บทที่ 58 พืชผลของตระกูลซูเติบโตดีมาก

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 58 พืชผลของตระกูลซูเติบโตดีมาก
บทที่ 58 พืชผลของตระกูลซูเติบโตดีมาก

ซูเสี่ยวเถียนเป็นน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนที่มีพี่ชายทั้งเก้าคอยปกป้อง จะพบเจอความลำบากได้อย่างไร?

ตลอดช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง เด็กสาวตระกูลฉางไม่ได้สิ่งที่ปรารถนาเลย

หลังจากเก็บเกี่ยวพืชผล โรงเรียนกลับมาเปิดเรียน แต่เด็ก ๆ ตระกูลซูขอลาหยุดด้วยกันทั้งหมด

คุณปู่ซูไม่พอใจในคราแรก แต่ก็โล่งใจที่ได้ยินซูโส่วเวินบอกว่าที่โรงเรียนวุ่นวายมากจนไม่อยากไป เพราะไม่อยากไปยุ่งด้วย คุณปู่จึงพลันโล่งใจ

คนเราจะไม่มีจิตสำนึกไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะพูดอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้ชีวิตตามหน้าที่

เมื่อไม่ได้ไปโรงเรียน พวกพี่ชายและน้องสาวต่างก็ขึ้นเขาไปกันทุกวัน ยกเว้นซูโส่วเวินที่ไปช่วยทำงานที่ทุ่งนา

ทีแรกคนที่บ้านยังกังวล แต่หลังจากนั้นก็เริ่มชินชา

เด็กพวกนี้ไปถอนวัชพืชทุกวัน นอกจากจะได้คะแนนการทำงานนิด ๆ หน่อย ๆ แล้ว ยังเอาของบนภูเขากลับมาเสริมที่บ้านได้ไม่น้อยอีกด้วย

โดยเฉพาะหลังเดือนเก้า บนภูเขามีของกินอีกมากมาย

เกาลัด วอลนัต และลูกพลับป่า เด็ก ๆ แบกลงภูเขาอยู่บ่อยครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมปีก่อนไม่เห็นจะเจออะไรแบบนี้ แต่รวม ๆ แล้ว อาหารการกินของตระกูลซูดีขึ้นไม่น้อย

ตอนแรกมีแค่พี่น้องบ้านซูเท่านั้นที่ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อล่าขุมทรัพย์ ต่อมาฉืออี้หย่วนก็ตามขึ้นไปด้วย

แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ออกจากหมู่บ้านพร้อมกัน หลังจากที่แยกกันไปก็มารวมตัวกันบนเขา

ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนขึ้นลงภูเขา เหล่าพี่ชายจะเป็นคนแบกเธอเอาไว้บนหลัง

แต่เธอไม่อยากได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ทว่าน่าเสียดายที่พวกพี่ ๆ เป็นคนดื้อรั้น ยืนกรานว่ามันขึ้นลงมันยากลำบาก จึงตั้งใจแบกเธอขึ้นหลัง ไม่อยากจะไปกันโดยไม่พาเธอไปด้วย

ฉืออี้หย่วนตามซูเสี่ยวเถียนขึ้นเขาไปด้วย และดูแลน้องสาวเป็นอย่างดี จนแม้แต่พวกพี่ชายยังรู้สึกละอายใจ

บางครั้งก็มีความรู้สึกว่าเถียนเถียนน้อยเป็นลูกสาวของตระกูลฉือ แต่ก็ชัดเจนว่านี่คือลูกของตระกูลซูต่างหาก

หากไม่ใช่เพราะซูเสี่ยวเถียนและซูซื่อเลี่ยงเรียนกับฉือเก๋อมาก่อน พวกเขาก็คงไม่อยากพาฉืออี้หย่วนเจ้าตัวเกาะหนึบมาด้วยจริง ๆ

เรื่องนี้แม้แต่ฉืออี้หย่วนเองก็รู้สึกได้

เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “เสี่ยวเถียนเป็นน้องสาวของพวกนาย แล้วก็เป็นศิษย์น้องของฉัน ดังนั้นฉันก็เลยเป็นพี่ชายของเธอด้วย ดูแลเธอกับพวกนายไม่ได้มีปัญหาเลย!”

คำพูดพวกนี้ฟังแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ซูเสี่ยวเถียนมักรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เธอเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉือไม่ใช่หรือ? ส่วนฉืออี้หย่วนก็เป็นหลานของเขา ลำดับความอาวุโสก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรือ?

หลังจากช่วงเก็บเกี่ยวพืชผลในทุ่งจบลง ซูฉางจิ่วก็ให้คนในทีมพักสองสามวัน ก่อนจะให้พวกเขาเก็บเกี่ยวพืชผลในแปลงที่บ้านตนเอง

เขาไปยังแปลงส่วนตัวของตระกูลซูเพื่อดูเป็นพิเศษ

อย่างที่คิดไว้ พืชผลของตระกูลซูเติบโตดีมาก

“หัวหน้าครับ คุณทำอะไรอยู่หรือ? เก็บพืชผลในแปลงที่บ้านเสร็จแล้วหรือครับ?” ซูเหล่าซานอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยขณะมองดูซูฉางจิ่วไม่กลับไปที่แปลงของตัวเอง

ซูฉางจิ่วถูมือ ก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้น “เหล่าซาน ผมรู้มาก่อนว่าพืชผลที่บ้านคุณเติบโตดีมาก เลยอยากมาดูสักหน่อย มันน่าทึ่งมากเลย โตได้ดีกว่าในไร่ของพวกเราจริง ๆ ผลผลิตต่อไร่คงสูงถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์”

สูงขึ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์นี่ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลยนะ

หากพืชผลในชุมชนการผลิตทั้งหมดออกผลได้สูงถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ ชุมชนของเราคงจะก้าวหน้ามาก ถึงตอนนั้นการสรรเสริญจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เครื่องมือทางการเกษตรคงจะมีไม่น้อยเช่นกัน

ได้ยินมาว่าปีหน้าจะกำหนดให้มีรถไถในชุมชนหนึ่งคัน และพวกเราจะต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา

ซูเหล่าซานไม่รู้ แต่ซูฉางจิ่วคิดมากไปถึงกับเรื่องในอนาคตด้วยซ้ำ

เขาอาจจะเห็นว่าซูฉางจิ่วเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง

คนในตระกูลซูที่เหลือก็คงเห็นซูฉางจิ่วยิ้มโง่ ๆ ต่างพากันคิดว่า หัวหน้าชุมชนคุณเป็นอะไรเนี่ย? มายิ้มทำอะไรตอนดูพืชผลบ้านคนอื่น?

ผลผลิตบ้านนี้จะเก็บได้ดีกว่าเพราะเป็นแปลงส่วนตัว พอเก็บแล้วก็จะเป็นของพวกเขาทั้งหมด

“เหล่าซานเอ๋ย บอกพี่ชายคนนี้ทีว่าปลูกพืชกันอย่างไรหรือ?”

หัวหน้าชุมชนกลายเป็นชายหยาบคาย ดวงตาสองข้างเกือบจะเป็นประกายระยิบระยับราวกับว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ซูเหล่าซานแต่เป็นสาวใหญ่ผู้งดงาม!

“ก็ปลูกตามปกตินะครับ แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย แต่เสี่ยวเถียนบอกว่าพืชจะเติบโตได้ดีถ้ามีสารอาหรเพียงพอ ก็เลยใส่ปุ๋ยครับ” ซู่เหล่าซานเป็นคนซื่อสัตย์ เขาไม่ได้โกหกซูฉางจิ่วจริง ๆ

แต่ซูฉางจิ่วไม่เชื่อเลย ซูเสี่ยวเถียนเพิ่งจะอายุเท่าไร แล้วจะมีทักษะในด้านนี้ได้อย่างไร? อย่ามาหลอกกันซะให้ยาก!

เดี๋ยว ๆ ไม่ใช่ว่าเด็กคนนี้เป็นที่สนใจของข้าราชการระดับสูงหรอกหรือ อาจจะให้ปุ๋ยแก่พวกเขาเป็นพิเศษก็ได้นะ?

ได้ยินมาว่าปุ๋ยเคมีได้ผลดี แต่น่าเสียดายที่โรงงานปุ๋ยเคมีในเขตของพวกเขายังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และปุ๋ยเคมีก็มีราคาแพงมาก

ก่อนหน้านี้ซูเหล่าซานดูเหมือนจะเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ไม่คิดเลยว่าจะหลอกคนกันได้ แต่อีกฝ่ายเป็นคนที่หลอกง่ายอย่างนั้นหรือ?

ฮึ่ม!

“เหล่าซานเอ๋ย นายกำลังพูดถึงปุ๋ยเคมีหรือ? พี่ได้ยินมาว่าของพวกนี้มีประโยชน์มาก ข้าราชการจากมณฑลให้บ้านนายมาหรือ?”

“หัวหน้าชุมชน คุณคิดได้อย่างไรกันเนี่ย? หัวหน้าเฉินส่งมาแค่อาหารกับของอื่น ๆ เพราะพ่อผมเคยช่วยเจ้านายเขา แต่ไม่ได้ส่งปุ๋ยมาให้เลยครับ!” ซูเหล่าซานรีบพูดแก้ไข

ขณะที่ซูเสี่ยวเถียนและพวกพี่ชายมาถึงแปลงส่วนตัวก็ได้ยินบทสนทนานี้เข้าพอดี

เธอยิ้มหวานก่อนเดินเข้าไปหาหัวหน้าชุมชน

“เสี่ยวเถียนเอ๋ย เด็กคนนี้อย่ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงสิ ลุงตกใจหมด!”

ซูฉางจิ่วพอมองสาวน้อยแสนน่ารักและฉลาดตรงหน้า เขาจึงเอื้อมฝ่ามือหยาบกร้านไปลูบผมนุ่ม ๆ

เด็กคนนี้ผมสวยจริง ๆ ลื่นสลวย ทั้งละเอียดและนุ่ม แต่เขาไม่อยากให้เด็กคนอื่นในหมู่บ้านผมมันเยิ้มเหมือนวัชพืชเลย

บ้านหลักของตระกูลซูเลี้ยงเด็กได้ดีจริง ๆ และดูเหมือนว่าทุกคนจะหน้าตาดี ไม่มีใครไม่ดูดีเลยสักคน

โดยเฉพาะช่วงหลัง ๆ มานี้ พวกเขากินดีอยู่ดี จึงทำให้ยิ่งดูดีมากขึ้น

“ลุงฉางจิ่ว อยากรู้ไหมคะว่าทำไมผลผลิตบ้านเราโตได้ดีกว่าบ้านอื่น?” ซูเสี่ยวเถียนถามพร้อมกับเอียงศีรษะ

ซูฉางจิ่วเหลือบมองเด็กหญิงอย่างโง่เขลา แล้วขบคิดกับตัวเองว่า เป็นไปได้ไหมที่เด็กคนนี้จะรู้จริง ๆ ว่าพืชที่บ้านจึงเติบโตได้ดี?

แต่เธออายุแค่เจ็ดขวบไม่ใช่หรือ? อายุแค่นี้ นอกจากเล่นโคลนกับไฟเตาถ่านแล้ว ยังทำอะไรได้อีก?

“แต่หนูเป็นแค่เด็กนะ จะรู้ได้อย่างไรเล่า?” ซูฉางจิ่วไม่เชื่ออย่างแน่นอน!

“แน่นอนสิคะว่าหนูรู้!” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างมั่นใจ

หลายครั้งที่เห็นได้ชัดว่าเธอพูดความจริง แต่คนอื่นไม่เชื่อจึงทำอะไรไม่ได้ เช่นเดียวกับตอนนี้ที่ซูเสี่ยวเถียนพูดความจริง แต่ซูฉางจิ่วกลับไม่เชื่อ