บทที่ 59 โอกาสของชุมชนการผลิตหงซิน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 59 โอกาสของชุมชนการผลิตหงซิน
บทที่ 59 โอกาสของชุมชนการผลิตหงซิน

ถึงคนเป็นลุงจะไม่เชื่อที่เด็กพูด แต่พอเห็นซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างจริงจัง ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู จึงเออออตามไปด้วย

“ถ้าเสี่ยวเถียนรู้ก็บอกลุงหน่อยได้ไหม?”

ซูเสี่ยวเถียนมองไปรอบ ๆ ก่อนโน้มตัวเข้าหาซูฉางจิ่วอย่างระมัดระวัง “หนูบอกลุงฉางจิ่วแค่คนเดียวนะคะ ห้ามบอกคนอื่นเชียวนะ!”

ซูฉางจิ่วหัวเราะร่า เด็กคนนี้เป็นคนที่ระวังตัวจริง ๆ

“หนูพูดมาเลย ลุงจะไม่บอกคนอื่นแน่นอน” ซูฉางจิ่วสนอกสนใจซูเสี่ยวเถียนอย่างจริงจัง น้ำเสียงแผ่วเบา นอกจากเด็กหญิงก็ไม่มีใครได้ยินอีกแล้ว

“เพราะว่าคุณปู่ตู้ที่คอกวัวรู้วิธีการทำฟาร์มค่ะ หนูเห็นว่าผลผลิตที่บ้านโตไม่ดีเลยไปถามคุณปู่มา” อันที่จริงกล่าวเช่นนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย

เธอพนันไว้ว่าซูฉางจิ่วเป็นคนซื่อสัตย์ แต่เธอก็รู้ดีว่าหากแพ้เดิมพันอาจมีผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้

หากถึงตอนนั้นอาจจะต้องดึงใครสักคนออกมาด้านหน้า แล้วใช้ชื่อเสียงเฉินจื่ออันเพื่อแก้ปัญหานี้

ใบหน้าของซูฉางจิ่วเปลี่ยนไป สิ่งที่เด็กคนนี้พูดจริงหรือ?

เมื่อกี้ซูเหล่าซานพูดว่าอะไรนะ?

ถ้ามันคือวิธีที่เสี่ยวเถียนคิดขึ้นมา งั้นสิ่งที่บอกเมื่อครู่คืออะไรกันล่ะ?

แต่ตู้ถงเหอเป็นนายทุน เขาจะทำฟาร์มเป็นได้อย่างไร? จิตใจของพวกเขาคิดว่าการทำฟาร์มเป็นสิ่งที่อยู่จุดต่ำสุดไม่ใช่หรือ?

เขาเป็นคนมีเงิน ทั้งยังเรียนเรื่องนี้อีก?

“เสี่ยวเถียน เด็กดีพูดปดไม่ได้นะ” ซูฉางจิ่วพูดจาเคร่งขรึม

ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัว “หนูพูดจริงนะลุงฉางจิ่ว คุณปู่ตู้รู้เรื่องทำฟาร์มมาก ปู่บอกว่าไร่ทุกไร่มีความแตกต่างกัน และพืชที่ปลูกให้เหมาะสมก็จะต่างกัน เขายังบอกอีกด้วยว่าพืชต่างกัน สารอาหารที่ต้องการก็ต่างกัน และถึงมันจะเหมือนกันก็ยังแตกต่างอยู่ดีค่ะ”

ตอนที่พูด สีหน้าของเธอจริงจังจนซูฉางจิ่วต้องเชื่อว่าเด็กน้อยไม่ได้พูดโกหก

แต่สุดท้ายเขายังรู้สึกว่าคำพูดของเด็กไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป

ซูฉางจิ่วครุ่นคิดอยู่นานด้วยสีหน้าสุขุม เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจยิ่ง

เธอทำผิดใช่ไหม?

เดิมทีกำลังคิดว่าสภาพความเป็นอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ฝั่งนั้นมันแย่เกินไป ถ้าหัวหน้าชุมชนรู้ว่าตู้ถงเหอเก่งด้านทำฟาร์ม อาจเปลี่ยนสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาได้

แม้ว่าช่วงนี้จะแอบดูแลกันเงียบ ๆ จนทำให้สุขภาพของคนที่นั่นนับได้ว่าแข็งแรง แต่เพราะก่อนหน้านี้เคยถูกคนรายงานไป จากนี้ไปจึงไม่แน่ใจแล้ว

ขอแค่มีวิธีการก็ทำให้หัวหน้าชุมชนอนุมัติเรื่องนี้ได้ และควรให้คนที่รู้ว่าตู้ถงเหอมีความรู้ด้านเกษตรศาสตร์รับรู้เรื่องนี้ด้วย ถึงจะแก้ปัญหาได้อย่างสบาย ๆ

ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนกำลังกังวลอยู่ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไรดี จู่ ๆ ซูฉางจิ่วดันตะโกนขึ้นมา

“ลุงชวน มาตรงนี้หน่อยได้ไหมครับ?”

หัวใจของซูเสี่ยวเถียนกระตุก หมายความว่าอย่างไร?

จะฟ้องคุณปู่หรือ?

“ลุงฉางจิ่ว ไหนพูดว่าจะไม่บอกคนอื่นไง!” ใบหน้าของเด็กหญิงยู่เป็นก้อนกลม เวลาโกรธเลยดูน่ารักยิ่งนัก

ซูฉางจิ่วหยิกแก้มเนียน “ลุงไม่ได้จะบอกปู่ของหนูเสียหน่อย แค่จะถามเรื่องอื่น”

เด็กทั่วไปอาจจะเชื่อ แต่ซูเสี่ยวเถียนไม่ใช่เด็กธรรมดา เพราะจิตวิญญาณข้างในเธอเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง

แต่เด็กหญิงทำท่าเหมือนเชื่อ และนั่งยองเงียบ ๆ เพื่อรอฟังว่าซูฉางจิ่วจะทำอะไร

“หัวหน้าชุมชน เกิดอะไรขึ้น?” หลังจากที่ซูชวนเข้ามาก็นั่งลงข้างซูฉางจิ่วด้วย แกหยิบม้วนกระดาษกับยาสูบที่ทำขึ้นเองออกมา แล้วเริ่มมวนบุหรี่

เขายังไม่รู้ว่าเถียนเถียนหลานรักบอกเรื่องสำคัญกับหัวหน้าชุมชนแล้ว

“ลุงใหญ่ ผมอยากถามผู้อาวุโสอย่างคุณสักหน่อย คุณรู้จักคนที่อาศัยอยู่ฝั่งคอกวัวใช่ไหมครับ” ซูฉางจิ่วลองเชิง

คุณปู่ซูก็เป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นกันพอได้ยินที่หัวหน้าชุมชนถาม เขาก็ส่ายหัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง

“ไม่เข้าใจ ๆ ฉันจะไปรู้จักกับที่นั่นได้อย่างไร หัวหน้าชุมชน ถ้าคุณไม่เชื่อคำที่คนอื่นใส่ร้ายครอบครัวเรา ก็อย่าให้ฉันรู้ว่าใครเป็นคนรายงานเลย ฉันจะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด!”

แกขุ่นเคืองเพราะมีความยุติธรรมในหัวใจ แถมน้ำเสียงไม่ได้มีอะไรผิดปกติด้วย

ซูฉางจิ่วยิ้ม ใบหน้าซื่อสัตย์แปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์

“ลุงชวน ลุงเคยไปบ้านนั้นมาหลายครั้งแล้ว ผมรู้ว่าเสี่ยวเถียนกับน้องรองเป็นเด็กสองคนที่ไปบ่อยสุดเลย แถมช่วงนี้น้ำหนักของคนทางนู่นก็ดูจะเพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะได้รับการดูแลจากพวกคุณใช่ไหม?”

หลังจากที่ซูฉางจิ่วพูดออกมา มือของคุณปู่ที่กำลังถูบุหรี่หยุดลง มันถึงกับสั่นเล็กน้อย

ที่หัวหน้าชุมชนพูดหมายถึงอะไร? หรืออีกฝ่ายจะตัดเนื้อร้ายอย่างบ้านเขาออกไป?

ตอนนี้ทุกชุมชนและทุกหมู่บ้านมีตัวอย่างให้เห็นยกเว้นชุมชนการผลิตหงซิน เพราะสิ่งนี้แหละที่ทำให้ซูฉางจิ่วถูกวิพากษ์วิจารณ์

ถึงคุณปู่ซูจะกลัว แต่เขาไม่ได้แสดงสีหน้ามากนัก เพียงแค่มองไปที่ซูฉางจิ่วแล้วรอเงียบ ๆ ให้อีกฝ่ายพูดต่อ

ซูเสี่ยวเถียนที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยิน หัวใจพลันกระตุก

เธอคิดว่าตัวเองระมัดระวังตลอด แต่ก็ถูกคนจับสังเกตได้

หรือไม่ใช่แค่หัวหน้าชุมชนเท่านั้นที่สังเกตเห็น แต่ยังมีคนอื่นสังเกตเห็นอีกด้วย

มือที่วาดวงกลมบนพื้นไม่ขยับอีกต่อไป เงียบอย่างรู้จังหวะ

คราวนี้เธอจะนำหายนะมาสู่ครอบครัวหรือไม่?

ไม่ ไม่สิ หัวหน้าชุมชนเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก ชาติก่อนตั้งแต่เริ่มจนจบที่ชุมชนการผลิตหงซินแห่งนี้ ไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็นเลย

ความกดดันทั้งหมดควรถูกเธอเก็บไว้เงียบ ๆ คนเดียว

ชีวิตในชาตินี้จะเหมือนกันใช่ไหม?

“ลุงชวนอย่ากลัวไปเลย ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้ออกไปหรอก” ซูฉางจิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมแค่อยากรู้ว่าตู้ถงเหอรู้วิธีทำฟาร์มหรือเปล่าแค่นั้นเองครับ”

ซูฉางจิ่วกลัวว่าตัวเองจะทำให้ซูชวนตกใจ เลยพูดสิ่งที่อยากถามมากที่สุดออกไป

“ใช่! เสี่ยวเถียนชอบทำฟาร์ม พอรู้ว่าตู้ถงเหอมีความรู้ด้านนี้ก็เทียวไล้เทียวขื่อเขาอยู่” คุณปู่ซูเลือกที่จะพูดแบบกั๊ก ๆ

“หัวหน้าชุมชน เสี่ยวเถียนเป็นแค่เด็ก ไม่ต้องไปสนใจหรอก ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสม กลับไปจะดูแลเอง ไม่ให้เธอไปที่นั่นอีก!”

ตอนที่คุณปู่ซูกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วงนี้ความก้าวหน้าของลูกหลานมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย

“ลุงชวน นี่เป็นเรื่องที่ดีเลย ถ้าตู้ถงเหอรู้วิธีการทำฟาร์มจริง ๆ ผลผลิตของพวกเราก็จะเพิ่มขึ้น”

“เขาทำเป็นจริง ๆ ฉันได้ยินมาว่าเขาเคยเรียนการทำฟาร์มมาก่อน และมีงานวิจัยอยู่เยอะเลย นั่นแหละคือตัวตนของเขา…” คุณปู่ซูพูดอย่างลังเล

“ตัวตนมันทำไมหรือครับ? อย่างไรก็คนเหมือนกันอยู่ดี พอมาถึงชุมชนการผลิตหงซินแล้ว ตราบใดที่เราไม่ได้ทำสิ่งที่อันตรายต่อประเทศชาติและปวงประชา มันทำให้เรารวมเป็นหนึ่งได้” ซูฉางจิ่วรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการทำให้สมาชิกทุกคนในชุมชนได้กินอิ่ม ไม่ต้องทำการทำงานหนัก

ตู้ถงเหอจะต้องเป็นโอกาสแน่ เป็นโอกาสของเขา และโอกาสของชุมชนการผลิตหงซิน

คุณปู่ซูไม่ได้คาดหวังว่าซูฉางจิ่วจะพูดเช่นนี้ จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ

“ลุงชวน ผมคิดว่าผลผลิตบ้านคุณสามารถเพิ่มรายได้อย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์เลยเมื่อเทียบกับของคนอื่น ผมไม่ขออะไรมาก ถ้าผู้เฒ่าตู้สามารถเพิ่มผลผลิตของชุมชนเราได้ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ผมรับประกันให้เลยว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย และสะดวกสบายในชุมชนการผลิตแห่งนี้”

ซูฉางจิ่วเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ หลายปีมานี้ในฐานะหัวหน้าชุมชน คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและน่าเชื่อถือมาก

“หัวหน้าชุมชน ขอบคุณที่คิดถึงพวกเรานะ!” คุณปู่ซูกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ

คืนนั้นซูฉางจิ่วไปที่บ้านหลังน้อยท้ายหมู่บ้าน

ในฐานะหัวหน้าชุมชน เขามีเหตุผลพอที่จะมาที่นี่ นั่นคือการทำงานในด้านสร้างอุดมการณ์

ซูฉางจิ่วคุยกับตู้ถงเหอด้วยความคิดที่จะลองทำดู หลังจากการทดสอบอยู่นาน ในที่สุดก็พบว่าตู้ถงเหอเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงและมีความรู้มากมาย มากกว่าที่เขาทำไร่ทำนามาครึ่งชีวิตเสียอีก

“ผู้เฒ่าตู้เอ๋ย คุณคือความหวังของชุมชนเราจริง ๆ”

คำพูดของซูฉางจิ่วทำให้ตู้ถงเหอตกอกตกใจกว่าเดิม

การที่ในค่ำคืนนี้มีหัวหน้าชุมชนมาหาอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดระแวงแล้ว เกรงว่าโชคร้ายจะมาเยือน

คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ซูฉางจิ่วพูดนู่นนี่มากมาย ประโยคนั้นก็ผุดออกมา

“ผู้เฒ่าตู้ คุณรู้วิธีการทำฟาร์มจริง ๆ ปีหน้าคุณต้องช่วยชุมชนของเราได้แน่ พวกเราไร้ความสามารถเกินไป!”

ซูฉางจิ่วจับมือตู้ถงเหอจนลืมไปว่าคนตรงหน้าไม่ใช่สมาชิกในกลุ่มของเขา

“หัวหน้าชุมชนมันจะเป็นไปได้อย่างไร? ฉันเป็นนักโทษ!”

“นักโทษแล้วอย่างไร ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้เสียหน่อย? คุณเป็นผู้มีคุณความดีต่อประชาชนและประเทศชาติ ลูกชายของคุณก็เป็นผู้เสียสละเพื่อต่อสู้กับศัตรูเช่นกัน แค่ว่า…ผู้เฒ่าตู้ ไม่ต้องกังวลไปนะ ตราบใดที่ผลผลิตของชุมชนเราเพิ่มรายได้มากขึ้นในปีหน้า ผมจะปกป้องทุกอย่างของคุณเอง และให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายในชุมชนการผลิตด้วย แน่นอนว่าชีวิตของชุมชนแห่งนี้ คุณก็จะได้เห็นเช่นกัน จะไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับชีวิตก่อนหน้านี้ของคุณเลย”

พูดแล้วก็ตื่นเต้น หลังจากที่ซูฉางจิ่วให้คำมั่นสัญญาก็คิดขึ้นได้ว่าคนตรงหน้าเขาเป็นนายทุน ไม่รู้ว่าชีวิตก่อนหน้านี้จะดีมากตั้งเท่าไร สิ่งที่เขาให้ไปอาจน้อยกว่าด้วยซ้ำ

“คงเป็นพรของคุณแล้วที่ทำให้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้”

พอได้ยินหัวหน้าชุมชนพูดเช่นนี้ ตู้ถงเหอเจ็บในอกเหมือนโดนทิ่มแทง ลูกชายของเขาเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม

แต่ไม่มีใครพูดถึงคุณความดีของเขาในตอนนั้นเลย จากนั้นเขากับภรรยาก็ถูกส่งมาตกระกำลำบากในสถานที่เช่นนี้

ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นที่อยู่ในโลกหลังความตายจะสงบสุขไหม

แต่ใครเล่าจะบอกความทุกข์ทรมานได้?

คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคดังกล่าวจากหัวหน้าที่แสนซื่อสัตย์คนนี้

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับผู้เฒ่าตู้ แต่ว่าผมยังมีบางอย่างจะพูดก่อน ตัวตนของคุณในตอนนี้มีข้อจำกัด ทำให้ผมปกป้องคุณมากไม่ได้ ตอนนี้พวกคุณอาจจะต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ แล้วก็ต้องยอมรับการสร้างอุดมการณ์ด้วย”

“อยู่ที่นี่พวกเราไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก แล้วก็พอใจมากด้วย หัวหน้าชุมชน พวกเราต่างก็รู้ถึงน้ำหนักของมันดี”