับต้องการจะสื่อเช่นนั้น

เอเทอร์น่าได้แต่เขินอายและซุกหน้าเข้ากับตัวเขา

“คิดว่าคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แต่ว่า…ขอฝากโลกนี้ด้วยนะคะ เวอร์เนลซัง”

“อา อยู่ที่ฝั่งนั้นก็รักษาตัวดีๆล่ะ”

เอลริสกล่าวอำลา ในขณะที่เวอร์เนลก็ตอบกลับไป

ทั้งสองคนคงจะไม่ได้มีโอกาสมาเจอกันอีกเป็นครั้งที่สอง

ตั้งแต่แรกแล้วก็มาจากคนละโลกกัน การที่ได้มาเจอกันเช่นนี้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากพอแล้ว

อย่างไรก็ตาม เวอร์เนลจะไม่มีวันลืมการพบกันครั้งนี้เลย

ทั้งสองคนและแมรี่ได้มีโอกาสร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาเป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือนกับอีกสามวัน แต่การพบกันนี้ถือเป็นหนึ่งในของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเขา

“ถ้าเช่นนั้น ทุกคนคะ…ขอให้รักษาตัวกันไว้ดีๆนะคะ’

แสงจากสวรรค์นำพาเอลริสลอยขึ้นท้องฟ้าไป

ผู้คนที่นั่นจ้องมองไปยังท้องฟ้า ในขณะที่ซัปเปิ้ลยังคงหมอบกราบอยู่กับพื้น

ไม่กี่…ไม่สิ หลายสิบนาทีผ่านไป

ในที่สุดเวอร์เนลก็ละสายตาจากท้องฟ้า และจับไหล่ของเอเทอร์น่าเบาๆ

“เอาล่ะ หลังจากนี้เราคงจะยุ่งกันน่าดูเลย เราจะต้องทำให้โลกนี้ดีขึ้นกว่าตอนนี้ เธอจะได้ไม่มาหัวเราะใส่เราทีหลัง”

เอเทอร์น่าและแมรี่พยักหน้าก่อนที่จะเดินจากไป

ชีวิตของพวกเขายังคงดำเนินต่อไป

ในโลกใบนี้ ที่ถูกพวกพ้องจากต่างโลกช่วยเอาไว้จากความสิ้นหวัง

เวอร์เนลหันกลับไปมองท้องฟ้าที่เอลริสจากไปอีกครั้งหนึ่ง–

–เขาแสดงความขอบคุณที่ไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป

.

“…หืม…?”

พอรู้สึกตัวอีกที ชั้นก็มาอยู่บนเก้าอี้แล้ว

ชั้นขยี้ตาเล็กน้อยจนภาพตรงหน้ากลับมาชัดเจนอีกครั้ง ชั้นรู้ได้ทันทีว่านี่คือห้องของชั้นเอง

ที่บอกว่าเป็นห้องของชั้นนี่ไม่ใช่ห้องที่ปราสาทเซนต์หรอกนะ แต่เป็นห้องที่บ้านไม้ในป่าต่างหาก

เก้าอี้โยกที่ชั้นนั่งสู่เอนเล็กน้อย ส่วนชั้นก็ได้แต่จ้องผนังบ้านเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

…หา?

พอใช้ตาทิพย์ดูหอนาฬิกาที่เมืองหลวง ก็พบว่าเวลาแทบจะไม่ขยับไปไหนเลยตั้งแต่ที่ชั้นถูกส่งไปที่”โลกฝั่งนั้น”

วันเองก็เป็นวันเดิม

เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย… อย่าบอกนะว่ามันเป็นฉากแบบนั้นน่ะ

ชั้นออกจากห้องแล้วเดินลงไปข้างล่าง

ที่นั่นชั้นเห็นเลย์ล่าที่กำลังทำอาหารอยู่

“อ๊ะ ท่านเอลริสคะ เพราะว่าวันนี้จับปลามาได้เยอะพอสมควร ดิฉันเลยคิดว่ามื้อเย็นนี้จะทำเป็นอาหารจานปลาน่ะค่ะ”

เลย์ล่ากับตัวชั้นจะสลับเวรทำอาหารกัน ถึงเลย์ล่าดึงดันที่จะทำบ่อยกว่าก็เถอะ

เธอบอกว่า “ปล่อยให้ท่านเอลริสทำงานบ้านแบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ” แต่ชั้นไม่ใช่เซนต์แล้วนา ไม่ต้องอะไรขนาดนั้นก็ได้มั้ง

ไม่สิ นั่นไม่สำคัญ เลย์ล่ามีปฏิกิริยาที่ปกติมากเลย นั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาของเธอที่ไม่ได้เจอหน้าชั้นมาเป็นเดือน

“…จะตั้งตารอเลยจ้ะ ว่าแต่นะเลย์ล่า ดูเหมือนว่าชั้นจะหลับไปน่ะจ้ะ พอจะรู้ไหมว่าเวลาผ่านมาแล้วเท่าไร?”

“เวลาหรือคะ? ก็คิดว่าไม่นานมากนะคะ…”

…อื้ม

เออ นี่มัน “ทุกอย่างเป็นความฝัน” ชัวร์เลย

งี้เอง— …มันเป็นแค่ความฝันสินะ

อุว้า พล็อตเก่าซะไม่มี ทั้งๆที่ชั้นรู้สึกเหมือนว่าออกเดินทางมาเป็นเดือนแท้ๆเลยนะ รายละเอียดอะไรก็จำได้ดีด้วย ความฝันนี่ปกติมันชัดขนาดนี้เลยเหรอ

ไม่สิ อย่างน้อยมันก็เป็นฝันที่ดีนี่นา ได้เห็นแฮปปี้เอนดิ้งของรูทเอเทอร์น่าแบบนี้เนี่ย

ตอนที่ชั้นกำลังก้มหน้าซึมอยู่ อะไรบางอย่างก็หล่นลงมาจากกระเป๋าเสื้อของชั้น

“โอ๊ะ ท่านเอลริสคะ…นี่มันออกูราเระไม่ใช่หรือคะเนี่ย?”

“รู้จักหรือจ๊ะ?”

“ค่ะ ว่ากันว่าเป็นหินที่ทำให้ความปรารถนาเป็นจริง พวกทหารมักจะพกมันออกไปยังสนามรบด้วยน่ะค่ะ ของหายากนะคะเนี่ย…ท่านเอลริสมีความปรารถนาอะไรที่อยากให้เป็นจริงด้วยหรือคะ?”

หินที่ทำให้ความปรารถนาเป็นจริงเหรอ

ไม่เห็นจำได้เลยว่าไปได้มาจากไหน…

—ได้มาในระหว่างเดินทางน่ะ เรียกว่า ออกูราเระ …ว่ากันว่าเป็นกินที่ทำให้คำขอสมหวังได้หนึ่งอย่างน่ะ ข้าพกมันเอาไว้ตลอด อธิษฐานให้ความหวังเป็นจริง ช่วยรับไว้ทีเถอะ ข้ารู้ดีว่าของอย่างนี้น่ะไม่มีค่าอะไรในตอนนี้ แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้ามีอยู่

…อ๊ะ

อ๊าาาาา!

จำได้แล้ว! ได้มาจากเวอร์เนลซังนี่เอง!

หรือก็คือ…ถึงจะเหมือนความฝันแต่ก็ไม่ใช่ความฝัน!

ยะฮู้ววววว!!

ชั้นหยิบหินสีฟ้าขึ้นมากำแน่น

ตอนแรกก็นึกว่ากลับมาแล้วจะเอามันไปขาย แต่คงไม่ทำแบบนั้นแล้วล่ะ

ก็มันส่งผลจริงๆนี่นา

“นี่เป็นของขวัญจากเพื่อนคนสำคัญน่ะจ้ะ อาจจะสับสนอยู่บ้าง แต่ว่า…”

–ความปรารถนาของชั้นก็กลายเป็นจริง

พอบอกไปอย่างนั้น เลย์ล่าก็ตาเบิกกว้าง