บทที่ 57 ซูเสี่ยวฉินหายตัวไป
บทที่ 57 ซูเสี่ยวฉินหายตัวไป
โชคดีที่ซูอู่ร่างเป็นเด็กว่องไวจึงกระโดดหลบทัน ไม่อย่างนั้นคงโดนประตูกระแทกเป็นแน่
“ใครเนี่ย ทำไมหยาบคายแบบนี้!” ซูอู่ร่างบ่นพึมพำ
“ซูหม่านซิ่ว มัวทำอะไรอยู่ถึงไม่ยอมกลับบ้าน?” ทันทีที่ชายคนนั้นอ้าปาก ซูอู่ร่างก็รู้ว่าทันทีว่าเป็นอาเขยใหญ่
เดิมทีคิดจะทักทาย แต่เห็นกิริยาท่าทางก้าวร้าวแบบนี้ เขาก็พูดไม่ออก
“คุณมาที่นี่ทำไม” ซูหม่านซิ่วลุกพรวด ตัวสั่นเทิ้มทั่วร่าง เห็นได้ชัดว่าเธอหวาดกลัว
“ถ้าฉันไม่มา คนผลาญเงินชาวบ้านแบบแกก็ไม่รู้จักกลับบ้านสินะ ฉันมาไม่หรือไง?” หวังเจี่ยฟ่างไม่ได้กล่าวทักทายผู้อาวุโสตั้งแต่เริ่มจนจบสักคำ ก่อนดึงแขนซูหม่านซิ่วตรง ๆ แล้วพาออกไปข้างนอก
“แกจะทำอะไร?” คุณปู่ซูทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นด่า
“พ่อเฒ่า ลูกสาวบ้านคุณเป็นแม่ไก่ไม่วางไข่ นอกจากความใจดีของฉันที่ยังยินดีจะมีมันแล้ว ลองไปถามดูสิ ถ้าเป็นบ้านอื่นคงจะหย่ากับมันไปตั้งนานแล้ว” หวังเจี่ยฟ่างกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ถึงจะพูดจาไม่น่าฟัง แต่เรื่องแม่ไก่ไม่วางไข่กลับทำให้ทุกคนสูญเสียความมั่นใจ
แม้แต่ซูหม่านซิ่วเองก็รีบก้มหน้างุดทันที
เป็นเพราะเธอไร้ความสามารถจึงไม่สามารถมีลูกได้ ไม่งั้นหวังเจี่ยฟ่างคงไม่เป็นแบบนี้
“ยังไม่ไสหัวกลับไปอีก? มีอีกหลายเรื่องรอแกอยู่ที่บ้าน ถ้าไม่ไปแล้วคนที่บ้านจะกินอะไร?” พอหวังเจี่ยฟ่างเห็นว่าทุกคนตรงนี้ตกตะลึง น้ำเสียงของเขาก็พึงพอใจมากขึ้น “จำไว้ว่าของดี ๆ ต้องส่งให้เสี่ยวชุ่ย เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย ฉันจะเก็บแกเอาไว้ทำไม สู้หย่าไปให้มันจบ ๆ ไม่ดีกว่าหรือ!”
หวังเจี่ยฟ่างระบายความคับข้องใจ หากแต่ใบหน้าของซูหม่านซิ่วซีดเผือด
สุดท้ายหล่อนก็กลับไปพร้อมกับหวังเจี่ยฟ่าง
พี่ชายทั้งสามของตระกูลซูคิดจะหยุดพวกเขา แต่ถูกซูหม่านซิ่วปฏิเสธ
“พี่คะ นี่ชีวิตฉัน! มันคือชีวิตของฉัน!”
ตอนที่ซูหม่านซิ่วจากไป เธอทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคนี้
พวกพี่ชายมองน้องสาวที่ถูกหวังเจี่ยฟ่างพาตัวไปราวคนทำอะไรไม่ถูก ทั้งยังได้ยินอีกฝ่ายดุด่าเธออีกด้วย
พวกเขาทนไม่ไหว แต่กลับทำได้เพียงนั่งคร่ำครวญอยู่เงียบ ๆ
ซูเสี่ยวเถียนต้องการให้ครอบครัวรับซูหม่านซิ่วกลับมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
พูดตอนนี้ก็เหมือนการตอกย้ำ
เสี่ยวชุ่ยที่หวังเจี่ยฟ่างพูดถึงก่อนหน้านี้น่าจะเป็นแม่ม่ายที่เขาไปมาหาสู่อยู่
หวังเจี่ยฟ่างไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์ เขาได้ให้อาใหญ่เอาของอร่อย ๆ ไปให้เสี่ยวชุ่ย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจซูหม่านซิ่ว อีกทั้งยังไม่ไว้หน้าเธอสักนิด
รอจนแม่ม่ายเสี่ยวชุ่ยขู่เข็ญเขาเมื่อไร เดี๋ยวก็ต้องหย่าอยู่ดี
ซึ่งจะทิ้งอาใหญ่หรือพาเธอกลับมา ผลลัพธ์ก็เป็นเหมือนเดิม
ปัญหาทั้งหมดต้องให้อาใหญ่เป็นฝ่ายกลับไปจัดการด้วยตนเอง
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์ แม้ว่ามีระบบการอ่านอยู่ในมือ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะแก้ปัญหาในเรื่องพวกนี้
แน่นอนว่าเหตุผลหลักคือ เธอยังเด็กและไม่มีสิทธิ์พูด
ไม่ว่าจะพูดอะไร คนอื่นก็คิดจะคิดว่าเธอพูดไปเรื่อยเปื่อยและไม่เก็บมาใส่ใจ
คนในตระกูลซูต่างเจ็บปวด แต่เทศกาลไหว้พระจันทร์ในคราวนี้ถูกกำหนดให้ไม่สงบแล้วล่ะ
เช้าวันที่สอง ตระกูลซูได้ข่าวว่าซูเสี่ยวฉินหายตัวไปแล้ว
เรื่องของเรื่องคือ ในเช้าวันทำขนมไหว้พระจันทร์ที่บ้านรองซู หลิวซิ่วอิงอารมณ์เสียจึงทุบตีซูเสี่ยวฉินอีกครั้ง
เด็กสาววิ่งหนีออกไปทั้งน้ำตา
หลิวซิ่วอิงไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก ไม่แปลกหากซูเสี่ยวฉินที่ถูกดุด่าจะยิ่งไร้เหตุผลมากขึ้น
ตอนเที่ยง ซูเสี่ยวฉินไม่ได้กลับบ้านมากินข้าวหรือทำอาหาร ส่วนหลิวซิ่วอิงก็ไม่สนใจ ทั้งยังบอกว่าไม่กินก็ดีจะได้ไม่สิ้นเปลือง
กระทั่งถึงตอนทำอาหารเย็น ซูเสี่ยวฉินยังไม่กลับมาอีก หลิวซิ่วอิงยังด่าตอนที่ทำกับข้าวด้วย ทุกคนกินข้าวกันหมดแล้ว แต่ไม่มีใครคิดจะตามหาซูเสี่ยวฉินเลย
จนฟ้าสาง ซูเสี่ยวฉินยังไม่กลับมา หลิวซิ่วอิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงเรียกพ่อแม่ของซูเสี่ยวฉินมาเพื่อตามหาเด็กสาวด้วยกัน ตอนค้นหายังไม่วายกล่าวว่าคงไม่ถูกหมาป่ากินไปแล้วหรอกนะ?
การหายตัวไปของคนผู้หนึ่ง นับไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ซูฉางจิ่วไม่สามารถนั่งเฉยได้อีกต่อไป ระดมคนหนุ่มสาวและวัยกลางคนของชุมชนการผลิตทั้งหมดให้ช่วยกันค้นหาด้วย
แต่ค้นหาบริเวณโดยรอบแล้วก็ยังไม่พบ แม้แต่ร่องรอยเพียงเล็กน้อยก็ยังไม่มีเลย
หลังจากที่ทุกคนกลับมา พวกเขาทำได้เพียงพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่าหาไม่เจอจริง ๆ
ซูเสี่ยวฉินดูเหมือนจะหายตัวไปโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
ตอนที่พี่ชายทั้งสามของตระกูลซูกลับบ้าน พวกเขายังคงกังวลเรื่องซูเสี่ยวฉิน
อย่างไรเสีย เธอก็อายุสิบกว่าปี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ คงสายเกินไปที่จะเสียใจ
ซูเสี่ยวเถียนก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ชาติก่อนดูเหมือนจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น
ซูเสี่ยวฉินไปไหน? ทำไมจู่ ๆ ถึงตัวหายไป?
คงจะถูกทุบตีอะไรสักอย่าง แต่ชาติก่อนซูเสี่ยวฉินก็โดนไม่ใช่น้อยเลยนะ ไม่ใช่ว่าทนไปตลอดหรอกหรือ?
ทุกคนในชุมชนการผลิตตามหาเด็กสาวมาสามวันติดแล้วแต่ก็ยังไม่พบ
แต่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงเก็บเกี่ยว จึงไม่สามารถปล่อยให้คนทุกวัยในหมู่บ้านทิ้งงานไปตามหาคนได้ การค้นหาซูเสี่ยวฉินจึงถูกระงับไว้
การหายตัวไปของซูเสี่ยวฉินทำให้เกิดความโกลาหล แต่ในไม่ช้าเรื่องราวต่าง ๆ ก็สงบลง
สามวันหลังจากนั้นก็ตามด้วยฤดูดำนา ทุกคนในหมู่บ้านลืมไปแล้วว่าซูเสี่ยวฉินหายตัวไป
ยกเว้นตอนที่หลิวซิ่วอิงอยู่ในที่ทำงานอยู่ เธอจะคิดถึงตอนที่หลานสาวยังอยู่ขึ้นมา เพราะตัวเองไม่ต้องคอยรับใช้ทั้งในตระกูลและนอกตระกูลแล้ว คนส่วนใหญ่จึงลืมเลือน
รวมทั้งพ่อแม่ของซูเสี่ยวฉินด้วย
เนื่องจากเป็นฤดูดำนา โรงเรียนจึงหยุด ตอนแรกซูเสี่ยวเถียนไม่อยากไปโรงเรียน เพราะตอนนี้เธอได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
บรรยากาศในโรงเรียนไม่ค่อยดี ช่วงนี้ตั้งใจเรียนอยู่ที่บ้านยังจะดีกว่า
เหล่าพี่ชายรวมถึงซูเสี่ยวเถียนยังตัดสินใจว่าจบฤดูดำนาเมื่อไร จะลาหยุดให้มากและไปโรงเรียนให้น้อยลง
ฤดูดำนาเป็นงานใหญ่ แค่เป็นคนในชุมชนการผลิตและเป็นคนที่เดินเหินได้ ตั้งแต่คนเฒ่าคนแก่วัยแปดสิบไล่ลงมาจนถึงเด็กสามถึงสี่ขวบก็สามารถเข้าร่วมได้
บ้านซูมีสมาชิกสิบกว่าคน คุณปู่ซู ลูกชายสามคน สะใภ้สามคน ล้วนแต่เป็นคนงานที่ขยันขันแข็ง ส่วนคุณย่าซูจะรองลงมา กอปรกับหลายชายสี่คนที่อายุสิบกว่า ๆ ซึ่งแต่ละคนทำได้ครึ่งเดียวเท่านั้น
ส่วนเด็กที่เหลือ พวกเขาทำได้บางอย่าง เช่น เก็บมันฝรั่งและรวงเมล็ดพืช จึงไม่ได้รับคะแนนการทำงานมากนัก
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าครอบครัวที่ใหญ่โตและขยันขันแข็งยังเป็นที่อิจฉาตาร้อนของคนมากมายในหมู่บ้าน
โดยเฉพาะยายเฒ่าตระกูลฉาง พอมองเด็กชายบ้านซูแล้วตาแกแทบถลน จึงด่าลูกชายและตำหนิลูกสะใภ้ว่าไม่ได้เรื่องที่ให้กำเนิดแต่พวกตัวล้างผลาญ
เด็กหญิงในตระกูลฉางไม่กล้าไม่พอใจคุณย่า จึงทำได้เพียงไม่พอใจตระกูลซูเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูเสี่ยวเถียน พวกเธอไม่พอใจมาก ๆ
สุดท้าย เมื่อไรที่ได้เห็นซูเสี่ยวเถียนยิ่งทำให้พวกเธอรู้สึกด้อยกว่ามาก และชีวิตที่ผ่านมาเหมือนตนเองไม่ใช่มนุษย์เลย
คนเราก็เป็นแบบนี้ ยามชีวิตพบเจอความยากลำบาก กลับไม่คิดว่าเป็นผิดของตน แต่รู้สึกว่าการที่เจอความยากลำบากล้วนเป็นความผิดคนอื่น รำไม่ดีโทษปี่โทษกลองไว้ก่อน
พวกเขาอยากให้ซูเสี่ยวเถียนลำบากบ้าง แต่ซูเสี่ยวเถียนคือใครกันล่ะ